กู้ชูหน่วนพยายามบีบน้ำตาออกมาอย่างสุดกำลังสองสามหยดและร้องห่มร้องไห้พร่ำบอกไปทางเหล่าประชาราษฎร์ที่ล้อมดูเหตุการณ์ว่า “พวกเราพี่น้องสามคนขอทานไปทุกหนทุกแห่ง และขอทานมาได้หนึ่งตำลึงอย่างยากเย็น อยากจะเข้าไปกินบะหมี่หยางชุนชามหนึ่งแต่กลับถูกตะเพิดออกมา สงสารน้องชายข้าที่ป่วยหนักและกำลังจะตายในไม่ช้านี้ ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของเขาก็คือการได้กินบะหมี่หยางชุนร้อนๆชามหนึ่งของโรงเตี๊ยมผิงอัน”

ด้านหนึ่งนางกล่าวโดยที่อีกด้านหนึ่งนั้นตบไหล่ของเยี่ยเฟิงอย่างปวดใจ

เส้นผมสีดำสามเส้นไหลลงมาจากด้านบนของศีรษะเยี่ยเฟิง

นางแสดงไม่ไปหาฝูกวงหาเขาด้วยสิ่งใด?

“มองดูน้องชายของข้าตกใจจนตะลึง หรือว่าพวกเราขอทานนั่นสมควรถูกเหยียดหยามเช่นนี้หรือ? พวกเรากินบะหมี่ใช่ว่าจะไม่จ่ายเงิน”

เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจำได้ เยี่ยเฟิงและฝูกวงต่างก็ทาโคลนสีดำบนใบหน้าเพื่อปกปิดใบหน้าอันหล่อเหลานักหนานั้น

ในเวลานี้เยี่ยเฟิงเงียบเชียบด้วยใบหน้าอันเย็นชา ทุกคนคิดว่าเขาถูกทำให้ตกใจกลัวจนตกตะลึงไปจริงๆ

แต่ละคนตำหนิเด็กยกอาหารของร้าน

“ปกติพวกเจ้าก็หยิ่งยโสดูถูกคนจน คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะทำเกินไปเช่นนี้ แม้แต่ผู้ที่ป่วยหนักและจะตายจากโลกนี้ไปในไม่ช้าก็ถูกรังแก พวกเจ้าก็ช่างใจดำเกินไปแล้ว”

เมื่อได้ยินคำว่าป่วยหนักและจะตายในไม่ช้า ใบหน้าอันเย็นชาอยู่ตลอดของเยี่ยเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกสองสามครั้ง

“ใช่แล้ว มองดูสามคนนี้ คนหนึ่งเจ็บป่วยจะตายอยู่แล้ว คนหนึ่งก็สูญเสียเท้าไปข้างหนึ่ง อีกคนดูโง่เง่า พวกเจ้าก็ทนไล่ตะเพิดพวกเขาได้ หากว่าพวกเจ้ากล้าตะเพิดพวกเขา ต่อไปพวกเราก็จะไม่มาทานอาหารและพักแรมที่โรงเตี๊ยมผิงอันแล้ว”

เยี่ยเฟิง “……”

ฝูกวง “……”

เหล่าประชาราษฎร์เจ้าคำหนึ่งข้าประโยคหนึ่ง เด็กยกอาหารทำสิ่งใดไม่ถูกอยู่บ้าง เถ้าแก่มาขอโทษก็ไม่เป็นผล

เมื่อเห็นว่าเรื่องราวยิ่งอยู่ก็ยิ่งบานปลายก็มีชายร่างกำยำผู้หนึ่งเดินมาจากห้องที่หนึ่งอักษรเทียนบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม

ชายหนุ่มมาถึงก็ถามว่า “ทะเลาะอันใดกัน ยังทะเลาะกันอีกระวังจ้าจะบีบคอพวกเจ้าให้หักนะ”

“ใช่ใช่ใช่ ไม่ทะเลาะไม่ทะเลาะ เถ้าแก่ปาดเหงื่อและกล่าวขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก

ทำการค้ามานานหลายปีแล้วเขานั้นก็ยังมีสายตาแหลมคมอยู่บ้าง

วันนี้มีจอมยุทธ์มากมายเข้ามากันเรื่อยๆ เรื่องราวต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่

ชายร่างกำยำกวาดตามองกู้ชูหน่วนและคนอื่นๆและกล่าวอย่างไม่ทนว่า “พวกเจ้าขอทานทั้งสามสงบเสงี่ยมให้ข้าหน่อย อารมณ์ของข้าไม่ได้ดีนัก”

“ได้ได้ได้…..” กู้ชูหน่วนพยักหน้าและโค้งคำนับ

“ให้ขอทานสามคนนี้เข้าไปกินบะหมี่และสงบเงียบให้ข้าหน่อย”

กล่าวจบเขาก็เตือนทุกคนอย่างโหดเหี้ยมจากนั้นจึงได้ก้าวเท้าก้าวใหญ่ๆขึ้นไปบนชั้นสอง

บนโต๊ะข้างหน้าต่างฝูกวงด้านหนึ่งกินบะหมี่อีกด้านหนึ่งก็กล่าวด้วยเสียงอันทุ้ม

“นายท่าน ข้าน้อยสืบชัดเจนแล้วว่าผู้คนเหล่านี้มารวมตัวกันจากทั่วทุกแห่งหนเพื่อซุ่มโจมตีสังหารคน”

“สังหารผู้ใด?”

“ยังไม่รู้แน่ชัดในตอนนี้แต่ว่าผู้คนส่วนใหญ่เหล่านี้เป็นคนของเผ่าปีศาจซึ่งนำโดยผู้นำกองธงสุ่ยเซียนและเรียกผู้นำกองธงอื่นๆมารวมตัวกันครบ รวมถึงยอดฝีมือมากมายจากหุบเขากลืนวิญญาณมาซุ่มโจมตีลอบสังหารพร้อมกัน”

ไม่ว่าฝูกวงหรือกู้ชูหน่วนหรือว่าเยี่ยเฟิงต่างก็สัมผัสได้ว่าดีว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดาย

คนของเผ่าปีศาจสมรู้ร่วมคิดกับคนชั่วช้ามากมายของหุบเขากลืนวิญญาณเพียงเพื่อสังหารคนเพียงคนเดียว?

การต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้ คนที่พวกเขาต้องการจะสังหารจะต้องวิทยายุทธที่ไร้เทียมทานเพียงใด?

“จับตาดูพวกเขาเอาไว้”

“ได้”

“นายท่าน พวกเขาออกไปทางประตูหลังกันหมดแล้ว” หูของฝูกวงขยับพร้อมกล่าวเตือนขึ้น

“ไป ตามไปดูกัน”

ฝั่งตรงข้ามมีจำนวนมากเกินไป รวมทั้งแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือกู้ชูหน่วนจึงไม่กล้าตามใกล้ชิดเกินไป

เป็นผลให้ตามไปถึงในป่าไผ่นอกเมืองชิงหงก็คลาดกับร่องรอยของพวกเขาไปเสียแล้ว