ตอนที่ 239 ท่าที

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ตอนเย็น เฉิงฉือกลับมา ซางมามาสั่งให้บ่าวเด็กยกน้ำร้อนเข้ามาปรนนิบัติเขาเปลี่ยนอาภรณ์ ส่วนตัวเองยืนรายงานอยู่ข้างๆ “คุณหนูรองมาหาท่านเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก เอ่ยขึ้นว่า “แล้วมาอย่างไร”

ซางมามางุนงงไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “อันนี้ข้าไม่ได้ถามเจ้าค่ะ แต่ว่า คุณหนูรองมากับมารดาเลี้ยงของนาง น่าจะนั่งเกี้ยวมาเจ้าค่ะ!”

“ข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้!” เฉิงฉือกล่าวอย่างยับยั้งอารมณ์เอาไว้ “ข้าจะถามว่า คุณหนูไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้วถึงมาหา หรือว่าแอบมาหาข้าเงียบๆ”

ซางมามาได้ยินแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างครุ่นคิดพิจารณาว่า “ตอนที่คุณหนูรองมานั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินโจวกำลังคุยกันอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินโจวยังคุยกันไม่เสร็จ คุณหนูรองก็กลับไปเรือนหลักแล้วเจ้าค่ะ…”

เช่นนั้นก็แสดงว่าแอบมาเงียบๆ

เด็กผู้นี้ หรือว่าเจอกับปัญหาอะไรเข้า?

เฉิงฉือครุ่นคิดอยู่ในใจ ความเร็วในการถอดชุดจึงเนิบช้าลงมา

วันที่เดินทางกลับบ้านในวันนั้นยังดูมีความสุขอยู่เลย

ต่อมาเฉิงเจิงส่งขนมของพระราชวังมาให้สองกล่อง มารดายังเก็บกล่องหนึ่งเอาไว้ให้เด็กผู้นี้ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้นางตอนที่นางเข้ามาในวันที่สอง ปรากฏว่าวันที่สองนางไปไหว้ปีใหม่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่เรือนเจียซู่เสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านที่ถนนผิงเฉียวไปอย่างรีบร้อน…หรือว่าจะมีข่าวหลุดออกจากจวนสี่ พอนางรู้ว่านายหญิงผู้เฒ่ากวนหมายจะเก็บนางเอาไว้ที่จวนสี่ก็เลยไม่สบายใจจึงวิ่งหนีกลับไป?

นี่มีความเป็นไปได้!

เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่น

เขาคิดจะหาตระกูลดีๆ สักตระกูลหนึ่งให้เด็กผู้นั้น แต่หาเท่าไร ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจ

หรือว่า ควรจะมองหาที่อยู่ไกลกว่านี้สักหน่อย?

ซูโจวหังโจว ซงเจียง และอู๋ซีล้วนอยู่ใกล้จินหลิง นั่งเรือเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ถ้าสถานที่เหล่านั้นมีคนที่เหมาะสมให้เลือก ก็ไม่เสียหายจะที่พิจารณาดูสักหน่อย…

เฉิงฉือยื่นชุดที่ถอดออกมาส่งให้ชิงเฟิง ถามซางมามาว่า “เด็กคนนั้นไม่ได้ฝากอะไรมากับเจ้าหรือ”

“บอกเพียงว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ” ซางมามากล่าวอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น กล่าวต่อว่า “ส่วนอย่างอื่น ไม่ได้บอกอะไรเลยเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือมุมปากกระตุก

ในสายตาของเด็กผู้นั้น เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องใหญ่ได้

แต่เขาก็ยังคงครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “แล้วสีหน้าท่าทางของนางเป็นอย่างไร” กลัวว่าซางมามาจะไม่เข้าใจอีก เขาจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “ข้าหมายถึงนางมีสีหน้ากังวล หรือว่าก็เหมือนกับยามปกติ หรือว่าดีใจเป็นอย่างมาก เป็นต้น”

ซางมามาทบทวนเหตุการณ์ในเวลานั้นอย่างละเอียด กล่าวขึ้นว่า “ดูเหมือนจะเหมือนกับยามปกติกระมังเจ้าคะ”

คำตอบนี้หมายความว่าอย่างไร

เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ตกลงว่าเหมือนหรือไม่เหมือนกันแน่”

ซางมามาจึงยิ่งไม่กล้ากล่าวฟันธง ลังเลอยู่ครู่ใหญ่

เฉิงฉือกล่าว “ช่างเถิด! พรุ่งนี้เจอนางก็รู้เอง”

ซางมามายิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ถอยออกไปอย่างนอบน้อมด้วยเหงื่อเย็นท่วมศีรษะ

เฉิงฉืออดยิ้มไม่ได้

ตนจะกังวลไปทำไม

อีกไม่กี่ชั่วยามหลังจากนี้ก็ได้รู้แล้ว

หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว เขาเปลี่ยนชุดใหม่ เตรียมจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว หลั่งเย่ว์วิ่งเข้ามา กล่าวอย่างร้อนรนว่า “นายท่านสี่ นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียแล้วขอรับ!”

“เจ้าว่าอะไรนะ” เฉิงฉือกระโดดลุกพรวดขึ้นมา “นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียแล้วอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อใด ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าทราบข่าวหรือยัง”

หลั่งเย่ว์รีบกล่าว “ตระกูลกู้ให้คนนำเทียบมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการเฉพาะ เทียบของตระกูลเฉิงยังมาไม่ถึงเลยขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเปลี่ยนชุดอยู่ ให้สาวใช้มารายงาน บอกว่าให้ท่านเร่งเปลี่ยนชุด แล้วไปตระกูลกู้ขอรับ ส่วนเรื่องภายในจวนมอบหมายให้พ่อบ้านใหญ่ฉินดูแลชั่วคราวไปก่อนขอรับ”

นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียชีวิต ตระกูลเฉิงก็ต้องไปร่วมแสดงความเสียใจด้วย แต่โดยปกติแล้วเทียบมักจะถูกส่งมาให้หลังจากที่นำร่างบรรจุลงในโลงเรียบร้อยแล้ว การที่ส่งข่าวมาให้มารดาเป็นการเฉพาะเช่นนี้ ก็เพราะนับพวกเขาเป็นดั่งญาติสนิทของตัวเอง หลังจากไปถึงแล้วหากไม่ใช่เพื่อให้ช่วยบรรจุร่างลงในโลงก็ให้ช่วยจัดเตรียมพิธีศพ

เฉิงฉือรีบตะโกนเรียกชิงเฟิงมาช่วยเขาเปลี่ยนชุด และสั่งหลั่งเย่ว์ให้ไปเก็บข้าวของ “เกรงว่าต้องไปพักอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน”

รอให้ผู้ทำพิธีมากันพร้อมแล้ว เขาถึงได้ผละกลับมาได้ครั้งหนึ่ง

หลั่งเย่ว์ขานรับซ้ำๆ ว่า “ขอรับ”

เฉิงฉือครุ่นคิดครู่หนึ่ง เรียกซางมามาเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้ท่านแม่ของข้าคงไม่อาจจัดเลี้ยงต้อนรับฮูหยินโจวแล้ว ประเดี๋ยวตอนที่เจ้าไปก็เตือนท่านแม่ของข้าด้วย พรุ่งนี้เช้าค่อยไปที่ถนนผิงเฉียวด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง ไปถามคุณหนูรองว่าตกลงนางมีเรื่องอะไรกันแน่ หากเป็นเรื่องไม่เร่งด่วน ก็ให้รอสักสองสามวันแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญมาก ให้นางรอก่อน แล้วคืนนี้ข้าจะไปหาสักครั้งหนึ่ง”

ซางมามาจิตใจปั่นป่วนประหนึ่งพายุรุนแรงกลางท้องทะเลก็ไม่ปาน

นายท่านสี่เป็นคนพูดง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

นี่หากว่าให้พวกนายท่านจี้หรือเซียวเจิ้นไห่มาพบเห็นเข้า จะไม่ทำลูกกะตาหล่นพื้นหมดเลยหรือ!

แต่นางก็เดินทางรอนแรมตามสถานที่ต่างๆ มาแล้วมากมายหลายปี เป็นคนรู้จักสถานการณ์ ฝึกจนกลายเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้มาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร แต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขานรับเสียงนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”

เฉิงฉือเปลี่ยนไปสวมชุดคลุมบุฝ้ายผ้าเนื้อหยาบสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่งอย่างพึงพอใจ แล้วไปหามารดา

เป็นดังที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีดำไร้ลวดลายตัวหนึ่ง นั่งสีหน้าโศกเศร้าอยู่บนตั่งหลัวฮั่นขณะที่หมุนลูกประคำไม้ประดู่สิบแปดเม็ดในมือไปด้วย

เฉิงฉือก้าวเข้าไปเรียกเบาๆ ว่า “ท่านแม่”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้สติกลับมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้ากับพ่อของเจ้ามีปากเสียงกันเป็นครั้งแรกนั้น เป็นนางที่มาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย ตอนนั้นนางสั่งสอนพ่อของเจ้าไปชุดใหญ่ต่อหน้าข้า แล้วก็ตำหนิข้าไปชุดหนึ่งด้วยเช่นกัน สุดท้ายถามข้าว่า ต้องการหย่าหรือไม่ หากไม่คิดจะหย่า เช่นนั้นมีอะไรก็ต้องปรึกษาหารือกัน แต่ถ้าต้องการหย่า ก็ไม่ต้องกล่าวอะไรอีก ให้แบ่งสินสมรสให้ชัดเจน ลูกให้อยู่ที่ตระกูลเฉิง ส่วนข้าให้เก็บสินสอดแล้วกลับตระกูลฝั่งมารดาไปเสีย แล้วนางจะหาภรรยาคนใหม่มาให้พ่อของเจ้า ให้นางอยู่เรือนที่เข้าเคยอยู่ ให้นางดูแลสั่งสอนลูกของข้า…ข้าโมโห นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เอาบ้านก็ได้ แต่ไม่อาจให้ผู้อื่นมาดูแลลูกของข้า หรือให้พวกเขาเรียกผู้อื่นว่าแม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวไปด้วย น้ำตาก็ไหลไม่หยุดไปด้วย กล่าวอีกว่า “ใครจะรู้ว่านางกลับจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้…”

เฉิงฉือก้าวเข้าไปกอดฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ กระซิบกล่าวปลอบโยนมารดาว่า “นายหญิงผู้เฒ่าอายุแปดสิบเก้าปีแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่กินได้ดื่มได้ จากไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่ต้องนอนติดเตียงรับความเหน็ดเหนื่อย นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี เป็นการจากไปตามความร่วงโรยของวัยชรา ท่านควรจะดีใจแทนนางถึงจะถูก สถานการณ์ของตระกูลกู้ท่านทราบดีที่สุด นายหญิงผู้เฒ่าจากไปเช่นนี้ นายท่านเก้าของตระกูลกู้ต้องกลับมาไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด เกรงว่าชะตาของตระกูลกู้จะยิ่งลำบากแล้ว ทางด้านของพี่ชายใหญ่ ตระกูลกู้ย่อมต้องคาดหวังให้ท่านช่วยออกหน้าพูดให้เป็นแน่ ท่านควรจะเร่งไปที่ตระกูลกู้ถึงจะถูกนะขอรับ”

แม้นตระกูลกู้มีบุรุษมาก แต่ปัจจุบันคนที่พอจะดูมีอนาคตรุ่งโรจน์ในสายงานราชการกลับเป็นกู้ชิงเหอหลานชายคนโตของนายหญิงผู้เฒ่า ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในจิ่วชิงที่ดูแลเรื่องระเบียบธรรมเนียมการประชุมการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง นายหญิงผู้เฒ่าเสียชีวิต เขาต้องกลับมาไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปี ตำแหน่งที่ดำรงอยู่ก็ต้องปล่อยออกไปก่อน เมื่อกลับเมืองหลวงอีกครั้ง จะหาตำแหน่งอะไรได้นั้นยากที่จะกล่าวนัก

เวลานี้ การเรียกตัวเขากลับไปดำรงตำแหน่งของเฉิงจิงที่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการ ที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งเหวินหวาจึงสำคัญต่อกู้ชิงเหอเป็นอย่างมาก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า เช็ดน้ำตา สีหน้าสงบขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ เจ้าบอกคนข้างกายด้วย เมื่อเก็บของเสร็จแล้วพวกเราจะไปกันเลย” ขณะที่กล่าว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ร้อง “ไอ้โหยว” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง กล่าวอีกว่า “แย่แล้ว! ข้าบอกไปว่าจะเชิญมารดาเลี้ยงของเสาจิ่นมากินข้าวด้วย…”

คิดไม่ถึงว่ามารดายังจำเรื่องนี้ได้อยู่!

เฉิงฉือกล่าว “ข้าให้คนไปแจ้งสักหน่อยก็ได้แล้วขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจ พลางกล่าว “คงได้แต่ต้องรออีกสักสองสามวันแล้ว”

“อีกสองสามวันกำลังดีขอรับ” เฉิงฉือกล่าว “อีกไม่กี่วันอากาศอบอุ่นดอกไม้เบ่งบาน จะได้เชิญฮูหยินโจวเข้ามาชมดอกไม้พอดี”

มารดาเองก็จะได้ใช้โอกาสนี้ผ่อนคลายจากความโศกเศร้าบ้าง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าน้อยๆ

***

ณ ตระกูลโจวถนนผิงเฉียว

โจวเสาจิ่นได้รับข่าวนี้แล้วก็ตะลึงงันไปครู่ใหญ่ นึกถึงนายหญิงผู้เฒ่าที่มีนิสัยเหมือนเด็กผู้นั้นตอนที่นางไปเป็นแขกที่ตระกูลกู้เมื่อคราวก่อน ในใจก็โศกเศร้ายิ่งนัก ถามซางมามาที่มาแจ้งข่าวว่า “ท่านน้าฉือกับฮูหยินผู้เฒ่าจะพักอยู่ที่ตระกูลกู้สักสองสามวันทั้งสองคนเลยใช่หรือไม่”

ซางมามากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “น่าจะพักอยู่ดูสักสองสามวัน นายท่านสี่และฮูหยินผู้เฒ่าต่างนำเสื้อผ้าและของใช้ไปด้วยเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่งอย่างบอกไม่ถูก กล่าวขึ้นว่า “ท่านช่วยไปบอกท่านน้าฉือว่าเรื่องของข้ามิใช่เรื่องเร่งด่วนสำคัญอะไร ให้เขาจัดการเรื่องของตระกูลกู้ให้เสร็จก่อน”

ซางมามาขานรับยิ้มๆ

โจวเสาจิ่นพานางไปหาหลี่ซื่อ

พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่าหลี่ซื่อย่อมไม่อาจพร่ำบ่นอะไรได้ รีบกล่าวว่า “ความสูญเสียเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนพวกเรานั้นจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ายามใดก็ได้” จากนั้นถามถึงสภาพจิตใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมาว่าเป็นอย่างไรบ้างอย่างมีมารยาท แล้วก็กล่าวแลกเปลี่ยนกันไปอีกหลายประโยค หลังจากตกเงินรางวัลให้ซางมามาสองเหลี่ยงแล้ว ก็ไปส่งซางมามาที่ประตูด้วยตัวเอง

โจวเสาจิ่นถามซางมามา “ท่านจะกลับจวนหรือไปที่ตระกูลกู้?”

“ไปตระกูลกู้เจ้าค่ะ!” ซางมามากล่าวยิ้มๆ “นายท่านสี่บอกเอาไว้แล้วว่าหากท่านมีข้อความอะไรต้องการแจ้ง ก็ให้ข้าไปรายงานเขาด้วยเจ้าค่ะ”

โจวเสาจสิ่นจึงให้ซางมามานำความไปฝากคุณหนูกู้ที่สิบเจ็ด “…ขอให้นางเข้มแข็งและผ่านความเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้อย่างราบรื่น!”

ซางมามารับปากแล้วไปที่ตระกูลกู้

เฉิงฉือกำลังวุ่นอยู่กับการหารือเรื่องแจ้งการเสียชีวิตกับคนของตระกูลกู้ นายท่านผู้เฒ่าและนายท่านหลายคนของตระกูลกู้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายจากอาการเสียใจและตกใจกับการจากไปของนายหญิงผู้เฒ่า พูดหรือกระทำอะไรล้วนมึนๆ งงๆ พ่อบ้านทั้งหลายมีเรื่องอะไรจึงมารายงานเฉิงฉือ ให้เฉิงฉือช่วยตัดสินใจ

ชั่วขณะนั้นข้างกายเฉิงฉือจึงห้อมล้อมไปด้วยคนทั้งที่นั่งและยืนเต็มไปหมด

ซางมามายื่นหน้าเข้าประตูมามองหาแล้วก็ถอยกลับออกไป

เฉิงฉือตาดี มองเห็นนางได้ในทันที

เขาไม่รอให้พ่อบ้านที่มาขอคำชี้แนะจากเขาได้กล่าวจนจบก็ลุกขึ้นมา กล่าวว่า “ข้ามีธุระเล็กน้อย พวกท่านรอสักครู่” จากนั้นออกจากห้องโถงไปท่ามกลางสายตาของทุกคน ยืนนิ่งอยู่ใต้โถงทางเดิน

ซางมามารีบก้าวเข้ามารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่ถนนผิงเฉียวเบาๆ

เฉิงฉือได้ยินแล้วกลับกังวลใจขึ้นมา

ถ้าเรื่องราวไม่ได้สำคัญหรือเร่งด่วนอย่างที่เด็กสาวกล่าวมาจริง โดยปกตินางมักจะพรวดพราดเข้ามาหา แล้วขอให้เขาทำนั่นทำนี่ให้โดยไม่คิดอะไร ในทางกลับกัน หากเป็นเรื่องที่สำคัญ นางจะครุ่นคิดชั่งน้ำหนักไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากกับเขาอย่างไรดี ก็เหมือนตอนนางตามเขาและมารดาไปเขาผู่ถัว ขาไปไม่ว่าอยากจะซื้อของอะไรแต่เพื่อไม่ทำให้การเดินทางของพวกเขาล่าช้าแล้ว นางล้วนไม่เอ่ยปากเลยสักคำ แต่ขากลับพอไม่มีธุระสำคัญแล้วนางจึงเริ่มเอ่ยปากว่าต้องการไปขนอิฐที่เจดีย์เหลยเฟิงบ้าง ต้องไปซื้อหวีสับที่ฉางโจวบ้าง กระทั่งเขากับท่านผู้เฒ่าซ่งลุ่มหลงเข้าไปอยู่กับเรื่องการศึกษาน้ำ นางก็หาอะไรให้ตัวเองทำอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ โดยไม่งอแง ดูดื้อรั้น ทว่าก็อยู่ในขอบเขตมีความเหมาะสมยิ่ง

เขาครุ่นคิดพิจารณา มองคนที่นั่งบ้างยืนบ้างอยู่ในห้อง พึมพำกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าไปบอกคุณหนูรองว่า ยามซวี[1] หลังจากที่จัดเตรียมเรื่องมื้อค่ำของทางนี้เสร็จแล้วข้าจะไปหา ให้นางรอข้าครู่หนึ่ง”

ซางมามาลอบประหลาดใจ

มิใช่บอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วนหรอกหรือ

นายท่านสี่ยังจะไปหาอีกเพื่ออันใด

…………………………………..

ตอนเย็น เฉิงฉือกลับมา ซางมามาสั่งให้บ่าวเด็กยกน้ำร้อนเข้ามาปรนนิบัติเขาเปลี่ยนอาภรณ์ ส่วนตัวเองยืนรายงานอยู่ข้างๆ “คุณหนูรองมาหาท่านเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก เอ่ยขึ้นว่า “แล้วมาอย่างไร”

ซางมามางุนงงไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “อันนี้ข้าไม่ได้ถามเจ้าค่ะ แต่ว่า คุณหนูรองมากับมารดาเลี้ยงของนาง น่าจะนั่งเกี้ยวมาเจ้าค่ะ!”

“ข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้!” เฉิงฉือกล่าวอย่างยับยั้งอารมณ์เอาไว้ “ข้าจะถามว่า คุณหนูไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเรียบร้อยแล้วถึงมาหา หรือว่าแอบมาหาข้าเงียบๆ”

ซางมามาได้ยินแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างครุ่นคิดพิจารณาว่า “ตอนที่คุณหนูรองมานั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินโจวกำลังคุยกันอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินโจวยังคุยกันไม่เสร็จ คุณหนูรองก็กลับไปเรือนหลักแล้วเจ้าค่ะ…”

เช่นนั้นก็แสดงว่าแอบมาเงียบๆ

เด็กผู้นี้ หรือว่าเจอกับปัญหาอะไรเข้า?

เฉิงฉือครุ่นคิดอยู่ในใจ ความเร็วในการถอดชุดจึงเนิบช้าลงมา

วันที่เดินทางกลับบ้านในวันนั้นยังดูมีความสุขอยู่เลย

ต่อมาเฉิงเจิงส่งขนมของพระราชวังมาให้สองกล่อง มารดายังเก็บกล่องหนึ่งเอาไว้ให้เด็กผู้นี้ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้นางตอนที่นางเข้ามาในวันที่สอง ปรากฏว่าวันที่สองนางไปไหว้ปีใหม่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่เรือนเจียซู่เสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านที่ถนนผิงเฉียวไปอย่างรีบร้อน…หรือว่าจะมีข่าวหลุดออกจากจวนสี่ พอนางรู้ว่านายหญิงผู้เฒ่ากวนหมายจะเก็บนางเอาไว้ที่จวนสี่ก็เลยไม่สบายใจจึงวิ่งหนีกลับไป?

นี่มีความเป็นไปได้!

เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่น

เขาคิดจะหาตระกูลดีๆ สักตระกูลหนึ่งให้เด็กผู้นั้น แต่หาเท่าไร ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจ

หรือว่า ควรจะมองหาที่อยู่ไกลกว่านี้สักหน่อย?

ซูโจวหังโจว ซงเจียง และอู๋ซีล้วนอยู่ใกล้จินหลิง นั่งเรือเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ถ้าสถานที่เหล่านั้นมีคนที่เหมาะสมให้เลือก ก็ไม่เสียหายจะที่พิจารณาดูสักหน่อย…

เฉิงฉือยื่นชุดที่ถอดออกมาส่งให้ชิงเฟิง ถามซางมามาว่า “เด็กคนนั้นไม่ได้ฝากอะไรมากับเจ้าหรือ”

“บอกเพียงว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ” ซางมามากล่าวอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น กล่าวต่อว่า “ส่วนอย่างอื่น ไม่ได้บอกอะไรเลยเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือมุมปากกระตุก

ในสายตาของเด็กผู้นั้น เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องใหญ่ได้

แต่เขาก็ยังคงครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “แล้วสีหน้าท่าทางของนางเป็นอย่างไร” กลัวว่าซางมามาจะไม่เข้าใจอีก เขาจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “ข้าหมายถึงนางมีสีหน้ากังวล หรือว่าก็เหมือนกับยามปกติ หรือว่าดีใจเป็นอย่างมาก เป็นต้น”

ซางมามาทบทวนเหตุการณ์ในเวลานั้นอย่างละเอียด กล่าวขึ้นว่า “ดูเหมือนจะเหมือนกับยามปกติกระมังเจ้าคะ”

คำตอบนี้หมายความว่าอย่างไร

เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ตกลงว่าเหมือนหรือไม่เหมือนกันแน่”

ซางมามาจึงยิ่งไม่กล้ากล่าวฟันธง ลังเลอยู่ครู่ใหญ่

เฉิงฉือกล่าว “ช่างเถิด! พรุ่งนี้เจอนางก็รู้เอง”

ซางมามายิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ถอยออกไปอย่างนอบน้อมด้วยเหงื่อเย็นท่วมศีรษะ

เฉิงฉืออดยิ้มไม่ได้

ตนจะกังวลไปทำไม

อีกไม่กี่ชั่วยามหลังจากนี้ก็ได้รู้แล้ว

หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว เขาเปลี่ยนชุดใหม่ เตรียมจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว หลั่งเย่ว์วิ่งเข้ามา กล่าวอย่างร้อนรนว่า “นายท่านสี่ นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียแล้วขอรับ!”

“เจ้าว่าอะไรนะ” เฉิงฉือกระโดดลุกพรวดขึ้นมา “นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียแล้วอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อใด ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าทราบข่าวหรือยัง”

หลั่งเย่ว์รีบกล่าว “ตระกูลกู้ให้คนนำเทียบมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการเฉพาะ เทียบของตระกูลเฉิงยังมาไม่ถึงเลยขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเปลี่ยนชุดอยู่ ให้สาวใช้มารายงาน บอกว่าให้ท่านเร่งเปลี่ยนชุด แล้วไปตระกูลกู้ขอรับ ส่วนเรื่องภายในจวนมอบหมายให้พ่อบ้านใหญ่ฉินดูแลชั่วคราวไปก่อนขอรับ”

นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียชีวิต ตระกูลเฉิงก็ต้องไปร่วมแสดงความเสียใจด้วย แต่โดยปกติแล้วเทียบมักจะถูกส่งมาให้หลังจากที่นำร่างบรรจุลงในโลงเรียบร้อยแล้ว การที่ส่งข่าวมาให้มารดาเป็นการเฉพาะเช่นนี้ ก็เพราะนับพวกเขาเป็นดั่งญาติสนิทของตัวเอง หลังจากไปถึงแล้วหากไม่ใช่เพื่อให้ช่วยบรรจุร่างลงในโลงก็ให้ช่วยจัดเตรียมพิธีศพ

เฉิงฉือรีบตะโกนเรียกชิงเฟิงมาช่วยเขาเปลี่ยนชุด และสั่งหลั่งเย่ว์ให้ไปเก็บข้าวของ “เกรงว่าต้องไปพักอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน”

รอให้ผู้ทำพิธีมากันพร้อมแล้ว เขาถึงได้ผละกลับมาได้ครั้งหนึ่ง

หลั่งเย่ว์ขานรับซ้ำๆ ว่า “ขอรับ”

เฉิงฉือครุ่นคิดครู่หนึ่ง เรียกซางมามาเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้ท่านแม่ของข้าคงไม่อาจจัดเลี้ยงต้อนรับฮูหยินโจวแล้ว ประเดี๋ยวตอนที่เจ้าไปก็เตือนท่านแม่ของข้าด้วย พรุ่งนี้เช้าค่อยไปที่ถนนผิงเฉียวด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง ไปถามคุณหนูรองว่าตกลงนางมีเรื่องอะไรกันแน่ หากเป็นเรื่องไม่เร่งด่วน ก็ให้รอสักสองสามวันแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญมาก ให้นางรอก่อน แล้วคืนนี้ข้าจะไปหาสักครั้งหนึ่ง”

ซางมามาจิตใจปั่นป่วนประหนึ่งพายุรุนแรงกลางท้องทะเลก็ไม่ปาน

นายท่านสี่เป็นคนพูดง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

นี่หากว่าให้พวกนายท่านจี้หรือเซียวเจิ้นไห่มาพบเห็นเข้า จะไม่ทำลูกกะตาหล่นพื้นหมดเลยหรือ!

แต่นางก็เดินทางรอนแรมตามสถานที่ต่างๆ มาแล้วมากมายหลายปี เป็นคนรู้จักสถานการณ์ ฝึกจนกลายเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้มาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร แต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขานรับเสียงนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”

เฉิงฉือเปลี่ยนไปสวมชุดคลุมบุฝ้ายผ้าเนื้อหยาบสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่งอย่างพึงพอใจ แล้วไปหามารดา

เป็นดังที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีดำไร้ลวดลายตัวหนึ่ง นั่งสีหน้าโศกเศร้าอยู่บนตั่งหลัวฮั่นขณะที่หมุนลูกประคำไม้ประดู่สิบแปดเม็ดในมือไปด้วย

เฉิงฉือก้าวเข้าไปเรียกเบาๆ ว่า “ท่านแม่”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้สติกลับมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้ากับพ่อของเจ้ามีปากเสียงกันเป็นครั้งแรกนั้น เป็นนางที่มาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย ตอนนั้นนางสั่งสอนพ่อของเจ้าไปชุดใหญ่ต่อหน้าข้า แล้วก็ตำหนิข้าไปชุดหนึ่งด้วยเช่นกัน สุดท้ายถามข้าว่า ต้องการหย่าหรือไม่ หากไม่คิดจะหย่า เช่นนั้นมีอะไรก็ต้องปรึกษาหารือกัน แต่ถ้าต้องการหย่า ก็ไม่ต้องกล่าวอะไรอีก ให้แบ่งสินสมรสให้ชัดเจน ลูกให้อยู่ที่ตระกูลเฉิง ส่วนข้าให้เก็บสินสอดแล้วกลับตระกูลฝั่งมารดาไปเสีย แล้วนางจะหาภรรยาคนใหม่มาให้พ่อของเจ้า ให้นางอยู่เรือนที่เข้าเคยอยู่ ให้นางดูแลสั่งสอนลูกของข้า…ข้าโมโห นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เอาบ้านก็ได้ แต่ไม่อาจให้ผู้อื่นมาดูแลลูกของข้า หรือให้พวกเขาเรียกผู้อื่นว่าแม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวไปด้วย น้ำตาก็ไหลไม่หยุดไปด้วย กล่าวอีกว่า “ใครจะรู้ว่านางกลับจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้…”

เฉิงฉือก้าวเข้าไปกอดฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ กระซิบกล่าวปลอบโยนมารดาว่า “นายหญิงผู้เฒ่าอายุแปดสิบเก้าปีแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่กินได้ดื่มได้ จากไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่ต้องนอนติดเตียงรับความเหน็ดเหนื่อย นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี เป็นการจากไปตามความร่วงโรยของวัยชรา ท่านควรจะดีใจแทนนางถึงจะถูก สถานการณ์ของตระกูลกู้ท่านทราบดีที่สุด นายหญิงผู้เฒ่าจากไปเช่นนี้ นายท่านเก้าของตระกูลกู้ต้องกลับมาไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด เกรงว่าชะตาของตระกูลกู้จะยิ่งลำบากแล้ว ทางด้านของพี่ชายใหญ่ ตระกูลกู้ย่อมต้องคาดหวังให้ท่านช่วยออกหน้าพูดให้เป็นแน่ ท่านควรจะเร่งไปที่ตระกูลกู้ถึงจะถูกนะขอรับ”

แม้นตระกูลกู้มีบุรุษมาก แต่ปัจจุบันคนที่พอจะดูมีอนาคตรุ่งโรจน์ในสายงานราชการกลับเป็นกู้ชิงเหอหลานชายคนโตของนายหญิงผู้เฒ่า ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในจิ่วชิงที่ดูแลเรื่องระเบียบธรรมเนียมการประชุมการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง นายหญิงผู้เฒ่าเสียชีวิต เขาต้องกลับมาไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปี ตำแหน่งที่ดำรงอยู่ก็ต้องปล่อยออกไปก่อน เมื่อกลับเมืองหลวงอีกครั้ง จะหาตำแหน่งอะไรได้นั้นยากที่จะกล่าวนัก

เวลานี้ การเรียกตัวเขากลับไปดำรงตำแหน่งของเฉิงจิงที่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการ ที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งเหวินหวาจึงสำคัญต่อกู้ชิงเหอเป็นอย่างมาก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า เช็ดน้ำตา สีหน้าสงบขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ เจ้าบอกคนข้างกายด้วย เมื่อเก็บของเสร็จแล้วพวกเราจะไปกันเลย” ขณะที่กล่าว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ร้อง “ไอ้โหยว” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง กล่าวอีกว่า “แย่แล้ว! ข้าบอกไปว่าจะเชิญมารดาเลี้ยงของเสาจิ่นมากินข้าวด้วย…”

คิดไม่ถึงว่ามารดายังจำเรื่องนี้ได้อยู่!

เฉิงฉือกล่าว “ข้าให้คนไปแจ้งสักหน่อยก็ได้แล้วขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจ พลางกล่าว “คงได้แต่ต้องรออีกสักสองสามวันแล้ว”

“อีกสองสามวันกำลังดีขอรับ” เฉิงฉือกล่าว “อีกไม่กี่วันอากาศอบอุ่นดอกไม้เบ่งบาน จะได้เชิญฮูหยินโจวเข้ามาชมดอกไม้พอดี”

มารดาเองก็จะได้ใช้โอกาสนี้ผ่อนคลายจากความโศกเศร้าบ้าง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าน้อยๆ

***

ณ ตระกูลโจวถนนผิงเฉียว

โจวเสาจิ่นได้รับข่าวนี้แล้วก็ตะลึงงันไปครู่ใหญ่ นึกถึงนายหญิงผู้เฒ่าที่มีนิสัยเหมือนเด็กผู้นั้นตอนที่นางไปเป็นแขกที่ตระกูลกู้เมื่อคราวก่อน ในใจก็โศกเศร้ายิ่งนัก ถามซางมามาที่มาแจ้งข่าวว่า “ท่านน้าฉือกับฮูหยินผู้เฒ่าจะพักอยู่ที่ตระกูลกู้สักสองสามวันทั้งสองคนเลยใช่หรือไม่”

ซางมามากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “น่าจะพักอยู่ดูสักสองสามวัน นายท่านสี่และฮูหยินผู้เฒ่าต่างนำเสื้อผ้าและของใช้ไปด้วยเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่งอย่างบอกไม่ถูก กล่าวขึ้นว่า “ท่านช่วยไปบอกท่านน้าฉือว่าเรื่องของข้ามิใช่เรื่องเร่งด่วนสำคัญอะไร ให้เขาจัดการเรื่องของตระกูลกู้ให้เสร็จก่อน”

ซางมามาขานรับยิ้มๆ

โจวเสาจิ่นพานางไปหาหลี่ซื่อ

พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่าหลี่ซื่อย่อมไม่อาจพร่ำบ่นอะไรได้ รีบกล่าวว่า “ความสูญเสียเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนพวกเรานั้นจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ายามใดก็ได้” จากนั้นถามถึงสภาพจิตใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมาว่าเป็นอย่างไรบ้างอย่างมีมารยาท แล้วก็กล่าวแลกเปลี่ยนกันไปอีกหลายประโยค หลังจากตกเงินรางวัลให้ซางมามาสองเหลี่ยงแล้ว ก็ไปส่งซางมามาที่ประตูด้วยตัวเอง

โจวเสาจิ่นถามซางมามา “ท่านจะกลับจวนหรือไปที่ตระกูลกู้?”

“ไปตระกูลกู้เจ้าค่ะ!” ซางมามากล่าวยิ้มๆ “นายท่านสี่บอกเอาไว้แล้วว่าหากท่านมีข้อความอะไรต้องการแจ้ง ก็ให้ข้าไปรายงานเขาด้วยเจ้าค่ะ”

โจวเสาจสิ่นจึงให้ซางมามานำความไปฝากคุณหนูกู้ที่สิบเจ็ด “…ขอให้นางเข้มแข็งและผ่านความเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้อย่างราบรื่น!”

ซางมามารับปากแล้วไปที่ตระกูลกู้

เฉิงฉือกำลังวุ่นอยู่กับการหารือเรื่องแจ้งการเสียชีวิตกับคนของตระกูลกู้ นายท่านผู้เฒ่าและนายท่านหลายคนของตระกูลกู้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายจากอาการเสียใจและตกใจกับการจากไปของนายหญิงผู้เฒ่า พูดหรือกระทำอะไรล้วนมึนๆ งงๆ พ่อบ้านทั้งหลายมีเรื่องอะไรจึงมารายงานเฉิงฉือ ให้เฉิงฉือช่วยตัดสินใจ

ชั่วขณะนั้นข้างกายเฉิงฉือจึงห้อมล้อมไปด้วยคนทั้งที่นั่งและยืนเต็มไปหมด

ซางมามายื่นหน้าเข้าประตูมามองหาแล้วก็ถอยกลับออกไป

เฉิงฉือตาดี มองเห็นนางได้ในทันที

เขาไม่รอให้พ่อบ้านที่มาขอคำชี้แนะจากเขาได้กล่าวจนจบก็ลุกขึ้นมา กล่าวว่า “ข้ามีธุระเล็กน้อย พวกท่านรอสักครู่” จากนั้นออกจากห้องโถงไปท่ามกลางสายตาของทุกคน ยืนนิ่งอยู่ใต้โถงทางเดิน

ซางมามารีบก้าวเข้ามารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่ถนนผิงเฉียวเบาๆ

เฉิงฉือได้ยินแล้วกลับกังวลใจขึ้นมา

ถ้าเรื่องราวไม่ได้สำคัญหรือเร่งด่วนอย่างที่เด็กสาวกล่าวมาจริง โดยปกตินางมักจะพรวดพราดเข้ามาหา แล้วขอให้เขาทำนั่นทำนี่ให้โดยไม่คิดอะไร ในทางกลับกัน หากเป็นเรื่องที่สำคัญ นางจะครุ่นคิดชั่งน้ำหนักไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากกับเขาอย่างไรดี ก็เหมือนตอนนางตามเขาและมารดาไปเขาผู่ถัว ขาไปไม่ว่าอยากจะซื้อของอะไรแต่เพื่อไม่ทำให้การเดินทางของพวกเขาล่าช้าแล้ว นางล้วนไม่เอ่ยปากเลยสักคำ แต่ขากลับพอไม่มีธุระสำคัญแล้วนางจึงเริ่มเอ่ยปากว่าต้องการไปขนอิฐที่เจดีย์เหลยเฟิงบ้าง ต้องไปซื้อหวีสับที่ฉางโจวบ้าง กระทั่งเขากับท่านผู้เฒ่าซ่งลุ่มหลงเข้าไปอยู่กับเรื่องการศึกษาน้ำ นางก็หาอะไรให้ตัวเองทำอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ โดยไม่งอแง ดูดื้อรั้น ทว่าก็อยู่ในขอบเขตมีความเหมาะสมยิ่ง

เขาครุ่นคิดพิจารณา มองคนที่นั่งบ้างยืนบ้างอยู่ในห้อง พึมพำกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าไปบอกคุณหนูรองว่า ยามซวี[1] หลังจากที่จัดเตรียมเรื่องมื้อค่ำของทางนี้เสร็จแล้วข้าจะไปหา ให้นางรอข้าครู่หนึ่ง”

ซางมามาลอบประหลาดใจ

มิใช่บอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วนหรอกหรือ

นายท่านสี่ยังจะไปหาอีกเพื่ออันใด

…………………………………..