ตอนที่ 6 การปฏิเสธสาวงามนั้นไม่ง่ายเลย

Perfect Superstar

ตอนที่ 6 การปฏิเสธสาวงามนั้นไม่ง่ายเลย

พอไล่เสี่ยวเกาออกไปแล้ว ความสนใจของเฉินเจี้ยนหาวหันกลับมาที่เจ้าอ้วน

สายตาเขาเฉียบคมเหมือนเหยี่ยวเวลาออกล่าเหยื่อ เจ้าอ้วนเหมือนลูกนกที่กำลังตัวสั่นงันงก เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากเป็นเม็ด

ถึงฝีมือการควบคุมเสียงของเจ้าอ้วนขึ้นชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในห้องควบคุมเสียง แต่พอเถ้าแก่มาเยือนถึงห้องทำงานพร้อมกับไฟโทสะ ไขมันบนร่างกายของเขาเกิดอาการสั่น ความหวาดกลัวสุดขีดจนแทบอยากจะมุดหนีลงไปตามรอยแยกบนพื้นห้อง

หลบไม่พ้นแล้ว เขาได้แต่เค้นรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้ออกมา “เถ้าแก่ ผมสำนึกผิดแล้ว เจ้าเสี่ยวเกา…”

“ฉันรู้ว่าเสี่ยวเกาเป็นคนบอกให้นายทำ…”

เฉินเจี้ยนหาวพูดตัดบทคำอธิบายของเขา แล้วเอ่ยต่อว่า “เพราะฉะนั้นเดือนนี้ฉันจะหักเงินเดือนนาย ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก…”

สามารถเปิดบาร์ระดับกลางแห่งหนึ่งในย่านทะเลสาบโฮ่วไห่ได้ เฉินเจี้ยนหาวย่อมไม่ใช่คนธรรมดา คนที่ฉลาดหลักแหลมและมีประสบการณ์โชกโชนอย่างเขา ไม่ยอมปล่อยเรื่องเล็กน้อยผ่านไปง่ายๆ ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าความจริงเป็นอย่างไร

ตัวตั้งตัวตีอย่างเสี่ยวเกา เฉินเจี้ยนหาวไม่มีทางอะลุ้มอล่วยให้ แต่คนในห้องควบคุมเสียงไม่ควรให้เป็นเรื่องง่ายๆ แล้วจบ

แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีบทลงโทษและการตักเตือน

“จะต้องไม่มีครั้งหน้าอีกนะ!”

เจ้าอ้วนเหมือนยกภูเขาออกจากอก รีบตอบว่า “ผมจะรักษากฎอย่างแน่นอนครับ ตอนนี้ผมจะช่วยปรับเสียงให้เสี่ยวลู่!”

เขารีบวุ่นวายเปิดเครื่องปรับแต่งเสียง

คิดไม่ถึงว่าเฉินเจี้ยนหาวจะนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ของเสี่ยวลู่ไม่ต้องปรับแต่งแล้ว ส่วนคนอื่นทำเหมือนเดิม”

เดิมทีในบาร์เดย์ลิลลี่ นักร้องที่ไม่ต้องปรับแต่งเสียงมีอยู่สองคน คือนักร้องเซ็นสัญญาจางน่าน่าและนักร้องนำวงเฮสิเทชั่นอย่างฉินฮั่นหยาง ทั้งสองคนเป็นเหมือนเสาหลักของเวที

ตอนนี้เพิ่มลู่เฉินเข้าไปอีกคน!

สิ่งที่เฉินเจี้ยนหาวคิดไม่ตกคือ กลัวว่าคืนนี้ลู่เฉินจะโบยบินออกไป โลกที่นี่แคบไปจริงๆ

เขาหันไปพยักหน้าให้เจ้าอ้วนทีหนึ่ง แล้วออกมาจากห้องควบคุมเสียง

ลู่เฉินเพิ่งร้องเพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันจบรอบที่สอง ได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลาม

ยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่ส่งมาเป็นรางวัลทีละขวดๆ!

“เสี่ยวลู่ ร้องอีกสักสองเพลง!” มีคนตะโกนขึ้นมา

ด้วยมีรางวัลตรงหน้ามากมาย ลู่เฉินยังอยากร้องอีกหลายเพลง แต่ถ้าบอกว่าในบาร์นี้ก็เหมือนกับวงการเล็กๆ แห่งหนึ่ง ก็ย่อมมีกฎของวงการ เขาเป็นน้องใหม่จะไม่เคารพกฎไม่ได้

การเป็นนักร้องเสริม ได้ร้องเพลงเปิดเวทีสองเพลงแรกถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว หากทำตามคำร้องขอของลูกค้า ร้องเพิ่มอีกสักเพลงคงไม่เป็นไร แต่หากคิดจะเป็นเจ้าเวที เกรงว่าจะทำให้ผู้คนไม่พอใจ…นักร้องคนอื่นยังต้องดูคุณร้องเหรอ?

ดังนั้นเมื่อเห็นพิธีกรเดินออกมา ลู่เฉินจึงรีบลุกขึ้นโค้งคำนับ “ขอบคุณทุกท่านมากครับ ขอบคุณ!”

ตอนนี้พอดีกับที่เห็นเฉินเจี้ยนหาวโบกมือเรียกเขาอยู่หลังเวที จึงต้องถอยออกมาและมอบเวทีให้พี่หง

เก็บกีตาร์ในห้องหลังเวทีแล้ว ลู่เฉินรีบร้อนไปตรงเคาน์เตอร์

“เถ้าแก่!”

“นั่งลงคุยกันเถอะ…”

เฉินเจี้ยนหาวพยักหน้า บุ้ยใบ้ให้เขานั่งลง พูดเข้าเรื่องว่า “วันนี้นายร้องไม่เลวเลย เพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันได้อารมณ์มาก คิดไม่ถึงว่านายมีความสามารถขนาดนี้ เมื่อก่อนฉันตาถั่วเอง”

ลู่เฉินเกาศีรษะอย่างเก้อเขิน ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

บอกตามตรงว่าเขาเองตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่ รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง

ยังดีที่เฉินเจี้ยนหาวไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงต่อ เขาชี้นิ้วไปที่หญิงสาวสวยที่นั่งข้างตัวเองคนนั้น บอกว่า “เธอคนนี้คือซูชิงเหมยลูกพี่ลูกน้องของฉัน เธอร่วมกับหุ้นส่วนเปิดบริษัทมีเดียแห่งหนึ่ง เธอสนใจในตัวนายมาก เลยอยากจะเจรจากับนายเรื่องเซ็นสัญญา”

“ผม?”

ลู่เฉินไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูตัวเอง “เซ็นสัญญากับบริษัทมีเดีย?”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขายังไม่กล้าฝันถึงเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เหตุการณ์เกิดตามกันมาติดๆ!

ซูชิงเหมยหัวเราะ “ไม่ผิดหรอก นายนั่นแหละ!”

“ฉันขอแนะนำตัวหน่อย ฉันเป็นผู้จัดการบริษัทชิงอวี่มีเดียซูชิงเหมย ฉันชอบเพลงที่นายร้องมาก”

เธอยื่นมือออกมาให้ลู่เฉิน “นายเรียกฉันว่าพี่เหมยก็พอ”

“ผู้จัดการซูสวัสดีครับ…”

ลู่เฉินยื่นมือออกไปจับกับมือของเธอ สัมผัสได้ถึงผิวที่นุ่มละมุน หัวใจเต้นเร็วแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่

ซูชิงเหมยยิ้มน้อยๆ เธอไม่ได้แก้คำที่ลู่เฉินใช้เรียกเธอ เอ่ยต่อว่า “บริษัทชิงอวี่มีเดียของเรา งานส่วนใหญ่คือ การเป็นผู้จัดการให้ศิลปิน ผลิตละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ จัดงานกิจกรรมใหญ่ๆ ออกสื่อใหม่ๆ ตอนนี้กำลังค้นหาศิลปินหน้าใหม่ที่มีความสามารถ ถ้านายยินยอม พวกเราจะได้เซ็นสัญญากันอย่างเป็นทางการพรุ่งนี้”

หลังผ่านความตื่นเต้นในตอนแรก ลู่เฉินค่อยๆ ใจเย็นลง เขาถามว่า “ผู้จัดการซูครับ ถ้าสะดวกละก็ ผมขอดูเนื้อหาสัญญาก่อนได้ไหมครับ?”

ถ้าเป็นลู่เฉินคนเมื่อวานได้โอกาสในการเซ็นสัญญา เขาจะไม่ลังใดเลยสักนิด หากแต่ตอนนี้ลู่เฉินมีความสามารถล้นเหลือ ทั้งยังเพิ่งได้รับการพิสูจน์

ดังนั้นถึงแม้การเซ็นสัญญากับบริษัทมีเดียช่างล่อตาล่อใจ แต่ไม่พอจะทำให้เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไป

ซูชิงเหมยรู้สึกทึ่ง ยิ้มตอบว่า “แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ในมือถือฉันมีเอกสารสัญญาของศิลปินใหม่อยู่ ฉันจะเปิดให้นายดู ฉันใช้แอพพลิเคชั่นเฟยซู่ส่งให้นายก็ได้”

ลู่เฉินรีบตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นรบกวนขอยืมโทรศัพท์มือถือของผู้จัดการซูสักครู่ครับ แบบนี้จะได้เร็วหน่อย…”

มือถือเครื่องเก่าในกระเป๋าเสื้อ อย่าเอาออกมาให้ขายหน้าจะดีกว่า

ซูชิงเหมยหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาจากกระเป๋าที่มียี่ห้อ ‘CHANEL’ ฝังอยู่ ใช้ลายนิ้วมือปลดล็อกรหัสโทรศัพท์ แล้วยื่นให้ลู่เฉิน

บนหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วความละเอียดสูง แสดงภาพเอกสารที่ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นอย่างคมชัดถึงขีดสุด

เอกสารของศิลปินใหม่มีเนื้อหายาวมาก ถ้าต้องการอ่านอย่างละเอียด ใช้เวลาเพียงครู่เดียวไม่พอ แต่ลู่เฉินอ่านคร่าวๆ ไม่กี่ข้อ ยิ่งอ่านก็ยิ่งตกใจแล้ว

สัญญาฉบับนี้เข้มงวดเกินกว่าที่เขาคิดไว้!

เมื่อก่อนลู่เฉินเคยอ่านข่าวในอินเทอร์เน็ต มักเห็นข่าวนักแสดงบางคนหรือนักร้องบางคนปัญหาขัดแย้งกันกับผู้จัดการส่วนตัวจากบริษัท ทะเลาะกันจนขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นข่าวใหญ่โต เหตุผลที่ดาราเหล่านั้นใช้จัดการกับทางบริษัท ที่ขาดไม่ได้คือสัญญาที่มีการเซ็นกันทั้งสองฝ่าย

เข้มงวดเกินไป ไม่มีมนุษยธรรม ไม่มีอิสระ ถูกขูดรีด…สรุปคือเสียเปรียบในทุกด้าน

ตอนนั้นลู่เฉินเพียงแต่ดูข่าวสนุกๆ ไม่ได้เชื่อถือมาก เหล่าดารามักเก่งการแสดง เรียกร้องคะแนนสงสาร เล่นลูกไม้หลายอย่างที่ดูแล้วเหมือนๆ กัน ทุกคนต่างเห็นกันจนชินแล้ว

แต่ตอนนี้เมื่อได้สัมผัสกับวงการนี้ เขาถึงได้รู้ว่าหลายเรื่องไม่ได้เป็นเรื่องหลอกลวง

สัญญาศิลปินใหม่ฉบับนี้ ประการแรกอายุสัญญาคือสิบปี ในสิบปีนี้ลู่เฉินต้องไม่ออกไปจากบริษัทชิงอวี่มีเดีย

หากผิดสัญญาต้องจ่ายค่าเสียหายสิบล้าน!

ถ้าเกิดเขาเซ็นแล้ว ก็หมายถึงช่วงเวลาวัยรุ่นอันสวยงามที่สุดต้องถูกขายไปให้ฝ่ายนั้น!

เพียงแค่เงื่อนไขนี้ข้อเดียวก็ทำให้ลู่เฉินรู้สึกในแง่ลบแล้ว

ประการที่สองในเงื่อนไขของสัญญา ในช่วงเวลาที่กำลังฝึกซ้อมหรือฝึกงาน ศิลปินใหม่จะได้รับเพียงเงินเดือนขั้นต่ำ ไม่มีโบนัส ไม่มีเงินรางวัล และไม่อนุญาตให้ออกไปหางานพิเศษเสริม

ลู่เฉินคิดไปคิดมา รู้สึกอยากไปหาก้อนเต้าหู้มาฟาดหัวตัวเองให้ตายเสียแล้ว

อีกประการคือหลังจากเซ็นสัญญาไปแล้ว ภาพลิขสิทธิ์และลิขสิทธิ์ผลงานของเขาต้องตกเป็นของบริษัททั้งหมด การแบ่งเปอร์เซ็นต์จะอ้างอิงตามรายได้และผลประโยชน์ โดยเริ่มต้นที่ 10%!

ลู่เฉินไม่อยากอ่านต่อแล้ว แม้ด้านล่างจะมีเงื่อนไขอีกหลายข้อที่ดูซับซ้อนก็ตาม

เขายื่นโทรศัพท์ส่งคืนให้ซูชิงเหมย ตอบว่า “ผู้จัดการซูครับ ขอโทษจริงๆ สัญญาฉบับนี้ผมไม่อยากเซ็นครับ”

“เพราะอะไรกัน?”

ซูชิงเหมยขมวดคิ้ว ถามต่อว่า “นายยังอ่านไม่จบก็ตัดสินใจแล้ว ไม่ใจร้อนเกินไปหน่อยเหรอ?”

ลู่เฉินตอบกลับอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่นว่า “เงื่อนไขด้านบนหลายข้อไม่ค่อยเหมาะกับสภาพของผมตอนนี้ เพราะฉะนั้นขออภัยจริงๆ ครับ”

ภาระหนี้ของครอบครัวเขามีจำนวนมหาศาล เขาทำงานปากกัดตีนถีบอยู่ในเมืองหลวง ถึงจะเหนื่อยแต่รายได้ก็ไม่เลว ถ้ายังทำงานแบบนี้ต่อไป เดือนหนึ่งเขาก็ปลดหนี้ให้ครอบครัวตนได้ไม่น้อย

หากเซ็นสัญญาไป อนาคตยังไม่ต้องพูดถึง อีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาก็อยู่ไม่ได้แล้ว

สิ่งสำคัญที่สุดคือเงื่อนไขข้อลิขสิทธิ์ ตามเงื่อนไขในสัญญา สิทธิ์ในผลงานเพลงของเขา บริษัทจะริบไปทั้งหมด อย่างมากก็โยนแค่เศษเงินเล็กน้อยให้เขาเท่านั้น!

ถ้าเป็นลู่เฉินคนก่อนอาจไม่สนใจข้อนี้ แต่ตอนนี้เขามีขุมทรัพย์ล้ำค่าอยู่ แล้วจะยอมยกให้คนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไร?

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเงื่อนไขที่จำกัดเสรีภาพของเขาเลย…

แต่ซูชิงเหมยไม่เข้าใจความคิดของลู่เฉิน คิดว่าเขากำลังต่อรองราคา จึงไม่พอใจมาก

เธอคิดครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ถ้าเป็นปัญหาที่เงื่อนไข ศิลปินในบริษัทสื่อและบริษัทนายหน้า สัญญาของศิลปินใหม่เงื่อนไขไม่ต่างกันหรอก นายแค่เซ็นสัญญานี้ พวกเราบริษัทชิงอวี่มีเดียจะใช้ทรัพยากรทั้งหลายเพื่อฝึกฝน บ่มเพาะ และสนับสนุนนาย นายอย่ามองแค่ผลประโยชน์เล็กน้อยตรงหน้านี้สิ!”

“นายไตร่ตรองให้ดีก่อน อย่าให้ความวู่วามจนทำให้เสียโอกาส!”

ซูชิงเหมยอยากจะบอกเจ้าหนุ่มตรงหน้าว่า มีหลายคนที่อยากได้สัญญาฉบับนี้แต่ไม่มีทางได้!

ทว่าลู่เฉินไม่ชอบคำพูดที่บีบบังคับของเธอ จึงตอบอย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงว่า “ขอโทษจริงๆ ครับ ผู้จัดการซู อาจเป็นเพราะตอนนี้ผมตาไม่มีแวว อนาคตหากมีโอกาสเราค่อยร่วมงานกันเถอะครับ”

คุณทั้งสวย ทั้งรวยมาก ทั้งเป็นผู้จัดการบริษัท แต่แล้วยังไงเล่า?

ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากคุณ ทำไมต้องเชื่อฟังคุณด้วย?

ลู่เฉินยืดหลังตรง ใช้สายตาบอกอีกฝ่ายถึงการปฏิเสธและความแน่วแน่ของตน!

แม้การปฏิเสธผู้จัดการสาวสวยคนนี้จะไม่ง่ายเลย

“ร่วมงานกัน?”

ซูชิงเหมยโกรธจนเกือบจะหัวเราะออกมา…พูดจาจองหองเสียจริง!

หน้าตาหล่อแล้วอย่างไร เล่นดนตรีร้องเพลงได้แล้วอย่างไร เขียนผลงานเพลงได้ก็คิดว่าตัวเองเก่งนักหรือ?

ใสซื่อเกินไปแล้ว!

ถ้ามีแก้วน้ำวางอยู่ตรงหน้า ซูชิงเหมยต้องคว้ามันขึ้นมาสาดใส่หน้าลู่เฉินแน่นอน เพื่อปลุกให้เขาตื่นเต็มตา

“อะแฮ่มๆ!”

มองสองฝ่ายถกเถียงกันไปมา บรรยากาศร้อนระอุขึ้นเหมือนกำลังจะชักดาบสู้กัน เฉินเจี้ยนหาวที่นั่งอยู่ข้างๆกระแอมสองครั้ง เอ่ยว่า “เสี่ยวลู่ อย่าทำอย่างนี้เลย คืนนี้นายกลับไปคิดดูก่อน พรุ่งนี้…”

“ไม่มีพรุ่งนี้แล้วครับ!”

ซูชิงเหมยคิ้วขมวดเข้าหากัน โยนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าทันใด ใบหน้างดงามฉายแววหยิ่งยโส “ชิงอวี่มีเดียเป็นแค่บริษัทเล็กๆ เชิญมหาเทพดนตรีคนนี้ไม่ไหวหรอก ฉันขอตัวละ!”

พูดจบ เธอสะบัดหน้าเดินจากไป หายจากบาร์ไปอย่างรวดเร็ว

ท่าทางด้านหลังของเธอดูอย่างไรก็รู้สึกได้ถึงความเย่อหยิ่งอวดดี

เฉินเจี้ยนหาวกับลู่เฉินมองหน้ากันและพูดไม่ออก เฉินเจี้ยนหาวถอนหายใจบอก “ค่าเหล้ายังไม่ได้จ่ายเลย…”

ลู่เฉินหลุดขำออกมา เขาไม่เคยเห็นมุมขำขันของเถ้าแก่แบบนี้มาก่อน

……………………………………………………………………….