ตอนที่ 240 ช่วยเหลือ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

นับตั้งแต่ซางมามาเป็นผู้ติดตามของเฉิงฉือมา ก็เรียนรู้ที่จะไม่สงสัยการตัดสินใจใดๆ ของเฉิงฉือ

นางขานรับเสียงนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แล้วไปที่ถนนผิงเฉียว

โจวเสาจิ่นกำลังปรึกษาหารือกับพี่สาวอยู่ “…นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียชีวิต พวกเราเองก็ควรจะไปเคารพศพด้วยหรือไม่เจ้าคะ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ปีนั้นพวกเราก็เคยได้ทำความรู้จักนายหญิงผู้เฒ่ามาก่อน นอกจากนี้ยังสนิทสนมกับคุณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้อีกด้วย”

โจวชูจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม

ยิ่งอยู่น้องสาวก็ยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว

นี่นางหาใช่มาปรึกษาตน เห็นๆ อยู่ว่าต้องการมาพูดเกลี้ยกล่อมตนมากกว่า

น้องสาวเป็นเช่นนี้ นางก็แต่งงานออกไปอย่างวางใจได้แล้ว

โจวชูจิ่นพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าไปหารือกับฮูหยินได้เลย”

โจวเสาจิ่นขานรับอย่างยินดี

ชุนหว่านเข้ามารายงานว่าซางมามามาหา

โจวเสาจิ่นรีบให้ชุนหว่านเชิญนางเข้ามา หันไปกล่าวอธิบายกับพี่สาวว่า “ช่วงเช้าให้นางช่วยนำความไปส่งมาเจ้าค่ะ”

โจวชูจิ่นไม่กล้าละเลย สั่งให้ตงหว่านไปเชิญซางมามาไปนั่งดื่มน้ำชาที่โถงรับแขก

ซางมามาไหนเลยจะกล้า ยืนรออยู่ในนั้นอย่างนอบน้อม กระทั่งโจวเสาจิ่นสองพี่น้องออกมา นางรีบก้าวออกไปทำความเคารพ กล่าวขึ้นว่า “บ่าวได้รับคำสั่งของนายท่านสี่ให้นำความมาแจ้ง บอกว่าทางฝั่งญาติของตระกู้ต่างทยอยได้รับข่าวการสูญเสียแล้ว มีคนเร่งมาร่วมงานอยู่ไม่ขาด นายท่านสี่ต้องจัดเตรียมอาหารเย็นของทางโน้นให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วถึงจะมาหาได้ ให้คุณหนูรองอดทนรอสักหน่อยเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับพี่สาวด้วยสีหน้าไม่เข้าใจครั้งหนึ่ง จากนั้นถามซางมามาอย่างแปลกใจว่า “มิใช่บอกว่าเรื่องของข้าไม่ได้เร่งด่วน ให้ท่านน้าฉือจัดการธุระงานศพของตระกูลกู้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีมิใช่หรือ”

ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็ตอบนายท่านสี่ไปเช่นนี้แล้ว แต่นายท่านสี่กลับยืนกรานที่จะมาเจ้าค่ะ…”

โจวเสาจิ่นได้แต่พยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “ลำบากมามาแล้ว ถึงเวลาข้าจะรอท่านน้าฉือก็แล้วกัน”

ซางมามายิ้มพลางเอ่ยว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ” แล้วลุกขึ้นกล่าวขอตัว

ฉือเซียงออกไปส่งซางมามา

โจวชูจิ่นถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าให้ซางมามาไปบอกท่านน้าฉือว่าอะไรบ้าง เหตุใดท่านน้าฉือถึงได้ดูเหมือนกับว่าล่วงรู้อะไรบางอย่างมาอย่างนั้น”

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ได้กล่าวอะไรเลยเจ้าค่ะ!” จากนั้นเล่าเรื่องที่ผ่านมาทุกอย่างให้พี่สาวฟังอย่างละเอียด

โจวชูจิ่นเองก็ไม่เข้าใจ ได้แต่ไม่ไปคิดจะดีกว่า กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่ออีกประเดี๋ยวท่านน้าฉือจะมา เช่นนั้นก็ไปบอกให้ในครัวทำของว่างยามดึกเอาไว้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะรับประทานได้หรือไม่ ก็ถือเป็นน้ำใจของพวกเราครั้งหนึ่ง”

โจวเสาจิ่นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ไปสั่งการในครัวด้วยตัวเอง

ทางด้านของหลี่ซื่อเองก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน

นางกล่าวกับหลี่มามาว่า “คิดไม่ถึงว่าคำพูดของคุณหนูรองจะมีน้ำหนักต่อจวนหลักถึงเพียงนี้ ดึกขนาดนี้ แล้วก็เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ นายท่านสี่ของจวนหลักกลับตั้งใจหาเวลาออกมาหาได้…” ขณะที่นางกล่าว สีหน้าอดเผยความสงสัยออกมาไม่ได้ “ข้าได้ยินว่านายท่านสี่ของจวนหลักมียศจิ้นซื่อขั้นสองติดตัว กระทำการอะไรก็มีกลยุทธ์และแผนการอย่างดี…หรือว่านายท่านสี่ผู้นี้จะมิใช่นายท่านสี่ผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”

หลี่มามาเองก็รู้สึกว่าคาดไม่ถึง กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ ถึงเวลานั้นข้าไปดูสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ก็ดีเหมือนกัน” หลี่ซื่อรู้สึกว่ายิ่งตนได้ใกล้ชิดกับโจวเสาจิ่น ก็ยิ่งรู้สึกว่าถึงแม้นางจะดูอ่อนโยนและว่าง่าย แต่คำพูดและการกระทำกลับยิ่งทำให้คนรู้สึกว่ามีอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น “เจ้าระวังอย่าให้ถูกจับได้”

“ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ!” หลี่มามากล่าวยิ้มๆ พอฟ้ามืดก็ไปที่ห้องครัว กระทั่งเลยยามซวีไปหนึ่งเค่อ ชุนหว่านเข้ามาให้ในครัวยกโจ๊กขาวหนึ่งถ้วยและเครื่องเคียงอีกสามสี่อย่างไปที่ห้องโถงรับแขกของเรือนหลัก

หลี่มามาตริตรองว่านายท่านสี่ของจวนหลักน่าจะมาถึงแล้ว จึงแสร้งยกกาน้ำที่บรรจุน้ำเอาไว้ไปทางโถงรับแขก

โคมไฟที่โถงรับแขกสว่างไสว ฉากกั้นเปิดออกกว้าง พวกบ่าวไพร่ล้วนให้การปรนนิบัติอยู่ใต้โถงทางเดิน โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมกลางโถงรับแขกเป็นเพื่อนชายหนุ่มผู้หนึ่ง ฉือเซียงนำชุนหว่านและตงหว่านวางชามและตะเกียบ

บุรุษผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี สวมชุดคลุมตัวยาวผ้าเนื้อหยาบสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่ง ดูสุภาพสง่างาม องคาพยพทั้งห้าหล่อเหลาเป็นมิตร ทำให้คนบังเกิดความรู้สึกดี มีความสูงส่งของผู้มีการศึกษาดีอย่างดูเป็นธรรมชาติ

ขณะที่หลี่มามากำลังครุ่นคิดว่าควรจะแสร้งทำเป็นผ่านทางมาโดยไม่ตั้งใจเพื่อไปดูสักหน่อยดีหรือไม่อยู่นั้น บุรุษผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน สบเข้ากับสายตาของนางพอดิบพอดี

สายตาอ่อนโยนก่อนหน้านี้ของบุรุษผู้นั้นพลันเฉียบคมประหนึ่งดาบที่ถูกถอดออกมาจากคมฝัก หันมาพุ่งใส่นางด้วยลำแสงเยียบเย็น

นางตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว รีบหลุบสายตาลง แล้วเร่งเดินออกจากโถงรับแขกเพื่อหลีกหนีจากอันตรายไปตามสัญชาติญาณ

เฉิงฉือเก็บสายตากลับมา

โจวเสาจิ่นไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหูเขาว่า “…เนื่องจากดึกมากแล้ว กลัวว่าท่านจะอาหารไม่ย่อย ก็เลยให้ในครัวทำอาหารรสอ่อนๆ มาไม่กี่อย่างเท่านั้น ท่านรองท้องไปก่อน พรุ่งนี้เช้าก็อย่าลืมรับประทานให้มากสักหน่อยนะเจ้าคะ ข้าเคยเห็นผู้อื่นจัดงานศพ ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน จนอยากจะถลกหนังศีรษะทิ้ง หากพวกพ่อบ้านมาถึงกันหมดแล้ว ท่านต้องอย่าลืมพักผ่อนเสียบ้าง เพราะอย่างไรก็ไม่มีทางทำทุกอย่างให้แล้วเสร็จได้ ท่านทั้งเก่งกาจและมีความสามารถ หากท่านไปแย่งงานของผู้อื่นหมด ท่านต้องเหนื่อยเองไม่พอ ไม่แน่ว่าผู้อื่นก็ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรท่านด้วย!”

มุมปากของเฉิงฉือยกขึ้น

“เหตุใดเจ้าถึงได้เหมือนภรรยาแก่ๆ ผู้หนึ่งก็ไม่ปาน!”

ตัดบทสนทนาของนางแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีไหวซานและซางมามารับใช้อยู่ข้างกาย ไม่ต้องให้เจ้ามาเป็นห่วง”

“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นไม่เคืองโกรธ รับโจ๊กขาวจากมือของสาวใช้มาวางลงตรงหน้าเฉิงฉือ

เฉิงฉือกินไปคำหนึ่ง

หอมหวานและนุ่ม เป็นโจ๊กขาวตามต้นตำรับของเฉาโจว

เขาพึงพอใจยิ่ง ชิมผัดผักเงียบๆ

เป็นรสชาติอาหารของก่วงตงแท้ๆ

ทำให้เฉิงฉือที่ยุ่งมาทั้งวันรับประทานไปอย่างอิ่มเอมยิ่งนัก

โจวเสาจิ่นลอบยิ้ม

กระทั่งเฉิงฉือรับประทานเสร็จแล้ว ก็เรียกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามาให้เขาล้างมือ

เฉิงฉือลุกขึ้น กล่าวว่า “เจ้ากับข้าไปคุยกันตรงลานบ้านก็แล้วกัน!”

คุยกันตรงลานบ้าน หากผู้อื่นได้ยินเข้าจะทำอย่างไร

โจวเสาจิ่นลังเลเล็กน้อย

เฉิงฉือจึงยิ่งมั่นใจกับข้อสันนิษฐานของตัวเอง

เกรงว่าเด็กผู้นี้คงกำลังเผชิญกับเรื่องใหญ่จริงๆ

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องงานแต่งของพี่สาวหรือว่าเป็นเรื่องงานแต่งของตัวนางเองกันแน่

เขากล่าว “ไปยืนคุยตรงลานบ้านจะดีกว่า ใครอยู่ที่ไหนก็มองเห็นได้ชัด และก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกผู้อื่นมาแอบฟัง”

โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้น

หากปิดประตูคุยกันอยู่ในห้อง ผู้อื่นมองไม่เห็นนางขณะเดียวกันนางก็มองไม่เห็นผู้อื่น ง่ายต่อการถูกผู้อื่นใช้โอกาสนี้แอบฟังยิ่งนัก

นางตามเฉิงฉือไปที่ลานบ้าน

เฉิงฉือยืนอยู่ตรงกลางทางเดิน กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าค่อยๆ พูดมาว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

ไม่เหมือนกับคราวก่อนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือตัวใหญ่อย่างอย่างสบายๆ และถามนางอย่างไม่อดทนว่า เจ้ามีเรื่องอะไรอีกนั่นเลยสักนิด

โจวเสาจิ่นตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ถึงได้กระซิบเล่าเรื่องของเฉิงลู่ให้เฉิงฉือฟัง

เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้น ไม่ได้กล่าวอะไร

เขารู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าการแสดงออกของเฉิงลู่ผู้นี้ดูสมบูรณ์แบบเกินไป รู้สึกมีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องนัก

แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาอยู่ในสายตา

คนต่ำต้อยอย่างเฉิงลู่ผู้นี้ เพียงเขากระดิกนิ้วก็บดเขาให้แหลกได้แล้ว!

แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังคงไม่เก็บเฉิงลู่มาอยู่ในสายตาเช่นเดิม

ถ้ามิใช่เพราะเด็กสาวมาขอร้อง ต่อให้เขาจะรู้ว่าเฉิงลู่ทำอะไรไปแล้วบ้างแต่ก็คงจะปล่อยเฉิงลู่ต่อไปอีกสักตาหนึ่ง รอให้เขาสอบผ่านจวี่เหรินหรือไม่ก็จิ้นซื่อ ทำเรื่องที่ทำให้ผู้คนเกลียดชังมากยิ่งกว่านี้ แล้วตนค่อยจัดการเก็บกวาดเขาก็ยังไม่สาย

จัดการเขาในตอนนี้ อีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ จะไปสนุกอะไร

แต่ในเมื่อเด็กคนนี้มาขอถึงหน้าเขา หากเขาไม่มาเจอนางก็ยังถือได้ว่าให้มันแล้วกันไป แต่ในเมื่อมาเจอแล้ว เขาจะปฏิเสธไม่สนใจได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม จากแผนการของเด็กคนนี้แล้ว กว่าจะสำเร็จผลก็อีกสามถึงห้าปี

อีกไม่นานเขาก็จะไปจากตระกูลเฉิงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนที่เขาจะจากไปถึงจะถูก

เฉิงฉือครุ่นคิดอยู่ในใจ

โจวเสาจิ่นคิดว่าเฉิงฉือสงสัยในคำพูดของตัวเอง พลันอยู่ไม่สุขขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ทุกอย่างที่ข้าพูดมาเป็นความจริงเจ้าค่ะ! หากท่านไม่เชื่อ ให้คนไปตรวจสอบดูได้! ข้าเองก็ทราบดีว่าเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเฉิง แต่เฉิงลู่ผู้นี้…เป็นคนตีสองหน้าเก่งยิ่งนัก พอไม่ระวังเข้าหน่อยก็สร้างเรื่องออกมาแล้ว ดังคำที่กล่าวเอาไว้ มีเพียงศัตรูที่จับตามองเจ้าได้ทุกวัน แต่คนเฝ้าระวังไม่อาจระวังตัวตลอดไปได้ การที่พวกข้าต้องเฝ้าระวังเขาอยู่เช่นนี้ ทำให้เหน็ดเหนื่อยมากจริงๆ…”

“ข้าไม่ได้สงสัยเจ้า!” เฉิงฉือตัดบทคำพูดของนาง พึมพำกล่าวว่า “และข้าก็ไม่ได้คิดว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ตระกูลเฉิงเสียหายอะไร คนที่มีพรสวรรค์แต่ขาดคุณธรรมก็เป็นได้แค่คนต่ำต้อย คนต่ำต้อยใช้พรสวรรค์มากลบความชั่วร้ายของตัวเอง ใช้ความกล้าหาญมากลบความอำมหิตของตัวเอง เป็นดั่งเสือที่ติดปีก พวกเจ้าทำถูกต้องแล้ว ข้าเพียงกำลังคิดว่าจะมีวิธีที่จัดการได้เร็วกว่านี้หรือไม่เท่านั้น…

…แต่ความหมายของเจ้าข้ารับรู้แล้ว เจ้าไม่ต้องเขียนจดหมาย แต่ให้คนนำความไปบอกบิดาของเจ้าแทน พวกเจ้าทั้งสองตระกูลมีความแค้นต่อกัน กระดาษไม่อาจห่อไฟได้ ผู้ช่วยของบิดาเจ้าเข้าออกเมืองจินหลิง เป็นที่สะดุดตามากเกินไป หากเฉิงลู่ระแคะระคายอะไรขึ้นมา ก็จะคิดผูกโยงไปถึงครอบครัวของเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังต้องคอยเฝ้าระวังหมาจนตรอกอย่างเฉิงลู่ที่อาจจะกระทำเรื่องอะไรที่เป็นอันตรายต่อพวกเจ้าสองพี่น้องได้…

…ให้บิดาของเจ้าอย่าสอดมือเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ข้าจะคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้เอง”

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอก

นางรู้อยู่แล้วว่าท่านน้าฉือต้องช่วยนางได้อย่างแน่นอน!

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านน้าฉือ!” นางยิ้มหวาน

ทันใดนั้นเฉิงฉือก็นึกถึงเฉิงเจียซ่านขึ้นมา

เด็กอย่างโจวเสาจิ่นยังมองความไม่เหมาะสมของเฉิงลู่ออก เขาซึ่งเคยใกล้ชิดกับเฉิงลู่ผู้นั้นมาช่วงเวลาหนึ่ง จะไม่รู้ว่าเฉิงลู่เป็นคนอย่างไรแม้แต่นิดเดียวเลยอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนี้จริง เขาก็เป็นอย่างที่มารดาว่าเอาไว้จริงๆ ว่าไม่เหมาะสมจะเป็นทายาทสืบสกุลของตระกูลเฉิง…

เฉิงฉือครุ่นคิด พลางกล่าวอำลาโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นออกไปส่งเขาที่ประตู

แต่เฉิงฉือกลับกล่าวขึ้นว่า “ให้พ่อบ้านหม่าของพวกเจ้าผู้นั้นไปส่งข้าก็พอ ถึงแม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ลมตอนกลางคืนก็ยังเย็นอยู่ เจ้าระวังจะจับไข้เอาได้ อีกอย่าง คืนนี้เจ้าก็หลับดีๆ สักตื่น เกรงว่านับตั้งแต่ผู้ช่วยของบิดาเจ้าผู้นั้นกลับมา เจ้าก็คงไม่ได้หลับอย่างสบายใจเลยสักคืนกระมัง…”

โจวเสาจิ่นยิ้มร่า กล่าวว่า “ท่านน้าฉือเก่งกาจยิ่งนัก!”

ช่วงนี้นางนอนไม่ค่อยหลับจริงๆ

มิใช่แค่เพราะเรื่องของเฉิงลู่เท่านั้น ยังมีเรื่องของเฉิงอี้อีกด้วย

นางเข้าใจความคิดของผู้ใหญ่ดี

หากนางแต่งให้เฉิงอี้ ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวยอู้ฟู่ แต่ก็จะไม่ขาดแคลนอะไรอย่างแน่นอน

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น นางคงไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน

แต่เฉิงอี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกภาพพวกเขาสองคนในฐานะสามีภรรยาไม่ออกเลยจริงๆ…นอกจากนี้ นางตั้งใจเอาไว้ตั้งนานแล้วว่า ชาตินี้นางจะแต่งงานแน่ๆ แต่นางกับเขาผู้นั้นจะเป็นสามีภรรยากันแบบหลอกๆ เหมือนอย่างชาติก่อนเท่านั้น แล้วถ้านางแต่งกับเฉิงอี้ นางจะปิดบังเรื่องนี้จากพวกผู้ใหญ่ได้อย่างไร

หากบิดาตอบตกลงท่านยายเช่นนั้นนางจะทำอย่างไรดี

นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นเผยความกังวลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เฉิงฉือที่กำลังจะหมุนกายเดินจากไปเห็นแล้วสะดุดใจ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ายังมีเรื่องอะไรต้องการบอกข้าอีกหรือไม่”

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวบ่ายเบี่ยงไปโดยสัญชาตญาณว่า “ไม่…ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าไม่มีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือไม่เชื่อ

เขารู้จักโจวเสาจิ่นดี เป็นคนที่ซ่อนความรู้สึกไม่เป็นเหมือนกับเด็กผู้หนึ่งก็ไม่ปาน

ถ้าไม่มีเรื่องลำบากใจเรื่องอื่นอยู่ นางที่เชื่อมั่นในตัวเขามาตลอดนั้น ตอนนี้ควรจะเต็มไปด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่เขาตอบตกลงช่วยจัดการเรื่องเฉิงลู่ให้นางไปแล้ว มิใช่นัยน์ตาแฝงความกังวลเช่นนี้!

เฉิงฉือกล่าว “หากเจ้าบอกข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะช่วยจัดการให้เจ้าช่วงที่ข้าไม่มีธุระได้ แต่หากเจ้าไม่พูด ก็อย่าหวังว่าข้าจะสนใจเรื่องของเจ้าอีก!”

………………………………..