ที่ใจกลางดินแดนป่ารกชัฏ มีเมืองเมืองหนึ่งซึ่งรายล้อมด้วยอาคารมากมาย เมืองนี้ถูกปกป้องด้วยกำแพงหนา ภายในเมืองมีบ้านเรือนเรียงกันเป็นแนวนับไม่ถ้วน
ที่ใจกลางเมืองมีหอคอยสีดำทมิฬซึ่งดูราวกับทำมาจากโลหะผสมตั้งอยู่ หอคอยแต่ละชั้นดูเกินจริงจนน่าอัศจรรย์ใจ สีดำของหอคอยให้ความรู้สึกเรียบง่ายของรูปแบบการก่อสร้างที่ไร้ซึ่งการตบแต่ง
เชิ่งมู่ยืนอยู่ตรงหน้าหอคอย ผู้อาวุโสสองคนซึ่งนั่งสูงอยู่เหนือชั้นแรกของหอคอยกำลังมองประเมินชายหนุ่มก่อนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เชิ่งมู่โค้งคารวะก่อนจะเดินเข้าหอคอยไป เขาเดินขึ้นไปบนบันไดที่มีลมพัดแรงและไม่หยุดเท้าจนมาถึงยอดหอคอย
ข้างบนนั้นมีห้องเพียงห้องเดียว เชิ่งมู่พึมพำบางอย่างออกมา จากนั้นประตูเหล็กที่ก่อนหน้านี้ปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดออกส่งเสียงดังเสียดหู ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกยำเกรงแล้วก็พบว่าตนเองกำลังจ้องความมืดมิดดำทมิฬอยู่
“ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยอวี่…ข้าน้อยเชิ่งมู่ขออนุญาตเข้าพบท่านขอรับ” เชิ่งมู่ก้มศีรษะทำความเคารพก่อนเดินเข้าไปในห้องสีดำสนิทแต่กว้างขวาง
อากาศส่งเสียงอื้ออึง ร่างกำยำร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากความมืดมิดแล้วเดินตรงเข้ามาช้าๆ ร่างนี้ดูสูงใหญ่แม้เมื่อเทียบกับเซี่ยต้า แค่มองดูกล้ามเนื้อทั่วตัวก็รู้สึกเหมือนถูกคุกคามแล้ว
ความรู้สึกศรัทธาแล่นผ่านนัยน์ตาของเชิ่งมู่ก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็วขณะที่เขาประสานมือคารวะคนตรงหน้า
“เชิ่งมู่จากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์ เจ้ามาที่นี่มีธุระอะไร” ร่างของเซี่ยอวี่ใหญ่โตไม่ต่างจากอสูรเวท ทว่าฝีเท้าของเขากลับเงียบกริบราวเสือย่อง ราวกับว่าเขาค่อยๆ ลอยมาแทนที่จะเดินอย่างไรอย่างนั้น
“ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยต้า…สิ้นชีพแล้วขอรับ” เชิ่งมู่ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงโศกสลด
ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ตรงหน้าก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เขามองอีกฝ่ายเขม็งพลางเปล่งเสียงอย่างเย็นชา “เจ้าพูดบ้าอะไร แม้เซี่ยต้าจะเป็นน้องข้า แต่พลังปราณของเขาก็อยู่ในขั้นเทพแห่งสงคราม จะตายง่ายตายดายได้อย่างไร เขาไม่ใช่ว่าโง่เง่าไร้ปัญญาเสียหน่อย ข้าเองก็อุตส่าห์ย้ำแล้วว่าอย่าไปเที่ยวยุแหย่พวกอสูรเฒ่า แล้วเหตุใดเขาถึงได้ตายได้”
เชิ่งมู่ตัวสั่นเทา เหงื่อเย็นๆ ไหลอาบแผ่นหลัง เซี่ยอวี่คือผู้อาวุโสสูงสุดของสามวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ไม่ต้องเอ่ยก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าระดับพลังปราณของเขานั้นแกร่งกล้ายากหยั่งถึง เขาบรรลุขั้นเทพแห่งสงครามเมื่อหลายปีก่อน และใกล้จะพิชิตขั้นเซียนเทพเต็มที เรื่องนี้ทุกคนต่างรับรู้กันมาเนิ่นนานแล้ว และจนตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าระดับปราณของชายผู้นี้อยู่ที่ขั้นใดกันแน่
เชิ่งมู่เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวรรดิวายุแผ่วให้เซี่ยอวี่ที่กำลังเดือดจัดฟังอย่างขลาดกลัว จากนั้นก็ปิดปากนิ่งสนิท ความกลัวของเขาเกิดจากไอสังหารเย็นเยียบที่ชายร่างยักษ์ตรงหน้าปล่อยออกมา แม้แต่อากาศรอบตัวก็ดูเหมือนจะถูกแช่แข็งด้วยความกลัวไม่ต่างกัน
“เจ้านั่นกล้าสังหารน้องข้า…ต่อให้มันเป็นขั้นเซียนเทพ มันก็ต้องชดใช้อย่างสาสมแน่นอน!” เซี่ยอวี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาแดงก่ำด้วยรังสีสังหาร
จากนั้นเขาก็หันมามองเชิ่งมู่พลางตะโกนเสียงกร้าวอย่างเย็นชา “ไสหัวไป!”
ใบหน้าของเชิ่งมู่ซีดเผือด เขาเงยหน้ามองเซี่ยอวี่ผู้น่าหวั่นเกรง และแม้จะกำลังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้า แต่ชายหนุ่มก็เลือกจากมาโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขาลงจากหอคอยมาด้วยใบหน้าที่มืดครึ้มไม่ต่างจากรัตติกาล ทว่าสุดท้ายชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังกึกก้องจนอากาศรอบตัวเหมือนจะสั่นสะท้านเพราะเสียงนั่น
…
ปู้ฟางมั่นใจแล้วว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า “สรวงสวรรค์ของบุรุษเพศ” ว่ากันว่าเมืองเจียงหนานซึ่งอยู่ทางใต้ของจีนนั้นจัดเป็นเมืองของเหล่าชายเสเพล ส่วนนครใต้ก็อยู่ทางทิศใต้ของจักรวรรดิวายุแผ่วเช่นกัน หากคิดในแง่นี้ สถานที่ทั้งสองแห่งนี้ก็ทับซ้อนกันไม่เพียงในแง่ของที่ตั้ง แต่เป็นในแง่ของความเสเพลของชาวเมืองด้วย
ในนครหลวง สถานที่อย่างหอนางโลมจะทำตัวประเจิดประเจ้อมากไม่ได้เพราะเป็นเมืองที่จักรพรรดิประทับอยู่
ในชาติที่แล้วปู้ฟางเป็นพ่อครัวหนุ่มที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น วันๆ เขามีภาระหน้าที่เต็มไปหมด เป็นธรรมดาที่ย่อมไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนสถานที่เช่นนี้
ทว่าตอนนี้เขากลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในที่ที่ตกแต่งอย่างงดงาม สวยเสียจนเทียบได้กับท้องพระโรงของวังหลวงเลยทีเดียว ไม่แปลกเลยที่เหตุใดนครใต้จึงขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความร่ำรวยของจักรวรรดิวายุแผ่ว ที่นี่มีเหล่าคนกระเป๋าหนักมากมายจริงๆ
สีหน้าของปู้ฟางยังคงนิ่งขรึมแม้ข้างในจะรู้สึกยุ่งยากใจ สถานที่สำหรับเสพโลกีย์หรือ…ฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่อาหารของที่นี่จะเป็นเช่นไรเล่า จะมีของอร่อยประจำท้องถิ่นอยู่บ้างหรือเปล่า
ถ้าแม่นางหลิวที่เป็นคนลากเขาเข้ามาอ่านความคิดในตอนนี้ของเขาได้…นางคงประเคนรองเท้าใส่หน้าเขาตุ้บใหญ่แน่นอน
“คนหนุ่มแน่นอย่างเจ้าเข้าหอวสันต์สุคนธ์มาเพื่อชิมอาหารเนี่ยนะ ช่วยสำแดงความหื่นกระหายของวัยหนุ่มออกมาหน่อยเถอะ” หากรู้เข้านางคงต้องพูดอะไรเช่นนี้ออกมาแน่
ต้องยอมรับตามตรงว่าใจของชายหนุ่มกระตุกไปชั่วเสี้ยวลมหายใจ แต่ท่าท่างโดยรวมก็ยังสงบนิ่งได้อยู่ แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยหญิงสาวหุ่นสะคราญก็ตาม ไม่นานแม่นางหลิวคนเดิมก็ลากเขาเข้ามาในห้องที่สว่างเจิดจ้าห้องหนึ่ง
เมื่อนั่งลงที่โต๊ะ แม่นางหลิวก็ยกยิ้มสวยพลางส่งสัญญาณให้สตรีวัยรุ่นหน้าตาสะสวยสองนางเข้ามา
“พวกเจ้าดูแลคุณชายน้อยผู้นี้ด้วย ท่านผู้นี้มีรสนิยมไม่เหมือนใคร ดังนั้นพวกเจ้าต้องเอาอกเอาใจเขาเป็นพิเศษเล่า เข้าใจหรือไม่”
“อย่าได้เป็นห่วงเลยท่านป้าหลิว คุณชายน้อยท่านนี้หน้าตาหล่อเหลาน่ากิน แค่คิดข้าก็สะท้านไปทั้งตัวแล้ว”
แม่นางหลิวยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากพลางส่งเสียงหัวเราะกิ๊ก “นี่แม่สาวๆ หัดยับยั้งตัวเองเสียบ้างเถอะ ถ้าเช่นนั้นป้าหลิวของพวกเจ้าขอตัวก่อน ชุนฮัว ชิวเยว่ ที่เหลือยกให้เป็นหน้าที่พวกเจ้าแล้ว”
แม่นางหลิวทำงานในแวดวงนี้มานานจนมีสายตาเฉียบแหลม สามารถระบุชายกระเป๋าหนักได้จากเสื้อผ้าที่ใส่และนิสัยใจคอ
ปู้ฟางแต่งตัวเรียบร้อยดูดีรูปร่างหน้าตาก็หมดจด เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ทำมาจากวัตถุดิบชั้นเลิศ มองด้วยตาเหยี่ยวของนางแล้ว นางระบุได้ทันทีว่าชุดนี้จะต้องเป็นฝีมือการทอของหมู่บ้านผ้าไหมในนครหลวง ผ้าไหมของที่นั่นราคาแพงระยับ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีปัญญาจับจ่ายได้แน่ ดูรวมๆ แล้วชายหนุ่มผู้นี้เป็นเศรษฐีอย่างไม่ต้องสงสัย อาจเป็นพ่อหนุ่มเสเพลจากนครหลวงที่อยากมาหาความสำราญถึงที่นี่ก็เป็นได้
ถ้าไม่ใช่ด้วยสถานะของชายหนุ่ม ต่อให้หล่อเหลาปานเทพบุตรเพียงใดนางก็ไม่ลากอีกฝ่ายเข้ามาเด็ดขาด
เมื่อผู้คนแยกย้ายกันไป สถานที่แห่งนี้จึงดูเงียบสงบลง ปู้ฟางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นและหายใจได้เต็มปอดในที่สุด
“คุณชายน้อยเจ้าคะ ข้าได้ยินจากท่านป้าหลิวว่าท่านมีรสนิยมพิเศษไม่เหมือนใคร” หญิงสาวนามว่าชุนฮัวเพิ่งแตกวัยสาวได้ไม่นาน ผิวของนางยังคงผุดผาดราวหิมะ นา’ส่งสายตาออดอ้อนราวสุนัขตัวน้อยให้ปู้ฟาง
คุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาที่ท่านป้าหลิวชื่นชม เช่นนี้แล้วนางจะไม่รู้สึกหวั่นไหวได้อย่างไร
“พวกเราสองคนอาจไม่ใช่ดาวเด่นในหอแห่งนี้ แต่ความงามก็ไม่จัดว่าด้อย อีกทั้ง…” ชิวเยว่หันมองปู้ฟางพลางเดินทอดน่องมาหยุดอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม วางมือนุ่มนิ่มลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนกระซิบออกมาเบาๆ “เราสองพี่น้องจัดให้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าท่านจะต้องการรสชาติไหน เราพร้อมสนองให้หมด”
ปู้ฟางขมวดคิ้ว กลิ้นแป้งแต่งหน้าของชิวเยว่เกือบทำให้เขาจามออกมา
แต่หลังจากขยี้จมูกไปมาเขาก็กลั้นจามไว้ได้ จากนั้นชายหนุ่มก็ใช้สายตาสำรวจความโอโถงของห้องนี้ แล้วกระดกชาร้อนเข้าปากอึกใหญ่ กลิ่นชาเข้มๆ ลอยออกมาจากถ้วย
รสขมของชาทำให้จิตใจของปู้ฟางกระจ่างขึ้น ดวงตาของเขากลับมาเป็นประกาย “ชานี่ไม่เลวเลย”
ชุนฮัวกับชิวเยว่อึ้งไป ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าแม้แต่น้อย
“ข้าเริ่มหิวนิดหน่อยแล้ว พวกเจ้ามีอะไรอร่อยๆ แนะนำบ้าง” ปู้ฟางปรายตามองชิวเยว่
เขาเคยเห็นสาวงามมาไม่น้อย ความจริงชุนฮัวกับชิวเยว่ก็จัดได้ว่างดงาม แต่เมื่อเทียบกับความงามที่ราวจะล่มสวรรค์ได้ของเซียวเยียนอวี่และหนี่หยันแล้ว…หึๆๆ
“โอ้ คุณชายน้อยหิวหรือ เช่นนั้นข้าน้อยผู้นี้จะไปเตรียมอาหารมาให้เดี๋ยวนี้” ชุนฮัวที่อึ้งไปหัวเราะคิกคักออกมา จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
“อ้อ…มีอาหารกี่รายการก็ยกมาให้หมด โดยเฉพาะของขึ้นชื่อของนครใต้” ปู้ฟางสำสับขณะมองตามร่างของชุนฮัวที่กำลังโยกย้ายสะโพกออกไป
ชุนฮัวที่เพิ่งออกจากห้องมาซวนเซไปเล็กน้อย “คุณชายน้อยผู้นี้จัดได้ว่ามีอารมณ์ขันไม่เบา”
เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นคนที่มาเยือนหอวันสต์สุคนธ์ร้องขออาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้ พ่อรูปหล่อนั่นคิดว่าที่นี่เป็นร้านอาหารหรืออย่างไรกันนะ
‘บรรยากาศของหอวันสต์สุคนธ์จัดว่าไม่เลวเลยทีเดียว ถ้าเพียงกลิ่นแป้งแต่งหน้าของพวกสาวๆ จะเบาลงสักหน่อย มันคงจะดีกว่านี้มาก ไอ้แป้งชมพูๆ อะไรนั่นขัดอารมณ์ข้าชะมัด’ ปู้ฟางคิดในใจ
ชิวเยว่มองปู้ฟางที่เพิ่งยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเดินเข้ามาประชิดด้านหลัง นางใช้มืออ่อนนุ่มบีบนวดไปบนไหล่ของอีกฝ่าย
“คุณชายน้อย ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าท่านชอบรสชาติแบบไหน ท่านป้าหลิวกำชับเรานักหนาว่าให้ดูแลท่านให้ดี”
ทันทีที่ไหล่ถูกนวดคลายความตึงเครียด ปู้ฟางก็รู้สึกแปลกๆ ตอนนั้นเองสีหน้าของเขาก็แสดงอาการสับสนออกมา ชายหนุ่มรีบกระแอมกระไอกลบเกลื่อน “นี่…เลิกนวดให้ข้าได้แล้ว มันทำให้ข้ารู้สึกแปลกพิกล รีบไปเปิดประตูเร็วเข้า หุ่นเชิดของข้ายังอยู่ข้างนอกนั่น ไปพามันเข้ามาที
ชิวเยว่อึ้งไป หุ่นเชิดหรือ
ทันทีที่เปิดประตูชิวเยว่ก็แทบกระโดดกลับเข้ามาในห้องด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นก้อนเหล็กอ้วนกลมดวงตาสีแดงฉานยืนอยู่ตรงทางเดิน
“เจ้านั่นละ พามันเข้ามาแล้วรีบๆ เอาอาหารมาให้ข้าเร็วเข้า” ปู้ฟางพูดเสียงดัง
เมื่อชิวเยว่พาเจ้าขาวเข้ามาในห้อง บรรยากาศยั่วยวนที่รู้สึกได้ชัดเจนก่อนหน้านี้ก็สลายหายไปกว่าครึ่ง ชิวเยว่ไม่คุ้นเคยกับภาพตรงหน้าเลยสักนิด…
‘หรือคนพวกนี้จะแค่มาสำรวจหอวสันต์สุคนธ์กัน สถานการณ์ตรงหน้าข้าดูไม่เข้าที่เข้าทางเอาเสียเลย’ หญิงสาวคิดในใจ
ผ่านไปพักใหญ่ ชุนฮัวก็กลับเข้ามาโดยมีบรรดาสาวใช้เดินตามมาด้านหลัง สาวใช้เหล่านี้ยังดูอ่อนวัยนัก ใบหน้าล้วนผุดผ่องไร้เดียงสา
หญิงสาวเหล่านี้ถือจานอาหารส่งกลิ่นหอมที่ทำให้หลายๆ คนต้องตาเป็นประกายเข้ามาด้วย
ปู้ฟางมองอาหารเหล่านี้พลางสูดลมหายใจลึก การได้มองอาหารทำให้จิตใจของเขาสงบลงไม่น้อย
“คุณชายน้อย เหล่านี้คืออาหารขึ้นชื่อของนครใต้ น้ำแกงดอกบัวรสชาติอร่อยล้ำ ส่วนนี่คือปลาสามรส แล้วนี่คือผัดรากบัว…” ชุนฮัวชี้ที่อาหารแต่ละจานแล้วแนะนำชื่อให้ปู้ฟางฟัง
ชายหนุ่มพยักหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบรากบัวในผัดรากบัวขึ้นมา
เขาส่งรากบัวเข้าปาก รสชาติของมันกรุบกรอบอมเปรี้ยว ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ห่วยจัด! รากบัวเก่าเก็บ รสสัมผัสก็แย่มาก แถมยังใส่น้ำส้มสายชูมากไปเหมือนมีเหลือเยอะเกิน…”
ชุนฮัวกับชิวเยว่อึ้งไป พวกนางมองปู้ฟางที่ยังคงพ่นวาจาตำหนิติเตียนไม่หยุดปากดวงตาเบิกกว้าง ปากของเหล่าสาวใช้ที่ยกอาหารขึ้นมาให้ล้วนอ้าหวอ ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไร
พี่ชาย…คิดจะมาหาเรื่องกันหรืออย่างไร ท่านมาหอนางโลมเพื่อวิจารณ์อาหารเนี่ยนะ