ตอนที่ 164 ความสับสนของจิ่วเยี่ย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ซวนหยวนชิงอวิ๋น “ฟ้าดินวิปริตเช่นนี้ เกรงว่าจะมีสมบัติแปลกประหลาดล้ำค่าเกิดขึ้น”

ทันใดนั้น เสียงอ่อนโยนพลันดังขึ้น “เกรงว่าสมบัติแปลกประหลาดอันล้ำค่านี้จะมีค่ามากทีเดียวเชียว”

“ท่านอาเล็ก” มู่เฉียนซีเรียก

มู่อวู่ซวงเห็นบุรุษผู้สง่างามที่อยู่ตรงหน้า กล่าวขึ้นว่า “ดึกมากแล้ว อวิ๋นอ๋องควรกลับจวนได้แล้วกระมัง”

สำหรับบุรุษที่ชอบบุกเข้ามาในอาณาเขตของหลานสาวตนในยามวิกาล ไม่ว่าจะรูปงามเพียงใด ดีเลิศเพียงใด มู่อวู่ซวงมิโปรดปราณเอาเสียเลย

ซวนหยวนชิงอวิ๋น “เฉียนซี วันนี้รบกวนเจ้ามากแล้ว หลังจากที่สมบัติแปลกประหลาดอันล้ำค่าปรากฏขึ้น เกรงว่าแคว้นจื่อเยี่ยจะไม่สงบสุขอีกต่อไป เจ้าระวังตัวด้วย”

“อืม เจ้าก็เช่นกัน”

มู่เฉียนซีเอ่ยสั่ง “มู่อี สั่งองครักษ์เงาทุกคนจับตาดูสมบัติแปลกประหลาดอันล้ำค่านั้นให้ดี หากมีความคืบหน้าอะไรให้มารายงานข้าทันที”

“ซีเอ๋อร์สนใจสมบัติแปลกประหลาดอันล้ำค่านั้นหรือ ?” มู่อวู่ซวงกล่าวถาม เขาไม่อยากให้มู่เฉียนซีหลานสาวเข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย

มู่เฉียนซี “ท่านอาเล็ก ภายในอากาศยังได้กลิ่นหอมของยาอยู่ บางทีสมบัติแปลกประหลาดนี้ อาจมีความเกี่ยวข้องกับสมุนไพรวิญญาณก็เป็นได้ เช่นนั้นแล้วข้าจึงสนใจ”

“รับปากกับข้าได้หรือไม่ว่าจะไม่เสี่ยงอันตราย ให้ข้าลงมือเองเถอะ”

“แต่ว่า… ตอนนี้ท่านอายังป่วยไม่หายดี ในฐานะที่ข้าเป็นนักปรุงยาผู้มีจรรยาบรรณ ข้าจะไม่ยอมใช้แรงงานผู้ป่วยเป็นแน่”

“แต่ข้าไม่ได้เป็นเพียงผู้ป่วยของซีเอ๋อร์เท่านั้น ข้ายังเป็นท่านอาของเจ้านะซีเอ๋อร์  สิ่งใดที่ซีเอ๋อร์สนใจใคร่จะได้ ข้าจะไปเอามาให้กับมือ”

มู่เฉียนซีเดินเข้าไปใกล้ ๆ รถเข็นของมู่อวู่ซวงพลางกล่าววาจา “เป็นเพราะว่าท่านอาเล็ก เป็นท่านอาของข้าอย่างไรล่ะ ข้าจึงอยากให้ท่านอาพักผ่อน รักษาร่างกายให้แข็งแรง ท่านอาอย่าหลงคิดว่าข้ามู่เฉียนซีใจดี รอให้ท่านกลับมาแข็งแรงเป็นปกติ ข้ามีเรื่องรบกวนท่านอาเล็กเรื่องหนึ่ง ถึงตอนนั้นแล้วท่านอาเล็กจะยุ่งตัวเป็นเกลียวแน่นอน”

เมื่อเห็นหลานสาวตัวน้อยที่ซุกซนไม่เชื่อฟัง มู่อวู่ซวงรู้สึกจนใจ “ซีเอ๋อร์ นับวันเจ้ายิ่งไร้เหตุผล เก่งกาจกว่าข้าไปเสียแล้ว”

“ใครใช้ให้ข้าอายุน้อยกว่าท่านอาล่ะ เหตุผลของท่านอาเล็กสู้ข้าไม่ได้หรอก  ท่านอาเล็กพักผ่อนมาก ๆ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะดีกว่า  เรื่องสมบัติแปลกประหลาดนั่น ข้ามู่เฉียนซีจะจัดการมันเอง” มู่เฉียนซีกล่าวพลางเข็นรถเข็นของมู่อวู่ซวง พามู่อวู่ซวงกลับเรือนอวู่โยว

……

เช้าวันต่อมา ข่าวเรื่องสมบัติแปลกประหลาดแพร่กระจายไปทั่วแคว้นจื่อเยี่ย

กองกำลังของแคว้นจื่อเยี่ย ราชวงศ์ และตระกูลอวิ๋นพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว  สำนักนิกายใหญ่ทั้งสองสำนักของแคว้นจื่อเยี่ยซึ่งก็คือสำนักซวนเหลยและสำนักจี๋หั่วเวลานี้นั่งไม่ติดแล้วเช่นกัน แม้แต่สำนักนิกายของแคว้นชิงยังตื่นตระหนก  ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าสมบัติแปลกประหลาดคือสิ่งใด  พวกเขาก็รู้ว่ามันต้องเป็นสิ่งระทึกในใต้หล้านี้อย่างแน่นอน

จวินโม่ซีมาที่จวนตระกูลมู่ กล่าวกับมู่เฉียนซีว่า… “สาวน้อย ข้าว่าสมบัติแปลกประหลาดนั่นต้องเป็นของดีแน่นอน เจ้าสนใจจะไปสืบข่าวกับข้าหรือไม่ ?”

แม้แต่จวินโม่ซียังสนใจเรื่องนี้  นั่นก็หมายความว่าสมบัติแปลกประหลาดต้องมิใช่สิ่งธรรมดาสามัญ  เท่าที่มู่เฉียนซีรู้จักจวินโม่ซีมานั้น นอกจากการปรุงยากับอาหารอันโอชะแล้ว เขาไม่สนใจเรื่องใดเลย

มู่เฉียนซีตอบกลับ “ไปสิ”

“มู่อี เตรียมคนสิบคนออกไปกับข้า รวมถึงชิงอิ่งด้วย”

มู่อีกล่าวว่า “ท่านผู้นำ สิบคน มิเป็นจำนวนที่น้อยไปหรือขอรับ ?”

“ไปกันเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว  คนน้อย ๆ มันสะดวกนัก  ต่อให้เรานำองครักษ์เงาไปทั้งหมดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักนิกาย องครักษ์เงาต้องอยู่ดูแลความปลอดภัยที่จวนเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนเข้ามาลอบทำร้าย”

“ขอรับ”

หลังจากตระเตรียมกำลังคนทั้งสิบเรียบร้อยแล้ว  มู่เฉียนซี จวินโม่ซี และชิงอิ่ง ทั้งสามคนก็ได้เดินทางออกจากจื่อตู

บนหน้าผาเป็นบริเวณที่แสงสีม่วงกระจายออกไป และเป็นสถานที่ที่สมบัติแปลกประหลาดนั้นตกลงมาสู่โลกด้วยเช่นกัน

แสงระยิบระยับสีม่วงจางหายไปเมื่อดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้า  ทว่าทุกคนยังคงระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ

สองสำนักนิกายใหญ่ กองกำลังของราชวงศ์ รวมถึงตระกูลอวิ๋นได้ส่งคนมาก่อนหน้านี้แล้ว แน่นอนว่าตระกลมู่มาช้ากว่าพวกเขา อีกทั้งยังนำกำลังคนมาน้อยกว่า

“มู่เฉียนซี เรานำกำลังคนมาน้อยเช่นนี้จะสู้กำลังคนของพวกมันได้อย่างไร เหตุใดเจ้าไม่ทำของอร่อย ๆ ยั่วให้บุรุษผู้นั้นมาด้วยล่ะ ? ข้าคิดว่าหากมีเขามาด้วย เจ้าพวกคนของราชวงศ์และสำนักนิกายนั่น มิวายถูกเขากวาดล้างสิ้นซากเป็นแน่” จวินโม่ซีกล่าวถามขึ้น

มุมปากมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าจิ่วเยี่ยจะเหมือนเจ้าที่นำเอาของกินไปยั่วแล้วจะมารึ ?!  แต่หากว่า…” นางหันไปมองรอบ ๆ อย่างช้า ๆ เจ้าก้อนน้ำแข็งจิ่วเยี่ยนั่นเป็นบุรุษลึกลับซับซ้อน  ผีเข้าผีออก  ต่อให้นางไม่เห็นเขา คิดว่าไม่นานเขาจะปรากฏตัวขึ้น

ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังรีบเดินทางอยู่นั้น   ในสถานที่ที่พวกเขาไม่สามารถสังเกตเห็นได้ บุรุษผู้งดงามกำลังพึมพำว่า “เยี่ย เจ้าลากข้ามาจากสวรรค์ชั้นเจ็ดของข้าเพื่อมาในสถานที่ทุรกันดารเช่นนี้รึ! น่าเบื่อนัก”

“มันเป็นเพียงดินแดนแห่งความลับและของที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น เจ้าเอาออกมาให้นางโดยตรงก็เป็นอันจบเรื่องแล้ว เหตุใดถึงต้องใช้วิธีนี้ตามนางด้วยเล่า ?” จื่อโยวบ่นพึมพำ

จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงเย็นชา “มู่เฉียนซี   ซี… นางไม่ชอบเช่นนั้น  อีกอย่าง นางต้องฝึกประสบการณ์”

จื่อโยว “ในเมื่อจะให้นางฝึกประสบการณ์ เจ้าต้องให้นางเผชิญกับความเป็นความตาย เจ้าติดตามนางเช่นนี้จะให้นางฝึกประสบการณ์ได้อย่างไรกัน ? ข้าว่าเรากลับดีกว่า แม่นางคนงามของข้ากำลังรอข้าอยู่”

จิ่วเยี่ย “หยุด! ข้าไม่อยากให้นางได้รับบาดเจ็บ”

มุมปากจื่อโยวกระตุกเล็กน้อย เขากล่าวติดตลก “เจ้าอยากให้นางเติบโตโดยเร็ว แต่ไม่อยากให้นางเสี่ยงอันตราย  เยี่ย ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าคนอย่างเจ้าจะสับสนเรื่องเช่นนี้ได้”

แสงยะเยือกที่เต็มไปด้วยอันตรายวาบผ่านดวงตาจิ่วเยี่ย  จื่อโยวกล่าวขึ้น “เพราะเหตุใดรึ ? ข้าพูดความจริง เจ้าจึงคิดฆ่าข้าเพื่อปิดปากรึ ?”

“หนวกหู!” กล่าวจบ ร่างจิ่วเยี่ยอันตรธานไปทันที

จื่อโยวรีบหุบปาก ทว่ายังลอบกล่าว “เหอะ! ไม่พูดก็ได้!”

ทางด้านมู่เฉียนซี นางกำลังเร่งรีบเดินทาง จึงไม่รับรู้ถึงความสับสนของจิ่วเยี่ยผู้เย็นชาแม้แต่น้อย  จากนั้นไม่นานนัก มู่เฉียนซีและพวกก็ได้เดินทางมาถึงหน้าผา เมื่อร่างนางปรากฏขึ้น ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นผงะไปครู่หนึ่ง

ซวนหยวนจือกล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ “ซีเอ๋อร์ เจ้าก็มาที่นี่ด้วยหรือ ? หาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ!  เจ้าเป็นเพียงจอมภูต ที่นี่อันตรายสำหรับเจ้ามาก”

ในใจซวนหยวนจือเกิดความรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา หากมู่เฉียนซีตายที่นี่คงจะเป็นเรื่องดี

อวิ๋นซินหรานยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเป็นกล่าวอย่างไร้พิษภัย “อา… ท่านผู้นำตระกูลมู่ เราได้เจอกันอีกแล้ว”

เจ้าสำนักแห่งสำนักตานจี้เหลือบมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “ยากจะเชื่อว่าท่านผู้นำตระกูลมู่ที่เป็นแค่สาวน้อยตัวเล็ก ๆ และคนอย่างราชาโอสถ จะกล้าทำร้ายคนของสำนักตานจี้ของข้า”

นักปรุงยาอัจฉริยะอย่างจิ่งเหลียงฮุยที่เคยถูกมู่เฉียนซีฉีกหน้าภายในงานการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการปรุงยาในครานั้น จ้องมองมู่เฉียนซีเขม็ง แววตาไม่พอใจฉายชัด

มู่เฉียนซีหงุดหงิดนัก จิ่งเหลียงฮุยผู้นี้ นำเอาเรื่องของนางไปเล่าเสีย ๆ หาย ๆ ให้กับเจ้าสำนักตานจี้ฟัง

ส่วนปรมาจารย์แห่งสำนักนิกายซวนเหลย เวลานี้มองมู่เฉียนซีด้วยแววตาดูถูกเช่นกัน  ‘เด็กน้อย…นางเป็นแค่ระดับจอมภูต กลับกล้ามาในที่แห่งนี้ รนหาที่ตายชัด ๆ!’

มู่เฉียนซีกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสี่กลุ่ม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาร่วมมือกัน  ราชวงศ์เป็นพวกเดียวกันกับสำนักซวนเหลย ส่วนตระกูลอวิ๋นก็เป็นพวกเดียวกันกับสำนักตานจี้

พวกเขารวมตัวกันเพื่อความแข็งแกร่ง ส่วนตระกูลมู่มาอย่างโดดเดี่ยว ดูอ่อนแอกว่าอย่างชัดเจน

มู่เฉียนซีไม่สนใจคำพูดถากถางและสายตาดูถูกเหยียดหยาม  นางกล่าว “พวกท่านมาที่นี่กันตั้งแต่เช้าตรู่ มิทราบว่าเจอสมบัติแปลกประหลาดนั่นหรือไม่ ?”

“เหอะ! เจ้าคิดว่าของล้ำค่าเช่นนั้นจะหาเจอกันได้ง่าย ๆ เช่นนั้นรึ ?” เจ้าสำนักแห่งสำนักตานจี้ทำเสียงฮึดฮัด คำกล่าวเขาแทบเป็นการตะคอก

.