“ท่านป้าหลิว!”
ที่ชั้นหนึ่งของหอวสันต์สุคนธ์ แม่นางหลิวที่กำลังนั่งนวดต้นขาตัวเองอยู่บนเก้าอี้ได้ยินเสียงใครบางคนเรียก นางเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ แล้วก็เห็นชุนฮัวที่ทำหน้าเหมือนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีวิ่งลงมา
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าลงมาทำไม ทำไมถึงไม่อยู่ดูแลคุณชายน้อยเล่า” ใบหน้าของแม่นางหลิวเต็มไปด้วยความงุนงง นางอุตส่าห์เสียเวลาตั้งนมนานกว่าจะตกเหยื่อเจ้าคุณชายน้อยแสนบื้อให้เข้ามาในนี้ได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรหมอนั่นก็เป็นบ่อทองให้ถลุงดีๆ นี่เอง ดังนั้นจะเพิกเฉยไม่ใส่ใจไม่ได้เป็นอันขาด!
“คืออย่างนี้นะ…ท่านป้าหลิว คุณชายน้อยอะไรของป้าคนนี้น่ะ…เขาดูแปลกพิกล” ใบหน้าน่ารักของชุนฮัวบิดเบี้ยวอย่างประหลาด ดูราวกับนางกำลังกลั้นหัวเราะไว้แต่แทบจะกลั้นไม่อยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้เจอผู้ชายที่แปลกถึงเพียงนี้ เขามาที่หอนางโลมซึ่งเต็มไปด้วยสาวงามมากมายเพื่อลิ้มรสอาหาร ไม่ใช่เพื่อมาหา “ความสุข”
เอาเข้าจริงเขาจะตั้งอกตั้งใจกินอาหารแล้วจากนั้นค่อยหาความ “สุข” ก็ได้ แต่พ่อหนุ่มนักรักคนนี้เอาแต่พูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ขณะกินอาหาร
แม่นางหลิวฟังเรื่องที่ชุนฮัวเล่าด้วยสีหน้าพิศวง ก่อนหน้านี้นางได้ยินปู้ฟางถามว่าที่หอวสันต์สุคนธ์แห่งนี้มีอะไรกินบ้าง ตอนนั้นนางคิดแค่ว่าปู้ฟางเพียงถามเป็นมารยาท ไม่นึกเลยว่าเป็นนางเองที่เข้าใจเรื่องนี้ผิดไป
“เจ้านั่นมาที่นี่เพื่อกินจริงๆ เสียด้วย!”
ดังนั้นทั้งสองสาวจึงรีบกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะทันก้าวเท้าไปถึงห้อง นางก็ได้ยินเสียงวิพากย์วิจารณ์ของชายหนุ่มดังก้องออกมาไม่หยุดหย่อน
“นี่มันปลาสามรสหรือปลารสเปรี้ยวกันแน่ เหตุใดจึงใส่น้ำส้มสายชูลงไปมากมายราวกับเหลือใช้อีกแล้ว คิดจะดองร่างคนกินไม่ให้เน่าหรืออย่างไร อีกอย่างเนื้อปลานี่ก็เหนียวอย่างกับยาง คนที่ทำอาหารจานนี้เป็นพ่อครัวแม่ครัวหน้าใหม่หรืออย่างไรกัน”
“นี่น่ะหรือน้ำแกงดอกบัว ให้เรียกว่าแป้งเปียกน่าจะเหมาะกว่า หนืดเสียขนาดนี้แถมน้ำล้างจานยังจะมีรสชาติกว่าด้วยซ้ำ พวกเจ้าคิดว่าแค่จัดวางเป็นรูปดอกบัวมันก็จะกลายเป็นน้ำแกงดอกบัวอย่างนั้นรึ”
“แล้วเป็ดย่างบุปผานี่ แค่ถอนขนเป็ดให้เกลี้ยงมันจะตายหรืออย่างไร จะให้ข้ากินเนื้อเป็ดแถมขนเป็ดเช่นนั้นรึ”
…
ปู้ฟางขมวดคิ้วมุ่น ทุกครั้งที่ตักอาหารขึ้นมาชิม เขาเป็นอันได้พูดจาถากถางออกมาด้วยสีหน้าเดียดฉันท์ทุกคราไป อีกอย่างชายหนุ่มยังเขี่ยอาหารทุกจานทิ้งหมดแถมวิจารณ์เละทุกรายการไม่ให้น้อยหน้ากัน จนทำเอาเหล่าสาวใช้ต่างอึ้งไป อาหารทั้งหมดนี่กินไม่ได้เลยสักจานจริงๆ หรือ
แม้หัวหน้าพ่อครัวของหอวสันต์สุคนธ์จะไม่ได้เก่งกาจเท่าเหล่าหัวหน้าพ่อครัวจากภัตตาคารใหญ่โตในนครใต้ แต่ทักษะการทำอาหารของเขาก็ไม่ถือว่าแย่ รสชาติของอาหารแต่ละจานที่เขาทำจัดได้ว่าอร่อยครบรส แต่ทันทีที่อาหารเหล่านี้ถูกนำมาวางตรงหน้าชายหนุ่มผู้นี้ เหตุใดพวกนางจึงรู้สึกว่ามันกลายเป็นเพียงขยะไร้ค่าไปเสียได้
ทันทีที่แม่นางหลิวเดินเข้าห้องมา นางก็ปรายตามองปู้ฟางที่ยังคงวิพากย์วิจารณ์ไม่หยุดปาก หญิงสาวรู้สึกรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย ส่วนชิวเยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้ารู้สึกผิดจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“ตายแล้ว คุณชายน้อย เกิดอะไรขึ้นกันเจ้าคะ หรือชุนฮัวกับชิวเยว่ดูแลท่านไม่ดี” แม่นางหลิวนั่งลงข้างๆ ปู้ฟางพลางพูดพร้อมรอยยิ้ม
ปู้ฟางไม่ตอบคำถามอีกฝ่าย เขาทำเพียงคีบซี่โครงหมูขึ้นมากัด จากนั้นก็วางซี่โครงคืนใส่จานดังเดิม
“ความร้อนที่ใช้ทอดซี่โครงยังไม่พอ! คนที่ทำอาหารพวกนี้เพิ่งเริ่มเรียนทำอาหารหรืออย่างไรกัน รู้ทั้งรู้ว่าความร้อนของน้ำมันถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำอาหาร แต่อาหารแทบทุกจานที่ทำออกมาไฟแรงไม่ถึงขั้นเลยสักนิด”
แม่นางหลิวกระแอมกระไอใบหน้าเบี้ยวบูด เจ้าเด็กนี่…ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาท่าทางดูร่ำรวยกระเป๋าหนัก ข้าคงได้ทุบเจ้าน่วมไปนานแล้ว
“คุณชายน้อย หอวสันต์สุคนธ์ของเราไม่ใช่ร้านอาหาร ท่านจะไม่เข้มงวดเกินไปหน่อยหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าแม่นางหลิวค่อยๆ สลายหายไป ชุนฮัวและชิวเหย่ที่ยืนอยู่ด้านหลังพยักพเยิดตามคำของหญิงสาวทันที
ปู้ฟางเอื้อมตะเกียบไปยังอาหารจานสุดท้าย มันคือซาลาเปาที่ยังคงร้อนกรุ่น กลิ่นที่ลอยออกมานั้นชวนน้ำลายสอไม่น้อย
อาหารจานนี้คือซาลาเปาไส้หมูทอด ซาลาเปาทอดนั้นต้องเอาใส่ในน้ำมันเดือดปุด แล้วทอดจนกว่าจะเป็นสีเหลืองทอง ขณะทอดพ่อครัวแม่ครัวต้องเพิ่มแรงดันไปบนพื้นผิวของซาลาเปา ผิวด้านนอกของซาลาเปาจะต้องกรุบกรอบ ส่วนเนื้อหมูด้านในก็ชุ่มฉ่ำ ส่งกลิ่นหอมยากอดใจไหว
คิ้วของปู้ฟางเลิกขึ้นเมื่อกัดซาลาเปาไส้หมูทอดเข้าไปคำหนึ่ง รสชาติไม่เลวเลย ถือว่าดีกว่าเยอะเมื่อเทียบกับอาหารจานอื่น แต่ข้อบกพร่องก็ยังมีมากจนนิ้วไม่พอนับ
“แป้งที่ใช้ทำซาลาเปาแข็งเกินไป ทำให้ทอดออกมากระด้างกินแล้วเหนียวติดฟัน กลิ่นก็ยังไม่เข้มข้นพอ น้ำมันข้างในยังรีดได้ไม่แห้งดี แปลว่ายังจัดการความร้อนที่ใช้ทอดซาลาเปาไส้หมูนี้ได้ไม่ดีนัก…”
“คุณชายน้อย!”
แม่นางหลิวจ้องหน้าปู้ฟางที่กลายร่างเป็นเครื่องจักรนักพูดตาเขม็ง เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอีกฝ่าย นางก็ผงะไปก่อนจะรีบเอ่ยขัดขึ้นมา
สีหน้าของปู้ฟางยังคงตายด้าน เขาวางตะเกียบลงแล้วพูดขึ้น “ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้จะประกอบสัมมาอาชีพอะไร แต่ในเมื่ออุตสาหะจัดเตรียมอาหารให้ลูกค้าได้ ก็ย่อมต้องรับผิดชอบอาหารที่ทำด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียอาหารก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะดึงลูกค้าเข้าร้านได้ ในฐานะพ่อครัวแม่ครัว ถึงอย่างไรก็ต้องใส่ใจกับอาหารทุกจานที่ทำ ว่ากันตามตรงแล้ว…มันจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าทั้งหลายด้วยซ้ำ”
สีหน้าของแม่นางหลิวเย็นชาขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดของปู้ฟาง อาหารนั้นมีไว้กิน แค่ทำให้คนอิ่มท้องได้ก็เพียงพอแล้ว การมากินอาหารที่หอสวันต์สุคนธ์ก็เพื่อให้ท้องอิ่ม จะได้มีแรงพลังไปทำในสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้กันดี
แต่ทำไมพอเป็นพ่อหนุ่มคนนี้ มันถึงได้มีอุปสรรคมากมายขวางหน้านางเสียจริง พ่อหนุ่มนักรักนี่ต้องมาที่นี่เพื่อก่อเรื่องเป็นแน่ หรือความจริงแล้วเขาจะเป็นพ่อครัวมืออาชีพกันนะ
“คุณชายน้อย หอวสันต์สุคนธ์ของเราแม้จะเป็นเพียงสถานเริงรมย์แห่งหนึ่งในนครใต้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะให้ใครมารังแกหรือทำให้อับอายได้ ตอนที่ข้าน้อยผู้นี้เห็นลักษณะท่าทางที่สง่าผ่าเผยของท่าน ข้าก็นึกเอาว่าท่านอาจเป็นคุณชายน้อยกระเป๋าหนักของตระกูลร่ำรวยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่สายตาของป้าหลิวคนนี้มองอะไรผิดพลาดไป ในเมื่อท่านเอาแต่สนใจอาหาร แถมยังจู้จี้จุกจิกเรื่องรสชาติ หนำซ้ำยังไปไกลถึงขั้นออกปากวิพากย์วิจารณ์ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วชายตรงหน้าข้าก็คือพ่อครัว”
ยิ่งพูดวาจาของแม่นางหลิวก็ยิ่งสุภาพน้อยลง ถึงขั้นเปลี่ยนสรรพนามเรียกขานปู้ฟางจากคุณชายน้อยมาเป็นชายตรงหน้า เป็นจังหวะที่นางตั้งใจจะสลัดความเป็นมิตรไมตรีที่ปั้นแต่งขึ้นให้พ้นทาง
เอาเข้าจริงแม่นางหลิวไม่ได้เกรงกลัวที่จะทำเช่นนี้ด้วยซ้ำ อิทธิพลของหอวสันต์สุคนธ์ในนครใต้นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะคิดจินตนาการได้ ว่ากันว่าหากมีพวกนักเลงมาหาเรื่องที่นี่ ก็ไม่เคยมีใครได้พบจุดจบดีๆ เลยสักคน
“ถูกแล้ว ข้าเป็นพ่อครัว” ปู้ฟางพยักหน้าอย่างจริงจัง
คิก! ชุนฮัวกับชิวเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหลังแม่นางหลิวรีบเอามือปิดปากขณะขำคิกคักออกมา พ่อครัวหรือ ชายที่อยู่ตรงหน้าพวกนางคือพ่อครัวจริงๆ หรือนี่ ก่อนหน้านี้พวกนางล้วนคิดไปว่าชายผู้นี้คือคุณชายน้อยของตระกูลร่ำรวยจึงรู้สึกกระหยิ่มยินดีไม่น้อยที่ถูกเลือกมาดูแลคนผู้นี้ ไม่คาดคิดเลยว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายจะเป็นเพียงพ่อครัวจนๆ เท่านั้น!
ชุนฮัวกับชิวเยว่พยายามจินตนาการภาพชายหนุ่มที่ทั้งหล่อเหลาและสง่างามตรงหน้า ว่ากำลังสวมชุดพ่อครัวสีขาวที่เต็มไปด้วยคราบไขมัน มีผ้าเช็ดมือห้อยโตงเตงอยู่รอบคอ ใบหน้าเยิ้มไปด้วยน้ำมัน หยดเหงื่อไหลลงมาไม่ขาดสายเหมือนอย่างพ่อครัวของหอนางโลมแห่งนี้…ทันใดนั้นพวกนางก็อดตัวสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้
เมื่อแม่นางหลิวได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ดวงตาคมกริบของนางที่กรีดชั้นตาด้วยสีแดงก็เบิกกว้าง รอยยิ้มที่เหลือเพียงน้อยนิดสลายหายไปจากใบหน้าอย่างแท้จริง ดวงตาแสนเย็นชาจับจ้องปู้ฟางไม่วางตา
พ่อครัวหรือ ชายตรงหน้าข้านี้เป็นพ่อครัวจริงๆ หรือ วันวันหนึ่งพ่อครัวจะหาเงินได้สักกี่กระผีกกันเชียว
ปัง!
ยิ่งคิดหญิงสาวก็เริ่มกรุ่นโกรธ นางเอามือตบโต๊ะเสียงดังลั่นจนจานชามที่อยู่บนโต๊ะกระแทกกันส่งเสียงกุกกัก สาวรับใช้ที่อยู่ในห้องมองแม่นางหลิวแล้วรีบหดตัวลงด้วยความหวาดกลัว
ชุนฮัวกับชิวเยว่เองก็ตกใจกับท่าทางของท่านป้าหลิวจนผงะถอยหลังไปเช่นกัน พวกนางต่างรู้ว่าตอนนี้หญิงสาวตรงหน้ากำลังโกรธ และท่านป้าหลิวตอนโกรธนั้นก็น่ากลัวเป็นที่สุด
สองสาวเหลือบมองปู้ฟางพลางยิ้มย่องให้กับความโชคร้ายของชายหนุ่มตรงหน้า แต่เมื่อได้เห็นสีหน้านิ่งเรียบไม่แปรเปลี่ยนของปู้ฟาง ใบหน้าของพวกนางก็บิดเบี้ยวขึ้นมา
ปู้ฟางชำเลืองมองหญิงสาวที่ตบโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยสายตาประหลาดใจ นางพูดอะไร เป็นพ่อครัวแล้วผิดตรงไหน มีเหตุผลกลใดกันที่แม่นางผู้นี้ต้องดูถูกดูแคลนอาชีพคนทำอาหาร
“เป็นแค่พ่อครัวซอมซ่อแต่กลับเต๊ะท่าใหญ่โตเข้ามาในหอวสันต์สุคนธ์ของเรา ดูเหมือนถ้าข้าไม่สั่งสอนบทเรียนเจ้าในวันนี้ เจ้าก็คงจะคิดไปเองว่าหอวสันต์สุคนธ์ของเราเป็นสนามเด็กเล่นที่จะเข้ามาวิ่งเล่นได้ตามใจ” แม่นางหลิวลุกขึ้นยืน หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงขณะที่หญิงสาวกล่าวคำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ปู้ฟางขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มเย็นชาขึ้นมาบ้าง ผู้หญิงคนนี้ช่างไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ไม่ใช่นางเองหรอกหรือที่เป็นคนลากเขาเข้ามา เขาไปเต๊ะท่าใหญ่โตตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ชุนฮัว เจ้าไปเรียกผู้คุ้มกันมา! วันนี้ข้าจะขอสั่งสอนบทเรียนเจ้าเด็กนี่เสียหน่อย จะเสียดายก็แค่วัตถุดิบแพงๆ ที่ใช้ทำอาหารบนโต๊ะนี้ก็เท่านั้นละ” แม่นางหลิวกล่าว
ชุนฮัวรีบพยักหน้ารับ นางรู้ดีว่าตอนนี้ท่านป้าหลิวโกรธจนลมออกหูแล้ว ทางที่ดีนางควรจะเชื่อฟังคำพูดอีกฝ่ายโดยไม่มีข้อแม้
“พ่อครัว ฮึ…ยากจนและซ่อมซ่อ” แม่นางหลิวปรายตามองปู้ฟางพลางส่ายศีรษะรัวๆ แล้วเหยียดยิ้ม นางเองก็มีวันที่ผิดพลาดได้เหมือนกันสินะ
ความจริงแล้วแม่นางหลิวรู้แน่แก่ใจว่าคนเป็นพ่อครัวไม่ได้แปลว่าจนเสมอไป แต่นางคิดไปเองตั้งแต่แรกว่าปู้ฟางนั้นเป็นคุณชายน้อยจากตระกูลร่ำรวย เพราะเขามีท่าทางสง่าผ่าเผยและรูปร่างหน้าตาหมดจดอย่างที่คนเป็นคุณชายน้อยควรมี
ทว่าทันทีที่นางได้รับรู้ว่าชายตรงหน้าเป็นเพียงพ่อครัว ความแตกต่างของสิ่งที่หวังและความเป็นจริงนั้นช่างห่างไกลกันเกินไป ดังนั้นนางจึงอดรู้สึกอับอายตัวเองขึ้นมาไม่ได้
พ่อครัวกับคุณชายน้อย เมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากไก่ฟ้าและวิหคเพลิงในตำนาน ความแตกต่างนั้นประหนึ่งฟ้ากับเหวก็ไม่ปาน
ชุนฮัวกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ด้านหลังนางมีกลุ่มชายลำตัวหนาสวมเสื้อคอปกประดังกันเข้ามา สีหน้าของแต่ละคนถมึงทึงพร้อมมีเรื่อง ทันทีที่ชายกล้ามใหญ่เหล่านี้กรูกันเข้ามาในห้อง เหล่าสาวใช้ก็ตื่นตกใจจนถอยหลังกรูดเลยทีเดียว
“ไอ้หยา! ท่านป้าหลิว เกิดอะไรขึ้นรึ ไอ้สวะต่ำชั้นหน้าไหนมันกล้ามาก่อเรื่องอีก อ้อ คราวนี้คนที่เรียกหาเลือดเป็นพ่อหนุ่มหน้าละอ่อนนี่หรอกรึ”
ชายร่างหนาที่ยืนนำหน้ามองแม่นางหลิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยราคะ พร้อมส่งยิ้มกว้างให้หญิงสาว
“อาเฉิน เจ้าหนุ่มนี่ไม่มีเงินติดตัวมาสักแดงแต่ยังกล้ามาทำเป็นเต๊ะท่าใส่ เป็นแค่พ่อครัวกระจอกงอกง่อยกลับกล้าเดินดุ่มๆ เข้ามาในหอวสันต์สุคนธ์แล้วหลอกกินกันหน้าด้านๆ แถมทำมาเป็นวิจารณ์อาหารของเราเสียๆ หายๆ เจ้าจะจัดการอย่างไรก็เอาเถิด” สีหน้าของแม่นางหลิวดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางชี้นิ้วใส่ปู้ฟางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อ้อ เจ้าหนู นับว่าเจ้ากล้าหาญไม่น้อยที่กล้ามาก่อเรื่องถึงในหอวสันต์สุคนธ์แห่งนี้ สงสัยจะเบื่อชีวิตเสียแล้ว” ดวงตาของอาเฉินเบิกกว้าง ในมือกำฟืนท่อนใหญ่ที่กำลังติดไฟเอาไว้ ก้าวขาขึ้นมาบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ปู้ฟาง พลางปรายตามองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
เหล่าชายร่างหนาคนอื่นๆ ก็มองปู้ฟางด้วยสายตาสบประมาทราวกับกำลังจ้องมองเหยื่อตัวจ้อยอย่างไรอย่างนั้น มาหาเรื่องกันถึงในหอวสันต์สุคนธ์ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ
“จ๊อก”
กาน้ำชาถูกยกขึ้นพร้อมไอร้อนที่ลอยออกจากพวยกาขณะที่น้ำชาถูกรินลงถ้วย
ปู้ฟางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบด้วยท่าทางสงบนิ่งพลางดื่มด่ำกับรสชาติของชา สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกรื่นรมย์ได้ในหอวสันต์สุคนธ์แห่งนี้เห็นจะมีเพียงน้ำชาตรงหน้าเท่านั้น
พอดื่มชาเสร็จ ปู้ฟางก็ค่อยๆ ชำเลืองมองเหล่าคนที่ยืนเรียงรายอยู่ในห้อง เขามองเหล่าผู้คุ้มภัยที่มองกลับมาด้วยสายตาเอาเรื่อง จากนั้นก็เหลือบมองหน้าแม่นางหลิวผู้ทำสีหน้าเดียดฉันท์ไม่หยุดหย่อน ตอนนั้นเองมุมปากของปู้ฟางก็ยกขึ้นเล็กน้อย