ตอนที่ 7 เหมือนคนหนุ่มที่มีความหวัง

Perfect Superstar

ตอนที่ 7 เหมือนคนหนุ่มที่มีความหวัง

“นายยังกล้ายิ้มอีก!”

เฉินเจี้ยนหาวชักสีหน้าบอก “นายรู้ไหมว่าตัวเองกำลังจะแย่แล้ว ลูกพี่ลูกน้องของฉันคนนี้ไม่ควรจะไปมีเรื่องด้วย วันนี้นายผิดใจกับเธอ อนาคตนายลำบากแน่!”

ถึงเขาจะดูเข้มงวด แต่ในใจลู่เฉินก็ไม่ได้หวาดกลัวเขา ตอบกลับยิ้มๆ ว่า “เถ้าแก่ ความหมายของเถ้าแก่คือผมต้องเซ็นสัญญาฉบับนั้นเหรอ”

“จะเซ็นหรือไม่เซ็นก็แล้วแต่นาย…”

เฉินเจี้ยนหาวโบกมือ “แต่ตั้งแต่คืนนี้ไป นายได้เป็นนักร้องหลักของบาร์เดย์ลิลลี่แล้ว!”

ลู่เฉินดีใจยกใหญ่ “ขอบคุณครับเถ้าแก่!”

จากเดิมที่เป็นเพียงนักร้องเสริม เป็นนักร้องระดับล่างสุดของวงการนี้ ไม่มีเงินเดือนขั้นต่ำ ได้เพียงรางวัลเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าโชคดีได้เป็นนักร้องคั่นเวลาหารายได้นิดหน่อย ถ้าโชคไม่ดีคืนนั้นทั้งคืนจะไม่ได้ขึ้นร้องเพลงเลย

เป็นนักร้องหลักไม่เหมือนกัน แม้จะไม่มีรายได้ที่แน่นอน แต่สามารถรับรองเวลาขึ้นเวทีที่แน่นอนได้ ส่วนแบ่งของเงินรางวัลจะได้สูงถึง 70% แล้วยังรับงานนอก…ไปแสดงที่บาร์อื่นได้ด้วย

เปรียบเทียบกับนักร้องตามสั่งที่รับหน้าที่เป็นบริกรไปด้วย เมื่อได้เป็นนักร้องหลักแล้ว ลู่เฉินไม่จำเป็นต้องทำงานบริการเสิร์ฟเครื่องดื่มแล้ว รายได้ก็เพิ่มขึ้นมากด้วย!

“ร้องเพลงให้ดีๆ ก็แล้วกัน…”

เฉินเจี้ยนหาวเปิดขวดเบียร์จินเวยยื่นให้ลู่เฉิน พูดให้กำลังใจว่า “เสี่ยวลู่ ถ้านายรักษามาตรฐานการร้องเพลงในตอนนี้ไว้ได้ ต่อไปนายร้องเพลงที่แต่งขึ้นใหม่อีกหลายเพลง ฉันเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วนายจะโด่งดังมีชื่อเสียง กลายเป็นนักร้องนำอันดับหนึ่งของบาร์เดย์ลิลลี่!”

คำพูดแบบนี้ เฉินเจี้ยนหาวไม่เคยพูดกับนักร้องคนอื่นในบาร์ อย่าว่าแต่นักร้องที่เซ็นสัญญากับบาร์เดย์ลิลลี่อย่างจางนาน่ากับฉินฮั่นหยางเลย สองคนนั้นมีทั้งประสบการณ์และชื่อเสียงมากกว่าลู่เฉินตั้งเยอะ!

หากเทียบกับซูชิงเหมย เขาเห็นอนาคตที่ยาวไกลของลู่เฉินมากกว่า

ลู่เฉินรู้สึกซาบซึ้งใจ รับเบียร์มาดื่มรวดเดียวหมดขวด

เขาวางขวดเปล่าลง ยกมือขึ้นเช็ดฟองเบียร์ตรงมุมปาก เอ่ยอย่างจริงใจว่า “เถ้าแก่ครับ ถ้าเกิดวันนั้นมาถึงจริงๆ ผมจะออกเงินซื้อหุ้นบาร์เดย์ลิลลี่จากคุณครับ ไม่ว่าราคาเท่าไรก็ไม่เป็นไร!”

เฉินเจี้ยนหาวตกตะลึง รีบหัวเราะตอบว่า “ได้ พอถึงเวลานั้นนายเป็นเถ้าแก่รองก็แล้วกัน ฮ่าๆๆ!”

เขาเข้าใจว่าลู่เฉินต้องการแสดงเจตนาว่าไม่ลืมบุญคุณ

แต่เฉินเจี้ยนหาวไม่ได้เชื่อเป็นจริงเป็นจัง ในเมืองหลวงมีคนหนุ่มสาวผู้มีความสามารถมากมาย คนที่ได้มีชื่อเสียงจริงๆ จะมีสักกี่คน? ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง สุดท้ายก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เฉินเจี้ยนหาวยกนิ้วขึ้นชี้ เอ่ยว่า “เถ้าแก่เสี่ยวลู่ ตอนนี้มีแขกต้องการพบนาย รีบไปเถอะ!”

ลู่เฉินหันกลับไปมอง เห็นลูกค้าที่รู้จักหลายคนกวักมือเรียกเขาอยู่

ในฐานะนักร้องในบาร์ นอกจากว่าจะกลายเป็นคนดังไปแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ทุกคนดื่มด้วยกัน พูดคุยกัน เสวนากันเรื่องดนตรีและมุมมองการใช้ชีวิต แล้วยังได้เงินจากส่วนแบ่งจากค่าเครื่องดื่มด้วย

ลูกค้าส่วนใหญ่ของบาร์เดย์ลิลลี่เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดี แทบไม่มีเรื่องชกต่อยหรือเรื่องสกปรกเกิดขึ้นในร้าน

ลู่เฉินทำงานที่นี่ก็ชอบบรรยากาศของร้านมากเช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน…”

ลู่เฉินลังเลเล็กน้อย ถามอีกว่า “เถ้าแก่ครับ รางวัลของผมคืนนี้คิดตามส่วนแบ่งของนักร้องนำใช่ไหมครับ?”

เฉินเจี้ยนหาวว่าอย่างเกรี้ยวกราด “ไสหัวไปเลย!”

ลู่เฉินเผ่นหนีไปทันที

ตอนออกจากบาร์เดย์ลิลลี่เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว

เมืองหลวงในเดือนพฤษภาคม กลางดึกมีอากาศเย็นพัดมาเป็นระลอก ลมกลางคืนพัดผ่านฝีเท้าอันโดดเดี่ยว พัดต้องตัว ทำให้ลู่เฉินต้องขดตัวตามสัญชาตญาณ เกือบจะจามออกมา…อุณหภูมิภายในกับภายนอกบาร์แตกต่างกันมาก

แต่ในใจของเขากลับรู้สึกร้อนผ่าว

ความร้อนส่งมาจากแบงก์ร้อยหยวน 47 ใบในกระเป๋าเสื้อ ร้อนจนแทบลวกผิว

ถึงกลายเป็นนักร้องนำในบาร์เดย์ลิลลี่แล้ว แต่ลู่เฉินยังทำงานเป็นบริกรจนถึงวินาทีสุดท้าย จากนั้นรับเงินเดือนบริกรของเดือนนี้ไป

จากคำบอกเล่าของพี่น่า ลู่เฉินรู้ว่าบริกรชื่อเสี่ยวเกาที่ไม่ค่อยถูกกับตนถูกเถ้าแก่ไล่ออกไปแล้ว ส่วนเหตุผลน่ะหรือ อยู่ดีๆ เจ้าอ้วนผู้คุมห้องเสียงก็วิ่งออกมาคุยดีกับเขา ทำให้เขาพอจะเดาได้

กับเจ้าอ้วนลู่เฉินเพียงอยากยิ้มแย้มพูดคุยด้วยทั่วไป เขาไม่ใช่คนใจแคบ แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นพ่อพระ เมื่อเห็นคนที่เกลียดขี้หน้าตัวเองถูกไล่ออกแล้ว ในใจก็ย่อมเบิกบานขึ้นมาก

แต่ต่อให้เบิกบานอย่างไร ก็ไม่เท่ากับความสุขจากการได้ธนบัตรสีแดง 47 ใบกลับบ้านมาด้วย

หนึ่งในสามส่วนนั้นเป็นเงินเดือนบริกร เพราะทำงานไม่เต็มเดือนจึงได้ไม่มาก ส่วนสองในสามมาจากเงินที่ลูกค้าตบรางวัลให้เขา…คิดตามตำแหน่งนักร้องนำจึงได้รับส่วนแบ่ง 70%!

เฉินเจี้ยนหาวเป็นเถ้าแก่ที่ไม่เลวเลย แม้ว่าจะเข้มงวดกับพนักงานมาก แต่ไม่เคยเอาเปรียบกดขี่ อย่างเงินรางวัลที่นักร้องได้รับจากลูกค้า เขาจะคิดให้ภายในวันนั้นไม่ให้เงินค้าง

เงินรางวัล 3000 กว่าหยวน เป็นจำนวนที่ลู่เฉินผู้ทำงานในบาร์เดย์ลิลลี่มาครึ่งปีกว่าได้มากที่สุดเท่าที่เคยได้มา!

และนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น!

จู่ๆ ลู่เฉินก็มีความหวังเต็มเปี่ยมกับชีวิตในอนาคตข้างหน้า ความหมองคล้ำและรอยขมวดคิ้วมลายหายไปจากใบหน้า เขามุ่งหน้าไปทางรถไฟใต้ดินอย่างกระฉับกระเฉง

เหมือนคนหนุ่มที่มีความหวัง!

ลู่เฉินขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายรอบเที่ยงคืน กลับมาถึงห้องรังหนูเล็กๆ ของเขา

ทำเพียงแค่อาบน้ำแล้วก็เข้านอน

ไม่ฝันเลยทั้งคืน

ตอนเช้าหกโมงครึ่ง ลู่เฉินตื่นตรงเวลา

เขาทำงานสองอย่าง ทุกวันเวลาทำงานเกิน 15 ชั่วโมง ทุกเดือนมีวันหยุดเพียงสองวัน

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ จากเดิมที่นอนตื่นสายได้ แต่ด้วยนาฬิกาชีวิตที่ถูกตั้งไว้ เขาลืมตาขึ้นมาจนได้ มองดูเพดานห้องพักชั้นใต้ดิน ไม่มีความรู้สึกง่วงงุนอีก

ลู่เฉินหวั่นใจเล็กน้อย เขาเกรงว่าพอตื่นแล้ว สิ่งที่ได้รับมาจากในความฝันจะสลายหายไป

ความทรงจำที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตาผุดเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความกังวลของเขาหายไป

ลู่เฉินลุกขึ้นจากเตียง ใส่เสื้อผ้าแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วสวมรองเท้ากีฬาคู่เก่า ทำความสะอาดอย่างรีบร้อนแล้วออกไปจากห้องพัก

ช่วงเวลานี้คนอื่นยังนอนหลับอยู่ ได้ยินเสียงกรนดังขึ้นลงเป็นจังหวะผ่านผนังกันไฟ ทุกคนต่างเป็นมดงานในเมืองหลวง ในวันอาทิตย์การนอนตื่นตอนเที่ยงเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดแล้ว

ออกจากเขตชุมชนแล้ว ลู่เฉินเดินข้ามถนนมาถึงริมแม่น้ำ แล้ววิ่งเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำ

ทำงานยุ่งเวลาพักผ่อนน้อย เมื่อก่อนเขาไม่มีเวลาออกกำลังกายเลย ทุกวันวิ่งไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านเคเอฟซีก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแล้ว

แต่วันนี้เขาอยากจะวิ่ง ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่นไม่สบายใจ

ตอนนี้ฟ้าสางแล้ว แถวต้นหลิวที่เรียงรายอยู่ริมฝั่งถูกบดบังด้วยสายหมอกยามเช้า ตามทางเดินและข้างสวนหย่อมดอกไม้ริมทางมีคนไม่น้อยมาออกกำลังกายแต่เช้า ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ

กรงนกหลายกรงถูกแขวนไว้ตามต้นไม้ นกฮวยบี๊กระโดดหยองแหยงอยู่ในกรง ร้องเสียงกังวานใสออกมาเป็นระยะ

วิ่งเร็วมาสิบกว่านาที แรงกายของลู่เฉินหดหายไปเจ็ดแปดส่วน บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราว ลมหายใจหอบหนัก ขาทั้งสองข้างเหมือนถูกถ่วงด้วยลูกตะกั่ว ปากแห้งคอแห้งจนลิ้นได้รสเหมือนสนิม

นี่เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ขาดการออกกำลังกายมานาน ปกติเขาวิ่งไปทำงานใช้เวลาสี่ห้านาทีเท่านั้น ความเร็วก็ไม่มากเท่านี้

แต่ในหัวของลู่เฉินยังมีเสียงหนึ่งขับเคลื่อนเขาอยู่ กำลังให้กำลังใจ สนับสนุนเขา ให้เขาวิ่งต่อไป

เพื่ออนาคต เขาต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง!

ด้วยความเชื่อบางประการที่ช่วยผลักดัน ลู่เฉินกัดฟันวิ่งไปข้างหน้า จนกระทั่งฝีเท้าชะลอลงเล็กน้อย

เขายังหนุ่มแน่น ความหนุ่มแน่นเป็นต้นทุนชีวิตที่ดีที่สุด ดังนั้นทุกอย่างจึงมีความเป็นไปได้…

ใกล้เวลาเที่ยงวัน ลู่เฉินกลับมาถึงห้องพักชั้นใต้ดิน

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกกำลังกายทั้งช่วงเช้า เวลาที่มากกว่านั้นเขาใช้จัดการธุระเรื่องอื่น อย่างเช่นฝากเงินที่ได้มาเมื่อวานเข้าธนาคาร ไปห้างสรรพสินค้าในละแวกใกล้เคียงเพื่อเลือกซื้อชุดออกกำลังกายและรองเท้ากีฬาในราคาย่อมเยา ท้ายสุดเขาวิ่งกลับมาที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน

วิ่งไปวิ่งมา ได้ข้าวของกลับมาเต็มมือ เสื้อผ้าของลู่เฉินชื้นไปด้วยเหงื่อ แห้งไปชั้นหนึ่งแล้วก็ยังมีอีกชั้นหนึ่ง เหนียวติดผิวกายทำให้ไม่สบายตัว

แต่เขาก็ยังไม่สนใจจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เปิดคอมพิวเตอร์ก่อน จากนั้นนำเงิน 4000 หยวนที่อยู่ในบัตรธนาคารแบ่งโอนไปให้แม่ของตัวเองฟางอวิ๋นและน้องสาวลู่เสวี่ย

ในกระเป๋าของเขาตอนนี้เหลือเงินเพียง 300 กว่าหยวนเท่านั้น

แต่ลู่เฉินไม่ได้กังวล เพราะเขาตั้งความหวังไว้กับอนาคตอย่างเต็มเปี่ยม!

หลังจากโอนเงินเสร็จ ลู่เฉินรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตัวเบาขึ้นทันที ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความปวดเมื่อยอ่อนล้าที่สะสมในแต่ละส่วนของร่างกายมานาน

วันนี้เขาออกกำลังกายอย่างหนัก เกินกว่าที่เคยทำมาเมื่อก่อน จึงย่อมมีอาการข้างเคียงตามที่เห็น

ลู่เฉินถอดเสื้อที่เหม็นเหงื่อออก เตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง…

ตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือดังขึ้น ไฟสัญญาณกะพริบไม่หยุด

ลู่เฉินยังไม่ทันมองก็ยื่นมือออกไปคว้าโทรศัพท์มารับ

“พี่ชาย ทำอะไรอยู่คะ”

ปลายสาย เสียงของน้องสาวลู่เสวี่ยดังขึ้น เป็นเสียงกังวานสดใสของสาวน้อยวัยแรกรุ่น

ลู่เสวี่ยปีนี้อายุสิบเจ็ดปี เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 อยู่ที่บ้านเกิดของลู่เฉิน

ลู่เฉินตอบว่า “กำลังเตรียมจะอาบน้ำ เสร็จแล้วค่อยไปกินข้าวน่ะ”

ลู่เสวี่ยรับคำ “อืม” แล้วจึงถามต่อ “พี่ไปได้โชคมาจากไหนคะ ทำไมถึงส่งเงินมาให้หนูได้”

“ใช่ไหมล่ะ…”

ลู่เฉินหัวเราะ “เมื่อวานพี่หาเงินได้ 4000 กว่า โอนให้แม่แล้ว 3000 โอนให้เธอ 500 เอาไว้ใช้ ซาบซึ้งใจหรือเปล่า รีบบอกมาสิว่าฉันเป็นพี่ชายที่แสนดีที่สุดในโลก!”

“ไปไกลๆ เลย”

ผ่านสายโทรศัพท์ ลู่เฉินรู้สึกได้ว่าน้องสาวกำลังกลอกตามองบน “ถือว่าใช้ได้แล้วกัน แต่พี่ไม่ต้องให้หนูเยอะขนาดนี้ก็ได้ แม่ให้เงินหนูไว้ใช้แล้ว พี่จะได้ไม่ต้องลำบากมาก ดูแลสุขภาพบ้าง…”

ฟังเสียงพร่ำบ่นของน้องสาวแล้ว ลู่เฉินรู้สึกสะท้อนใจอย่างอดไม่ได้

ก่อนที่ครอบครัวจะเกิดปัญหา ลู่เสวี่ยเป็นที่รักและทะนุถนอมของทุกคนในครอบครัวราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย ปกติเงิน 500 หยวนยังไม่พอค่ารองเท้าเธอเลย มีหรือจะต้องผลักไสเงินกันไปมาแบบนี้

“เอาเถอะ เธอก็ตั้งใจเรียนหนังสือเถอะ มีเรื่องอะไรก็โทรมาหาพี่…”

คุยกันไม่กี่นาที ถามไถ่สถานการณ์ที่บ้านแล้ว ลู่เฉินก็วางสายจากลู่เสวี่ย

เขาวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตู เปิดก๊อกน้ำ

น้ำเย็นจากฝักบัวสาดใส่ศีรษะ ไหลเป็นลำน้ำเล็กๆ กระทบลงบนร่างกายของเขา

ลู่เฉินหลับตาลง ความทรงจำในอดีตหวนกลับเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง

………………………………………………………………………….