ไม่รู้ว่าหมอกลอยขึ้นปกคลุมทั่วป่าไผ่เมื่อใดหมอกหนามากจนมองไม่ชัดเจนในระยะหนึ่งเมตร

กู้ชูหน่วนเร่งเร้า “น่าจะเป็นการก่อตัวของหมอก ทุกคนเข้าใกล้กันหน่อยอย่าได้แยกออกจากกันนะ”

ไม่มีการตอบสนองจากบริเวณโดยรอบ กู้ชูหน่วนหันศีรษะไปมองกลับเห็นว่าเยี่ยเฟิงได้หลุดออกจากกลุ่มไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้แม้แต่ฝูกวงที่ตามติดนางอยู่เสมอก็หายไปแล้ว

“เยี่ยเฟิง ฝูกวง……”

กู้ชูหน่วนตะโกนสองสามครั้งแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบรับจากพวกเขาในใจจึงอดไม่ได้ที่จะต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นสักเล็กน้อย

ข้างๆหูเสียงลมราวกับเสียงร้องของภูตผี เสียงอันโหยหวนและยังแฝงไปด้วยความเยือกเย็น

เงาไม้ไผ่หมุนวน เงาสีเขียวกะพริบไปทางซ้ายขวา ต้นไผ่เคลื่อนไปโดยรอบราวกับว่าบังเกิดขาอันยาว

แผนที่ตั้งแปรเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า กู้ชูหน่วนดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในเขาวงกตขนาดใหญ่ นางไม่ขยับแผนที่ตั้งก็ไม่ขยับ พอนางขยับแผนที่ตั้งก็เคลื่อนไหว

หลับตาลงกู้ชูหน่วนสัมผัสถึงทิศทางของลมและรูปแบบของการเคลื่อนที่อย่างถี่ถ้วน เป็นเวลาระยะหนึ่งนางก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเล่ห์เหลี่ยมก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก

เล่นค่ายกลกับนางหรือ?

ถือว่านางเรียนรู้หลักการค่ายกลโดยเปล่าประโยชน์หรือ?

กู้ชูหน่วนขยับร่างกายไปด้านข้าง เหยียบบริเวณสันเขาและเลี้ยวไปทางขวาสิบห้าก้าวจากนั้นก็เหยียบเป็นแปดเหลี่ยม

“พรึ่บ……”

นางหยิบกระบี่คู่กายของฝูกวงและตัดต้นไผ่สีเขียวสามต้นเบื้องหน้าจนหมดทั้งลำต้น

หมอกนั้นลดน้อยลงไปมาก

กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะแล้วก้าวออกจากยันต์แปดทิศเดินไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว ตลอดทางที่ผ่านห่างทุกๆระยะสิบก้าวก็ตัดไม้ไผ่หนึ่งต้น

หลังจากที่นางตัดไม้ไผ่ไปแล้วสามสิบต้นป่าไผ่ก็เปิดออก หมอกก็ลดน้อยลงอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เสียงลมอันโหยหวนข้างหูก็หายไปด้วยเช่นกัน

ไกลสุดลูกหูลูกตาป่าไผ่อันเขียวขจีซึ่งเป็นลักษณะตั้งตรง แสงตะวันส่องกระทบลงมาบังเกิดเงาทั่วทั้งผืน ลมเบาพัดผ่านไปใบไผ่ยังเกิดเสียงขึ้น เงียบสงัด ผ่าเผย ผ่อนคลายและมีความสุข

นี่เป็นความรู้สึกนึกคิดระหว่างนรกกับสวรรค์

การก่อตัวของหมอกถูกสลายไปแล้วแต่เยี่ยเฟิงกับฝูกวงยังคงค้นหาไม่พบ

ที่ไม่ไกลนักเสียงการต่อสู้ได้ดังขึ้นกู้ชูหน่วนหรี่ตาทั้วคู่ลงเล็กน้อย ปลายนิ้วเท้าเหยียบลงแล้วเดินไปทางเสียงการต่อสู้

นอกป่าไผ่ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งถูกพละกำลังภายในอันแข็งแกร่งกดลงจนเกือบจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

กลุ่มคนสวมชุดดำแต่ละคนถืออาวุธในมือและล้อมชายหนุ่มทั้งสองคนเอาไว้ บนพื้นมีศพจำนวนไม่น้อยก่ายกองกันอยู่ เลือดสาดกระเด็นกระดอนสถานการณ์นั้นตึงเครียดนัก

กู้ชูหน่วนถูกชายหนุ่มชุดแดงดึงดูดตั้งแต่แรกเห็น

ชายหนุ่มผู้นั้นดูมีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งนัก สายตาราวกับหงส์คู่นั้นเสมือนว่าไม่สามารถบังเกิดความสนใจต่อสิ่งใดขึ้นมาได้เลย

เขาหล่อเหลายิ่งนักหรือจะควรกล่าวว่างดงามยิ่งนัก งดงามเสียจนทำให้คนแยกไม่ออกหว่างชายหญิง หากไม่ใช่เนื่องจากเสียงที่เปล่งออกมาจากคอกู้ชูหน่วนนั้นเกือบจะคิดว่าเขาเป็นสาวงามไร้ผู้ใดเทียบได้ผู้หนึ่ง

จมูกของเขาลักษณะตรง ใบหน้าคมสันกระจ่างชัด ผมดำราวกับน้ำหมึกพาดสยายอยู่ตรงศีรษะ พร้อมกับเพียงเส้นผมสีแดงซึ่งมัดเอาไว้เล็กน้อยมัดหนึ่ง

รูปร่างของเขาค่อนข้างผอมไร้ซึ่งไขมันแม้สักเล็กน้อย แต่ช่างแข็งแรงนักสวมชุดเยียนหลัวสีแดงราวเปลวไฟ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นชั้นๆตรงหน้าอกซึ่งทำให้คนอดไม่ได้ที่จะอ้าปากด้วยลมอันเย็น

รูปร่างช่างงดงามนัก

น้องชายผู้งดงาม……

โดยเฉพาะดวงตาอันเกียจคร้านคู่นั้นซึ่งกลับมีข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าอ่อนๆ

ดวงตาสีฟ้าอ่อนซึ่งเห็นได้ยากยิ่งนัก

ชายชุดดำรุมล้อมพวกเขาเอาไว้และตะโกนร้องว่า “พี่น้องทั้งหลายไม่ต้องกลัว ตอนนี้เขาสูญเสียวรยุทธ์ไปมากแล้วเพียงแค่พวกเรารวมใจกันเป็นหนึ่งก็สามารถสังหารเขาได้ ยิ่งกว่านั้นทัพกำลังเสริมของเรากำลังเร่งมา เช่นไรพวกเราก็จะต้องทนจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง”

ชายชุดดำคนอื่นๆจำนวนไม่น้อยเนื้อตัวสั่นเทาเมื่อนึกถึงว่าหากไม่สังหารเขาพวกเขาเองที่จะถูกสังหาร

จึงทำได้เพียงหาญกล้าและแกว่งอาวุธเข้าไปสังหารพวกเขา

ผู้คนจำนวนหลายสิบจนเป็นร้อยคนโจมตีสังหารชายหนุ่มทั้งสองคน

กู้ชูหน่วนใช้นิ้วเท้าเหยียบไม้ไผ่เล็กน้อยจากนั้นโอบเอวอันแข็งแกร่งของชายหนุ่มชุดแดง เข็มเงินในมือบินทะลุไปราวกับดอกท้อที่เบ่งบานในยามพายุฝนกระหน่ำขวางเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่โหมซัดสาดเอาไว้

นางยิ้มอย่างทรงพลังพร้อมกับน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม “น้องชายผู้นี้ข้าบังเอาไว้แล้ว”

ซ่า……

ทั่วทั้งสถานที่นั้นหายใจอันเย็น

น้องชาย?

นางบังไว้แล้ว?

หญิงผู้นี้เป็นคนโง่เง่าหรือ?