หลังจากฟังเฉิงกัวอันอยู่นาน บรรดาคนของบริษัทไป๋เชาก็คล้อยตามไปในทางเดียวกัน

“สำหรับเสียงของผม ผมยอมตกลง ตอนนี้บริษัทไป๋เชาย่ำแย่ถึงขีดสุด เราไม่สามารถก้าวต่อไปได้ด้วยตัวเองอีกเพราะการกระทำที่โง่เง่าของหวังเจา! ผมไม่ยอมถูกฝังไปกับเขาแน่!”

“ก่อนหน้านี้ผมแย้งการกระทำของหวังเจามาโดยตลอด แต่เขาไม่ฟังเลย ดังนั้นผมเองก็ขอเลือกที่จะไม่สนใจเขาแล้วเช่นกัน!”

“ผมเองก็เห็นด้วยกับทุกคน และยิ่งไปกว่านั้นการเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทชิวเฮิงก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ดังนั้นทำไมผมต้องยอมตายไปพร้อมกับไป๋เชา?”

ต่อมาไม่นานบรรดาบอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่างก็ลงคะแนนเสียงและผลที่ออกมาก็คือบริษัทไป๋เชายอมถูกซื้อโดยบริษัทชิวเฮิง

“พวกเราทั้งหมดในที่นี้ยินดีที่จะให้บริษัทไป๋เชาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทชิวเฮิง!”

เฉิงกัวอันรู้สึกยินดีมากที่ได้ยินประโยคนี้เขาลุกขึ้นและพยักหน้าให้กับอีกฝ่ายอย่างสุภาพทันที

“ยอดเยี่ยม! เอาล่ะถ้างั้นขั้นต่อไปก็คือเรียกหวังเจาให้มาเซ็นรับทราบ!”

หลังจากพูดจบเฉิงกัวอันและผู้บริหารพร้อมผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทไป๋เชาพากันเดินมุ่งหน้าไปที่ออฟฟิศของหวังเจาทันที

ที่ด้านในออฟฟิศของหวังเจา

ในทันทีที่เฉิงกัวอันพากลุ่มคนทั้งหมดเข้าไปด้านใน พวกเขาทั้งหมดก็ได้เห็นหวังเจากำลังนั่งแสดงสีหน้าเคียดแค้น

พวกเขาทั้งคู่ต่างมองหน้ากันอย่างเป็นศัตรู

“เอาล่ะ บอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหมดที่มีสิทธิ์ออกเสียงต่างยอมตกลงหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่แกคนเดียวที่จำเป็นต้องเซ็นยินยอมซะ!”

เฉิงกัวอันเอ่ยขึ้นโดยมีคนอีกสิบกว่าคนยืนหนุนหลัง ส่วนหวังเจานั้นนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว

บรรดาผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไป๋เชาต่างแสดงสีหน้าอึดอัด แต่พวกเขาก็ยังคงยืนอยู่ข้างหลังเฉิงกัวอันไม่ขยับไปไหน

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเจาก็ยิ่งโมโหจนแทบอยากจะพุ่งไปฉีกร่างของอีกฝ่าย

ปัง!

“เฉิงกัวอัน! แกฝันไปเถอะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็ไม่มีวันยอมเซ็นเอกสารให้แกสักแผ่น!”

หวังเจาทุบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืนและตะโกนลั่นห้อง

ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะดำเนินมาถึงในจุดที่ไม่สามารถหวนกลับ เขาก็ยังไม่อยากจะยอมให้กับอีกฝ่าย

อย่างไรก็ตาม การต่อต้านของเขามันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว!

“ประธานหวัง พวกเราทุกคนต่างตกลงกับประธานเฉิงไปเรียบร้อยแล้ว! เขาคือความหวังเดียวที่เราจะอยู่รอดหากคุณยังดื้อดึงต่อไปอีก เมื่อถึงตอนที่ล้มละลายคุณจะไม่เหลือเงินสักแดงเดียว!”

โดยไม่ต้องรอให้เฉิงกัวอันออกปาก บรรดาบอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไป๋เชาต่างพูดขึ้นก่อน

จากนั้นคนอื่น ๆ ก็เริ่มพูดโน้มน้าวหวังเจา ซึ่งมันยิ่งทำให้อีกฝ่ายโกรธขึ้นมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ

“แก! พวกแก!”

หวังเจาดวงตาแดงก่ำ เขาจ้องมองไปที่กลุ่มคนที่เคยเลียแข้งเลียขาเขาเมื่อในอดีตอย่างเดือดดาล เมื่อก่อนคนพวกนี้ไม่เคยกล้าขัดใจตนเลยสักครั้งแต่ตอนนี้กลับโน้มน้าวให้เขาขายบริษัทอย่างนั้นน่ะเหรอ!?

“โธ่ ๆ ประธานหวัง ทำไมคุณต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากขึ้นด้วย? ขายบริษัทให้ผมมันไม่ดีตรงไหนกัน? คุณจะได้รับเงินก้อนใหญ่แทนที่จะหมดตัวและจะได้ไปเกษียณอย่างสุขสบายไม่มีเรื่องปวดหัวอะไรอีกแบบนี้มันไม่ดีตรงไหน?”

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉิงกัวอันก็พูดขึ้นแทรกด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้า

“นี่แกกล้าดียังไงพูดกับฉันแบบนี้!” หวังเจาตวาดลั่น

“หึหึ การแข่งขันทางธุรกิจมันจะต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะอยู่แล้ว ทำไมประธานหวัง เอ๊ะ ไม่สิ ฉันขอเรียกว่า ‘พี่หวัง’ ก็แล้วกันนะ ทำไมพี่หวังจะต้องดื้อดึงด้วย หากเป็นฉันแพ้ ฉันคงยอมรับอย่างลูกผู้ชายไม่งอแงเหมือนที่พี่ทำตอนนี้หรอก” เฉิงกัวอันยิ้มและพูดขึ้นอีกครั้ง

“ได้! ได้! ฉันยอมแกก็ได้!”

หวังเจาตอบกลับพลางกวาดสายตามองไปที่คนของเขาที่ทรยศทุกคนด้วยความเดือดดาล ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วนอกจากยอมรับอย่างขมขื่น

เขารู้ดีว่าต่อให้เขาต่อต้านไปมันก็ยิ่งมีแต่ผลเสีย เพราะถ้าหากไม่ขายบริษัทให้กับเฉิงกัวอัน บริษัทของเขาจะล้มละลายและจะไม่เหลือเงินเลยสักหยวนเดียว และในอนาคตคงไม่มีใครอยากร่วมทำธุรกิจกับเขาอีกแล้ว เพราะจากสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดมันทำให้คนในวงการหมดความเชื่อถือ อย่างน้อย ๆ เขาจำเป็นต้องมีเงินเพื่อเอาไปทำอะไรต่อในอนาคต

หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หวังเจาก็ยอมเซ็นเอกสารขายบริษัทให้กับเฉิงกัวอันจนครบทุกแผ่นสัญญา

“ตอนนี้แกคงรู้สึกภูมิใจมากเลยล่ะสิ? ใช่ไหม เฉิงกัวอัน? แต่ไม่ต้องกังวล แกมีเวลาอยู่อย่างเป็นสุขได้อีกไม่นานหรอก! แกกับไอ้อวี้ฮ่าวหรานจะต้องตาย! อีกไม่นานพวกแกทั้งคู่จะต้องตายแน่นอน!”

หลังจากพูดจบ หวังเจาไม่รอให้อีกฝ่ายพูดตอบโต้ เขาก็เดินกระทืบเท้าออกไปจากออฟฟิศทันที

เฉิงกัวอันมองตามหลังอีกฝ่าย ในใจรู้สึกกังวลกับคำพูดของหวังเจา เขามั่นใจว่าตาแก่คนนี้จะต้องแก้แค้นพวกเขาอย่างรุนแรงเร็ว ๆ นี้แน่นอน

อีกด้านหนึ่งที่คอนโดของอวี้ฮ่าวหราน

ถวนถวนมองดูโฆษณาสวนสนุกที่มีรถไฟเหาะด้วยแววตาเป็นประกาย

“พ่อจ๋า หนูอยากไปที่นี่! ที่ทำงานของพ่อไม่มีรถไฟเหาะแบบนี้ หนูอยากเล่นมันสักครั้ง!”

เมื่อเห็นแววตาคาดหวังของลูกสาว อวี้ฮ่าวหรานก็ปฏิเสธไม่ลง

“ก็ได้! ในเมื่อลูกอยากไปงั้นพ่อจะพาลูกไป! เมื่อไหร่ที่เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเราจะไปกันทันทีตกลงไหม?”

“เย้! พ่อจ๋าใจดีที่สุดเล้ย!”

สิบนาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานขับรถพาถวนถวนไปยังสวนสนุกใกล้บ้านที่มีรถไฟเหาะ

อย่างไรก็ตามในระหว่างนั้นเฉิงกัวอันก็โทรมา

“ฮ่า ๆ! ข่าวดี ฮ่าวหราน! ตามที่นายบอเอาไว้เลย ตอนนี้ฉันซื้อบริษัทไป๋เชามาได้เรียบร้อยแล้ว แค่ฉันพูดจาหว่านล้อมนิดหน่อยพวกบอร์ดบริหารและพวกผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ตกลงแทบจะในทันที!”

“แล้วหวังเจาว่ายังไงบ้าง?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง เหตุการณ์นี้ไม่ได้ต่างจากที่เขาคิดไว้

“ไอ้หวังเจาน่ะเหรอ? เฮอะ! มันจะไปทำอะไรได้นอกจากยอมตกลง! พวกผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ต่างยอมตกลงกันหมดแล้ว มันทำอะไรไม่ได้หรอก แต่ว่าก่อนที่มันจะจากไปดูเหมือนว่ามันอยากแก้แค้นเราทั้งคู่มาก ฉันคิดว่าหลังจากนี้มันคงจ้างคนมาตามฆ่าเราทั้งคู่แน่ ๆ”

“ฆ่าผมงั้นเหรอ? หึหึ คนอย่างมันไม่มีทางทำอะไรผมได้หรอก”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าเหยียดหยาม เขาไม่ได้กังวลเลยกับพวกนักฆ่าที่อีกฝ่ายจะจ้างมา

ด้วยความแข็งแกร่งในขณะนี้ พวกนักฆ่าที่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่มีปัญญาทำอะไรเขาได้แน่นอน…

หลังจากคุยกันไปได้อีกสักพักพวกเขาก็วางสายกันไป

จากนั้นไม่นานคู่พ่อลูกก็ไปถึงสวนสนุก

ขณะนี้เป็นช่วงสายของวันหยุดสุดสัปดาห์ดังนั้นจึงมีคนอยู่ที่ทางเข้าสวนสนุกค่อนข้างหนาแน่น

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานพาถวนถวนไปซื้อตั๋วและเข้าไปด้านในได้แล้ว ถวนถวนก็ชี้ไปที่โซนรถบั๊มทันที

“พ่อจ๋าหนูอยากเล่นรถบั๊ม!”

“ได้เลยเดี๋ยวพ่อจะพาหนูไปเล่น!”

หลังจากได้ยินคำขออวี้ฮ่าวหรานตอบตกลงแทบจะในทันที

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้มีชายใส่แว่นดำคนหนึ่งกำลังจ้องมองคู่พ่อลูกอย่างไม่วางตาในระยะไกล

แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด!

หลังจากเล่นรถบั๊มไปได้สักพัก อวี้ฮ่าวหรานก็พาถวนถวนไปที่รถไฟเหาะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถวนถวนต้องการจะเล่นมากที่สุด

“พ่อจ๋า รางรถไฟเหาะสูงจังเลย!

ถวนถวนเงยหน้ามองรางของรถไฟเหาะและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานซื้อตั๋วและพาลูกสาวตัวน้อยนั่งลงในที่นั่งรถไฟเหาะและล็อกอุปกรณ์นิรภัยเรียบร้อย เขาถามลูกสาวของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ถวนถวน ลูกกลัวรึเปล่า?”

“กลัว!”

เด็กน้อยพยักหน้าพร้อมกับกำมือของอวี้ฮ่าวหรานเอาไว้แน่น

“แต่พ่อจ๋าอยู่ด้วย หนูเลยกล้าเล่น!”

เด็กน้อยมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาเป็นประกาย สำหรับเธอแล้วพ่อของเธอเป็นเหมือนภูเขาใหญ่ที่เธอสามารถพึ่งพิงได้ไม่ว่าจะมีพายุลมแรงแค่ไหน

หลังจากนั้นไม่นานรถไฟเหาะก็เริ่มแล่นไปตามรางเรื่อย ๆ และเมื่อมันดิ่งลงทางชัน ถวนถวนก็กรีดร้องด้วยความตื่นเต้นปนหวาดเสียว