เมืองนครใต้ในแคว้นหางหยางตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจักรวรรดิวายุแผ่ว พื้นที่ของจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยแคว้นใหญ่ๆ เจ็ดแคว้น แต่ละแคว้นมีเมืองขนาดใหญ่อยู่มากมาย

“แคว้นเจ็ดแคว้น เมืองใหญ่สามเมือง เกาะหลักหนึ่งเกาะ” คำพูดนี้สรุปภาพของอาณาจักรวายุแผ่วบนแผนที่ได้เป็นอย่างดี แคว้นหางหยางถือเป็นหนึ่งในเจ็ดแคว้น ส่วนเมืองใหญ่สามเมืองนั้นหมายถึงเมืองโบราณที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือนครหลวง

นครหลวง เมืองประจิมเร้นลับ และเมืองชายแดนล้วนมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เมืองประจิมเร้นลับนั้นมีขึ้นก่อนที่จะสถาปนาจักรวรรดิวายุแผ่วด้วยซ้ำ ประวัติศาสตร์ของมันนับย้อนไปได้หลายราชวงศ์เลยทีเดียว

ส่วนเกาะหลักนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นเกาะที่อยู่ใกล้จักรวรรดิวายุแผ่วที่สุด ตัวจักรวรรดินั้นตั้งอยู่ห่างไกลจากทะเลใดๆ เกาะหลักถือเป็นเกาะแรกที่จักรพรรดิฉางเฟิ่งพิชิตได้ และก่อนหน้านี้เคยเป็นที่ตั้งของสำนักตำหนักเทพจันทรามาก่อน หลังจากที่สำนักตำหนักเทพจันทราถูกจักรวรรดิวายุแผ่วโค่น เกาะแห่งนี้จึงกลายมาเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ

มีเกาะขนาดใหญ่อีกไม่น้อยที่อยู่ใกล้เกาะเทพจันทรา เกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเกาะมหายาน แม้แต่สิบสำนักใหญ่ก็ยังเกรงกลัวอำนาจของเกาะแห่งนี้

นครใต้ตั้งอยู่ในแคว้นหางหยาง แม้แคว้นนี้จะไม่จัดว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่แคว้นทั้งเจ็ด แต่ทุกคนต่างรู้ว่าความที่มันอยู่ติดชายทะเลจึงทำให้แคว้นนี้ร่ำรวยเป็นอย่างมาก จัดได้ว่าเป็นแคว้นที่ร่ำรวยที่สุดในจักรวรรดิ และนครใต้ก็นับเป็นเมืองที่มีความสำคัญยิ่งในแคว้นหางหยาง

หลังจัดแต่งทรงผมให้เข้าที่แล้ว ปู้ฟางก็หันหน้าไปมองกำแพงสูงใหญ่ของนครใต้ ซึ่งดูอย่างไรก็ยังแข็งแกร่งและงดงามไม่เท่ากำแพงเมืองของนครหลวง

ศาลาหมื่นลี้จัดเป็นจุดพักริมทาง จึงมีผู้คนบางส่วนตรงเข้ามาพักผ่อนที่นี่ หลังจากนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ปู้ฟางก็ออกเดินตรงไปยังนครใต้

เหตุผลในการเดินทางของเขาครั้งนี้คือเสาะหาอาหารเลิศรส แน่นอนว่าทุกจุดย่อมมีอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อ และเพราะวัฒนธรรมของแต่ละท้องที่นั้นแตกต่างกัน รสชาติอาหารประจำถิ่นของแต่ละที่จึงย่อมไม่เหมือนกัน

ถัดไปจากกำแพงนครใต้คือแม่น้ำใหญ่ที่มีกระแสน้ำรุนแรงและไหลเร็ว เสียงระลอกคลื่นสาดกระทบกันดังกึงก้องไปทั่ว

มีเรือหาปลาลอยลำอยู่ในแม่น้ำ ชาวประมงเหวี่ยงแหในมือออกไปหมายจะจับปลาตัวใหญ่

ที่สองฝั่งแม่น้ำ เหล่าคนตกปลาผู้กระตือรือร้นกำลังพักสายตาขณะที่ในมือถือคันเบ็ด รอคอยให้ปลามากินเหยื่อ

เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังสนั่น ละอองน้ำสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง

ปลาขนาดใหญ่ถูกเบ็ดตวัดขึ้นมา เกล็ดของมันส่องประกายวาววับสะท้อนแสงดวงอาทิตย์

ปู้ฟางดูฉากตรงหน้าพลางพยักหน้าไปด้วย ความเป็นอยู่ของนครใต้นั้นขึ้นอยู่กับแม่น้ำใหญ่สายนี้ และด้วยแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติเช่นนี้ จึงไม่ยากที่จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดเมืองนี้จึงร่ำรวยนัก ในเมืองย่อมมีอาหารจำพวกปลาปูกุ้งหอยอยู่จำนวนมากเป็นแน่

เงาเพรียวบางขยับตัวไปยังถนนสายหลัก พร้อมเงาของเจ้าขาวที่ตามไปช้าๆ อย่างเอื่อยเฉื่อย

บางครั้งบนถนนสายหลักนี้ก็มีรถม้าขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ม้าเหล่านั้นไม่ใช่ม้าธรรมดา ดูแล้วเหมือนเป็นอสูรเวทชนิดหนึ่งมากกว่า เพราะลำตัวของพวกมันปกคลุมด้วยเกล็ดเหมือนเกล็ดปลา ขาทั้งสี่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงที่เคลื่อนไหวรวดเร็วราวลมพัด

กำแพงนครใต้ใหญ่โตมหึมา ทั้งสี่ด้านมีประตูขนาดมโหฬารตั้งอยู่ แม่น้ำไหลผ่านประตูเมืองจากนั้นก็ลอดผ่านสะพานขนาดใหญ่ที่มีไว้ให้ผู้คนสัญจรไปมา

เมื่อเดินมาใกล้นครใต้มากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้คนที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังเมืองก็หนาตาขึ้นเช่นกัน คนเหล่านี้ต่างหอบหิ้วถุงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผักและผลไม้มากมายหลายชนิดมาด้วย บางคนก็เป็นนักตกปลาที่จับปลามาได้บ้าง

ที่ประตูเมืองมีเหล่าทหารยามทำหน้าที่คอยตรวจตราผู้คน สิ่งของ รวมถึงสินค้าที่พวกเขาหอบหิ้วมา ก่อนจะอนุญาตให้ผู้คนเหล่านี้เข้าไปในเมือง

หลังตรวจตราดูแล้ว เหล่านักตกปลาต้องจ่ายเงินตามน้ำหนักปลาที่จับได้ก่อนจะได้เข้าไป เหล่าพ่อค้าแม่ขายที่แบกผักและผลไม้มาก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเช่นกัน

ที่นครใต้ ผักและผลไม้ถือเป็นผลิตผลที่หาได้ยากกว่าผลิตผลจากแม่น้ำ

แน่นอนว่านอกจากเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่มาขายของแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนเมืองนี้เหมือนปู้ฟางด้วย

ปู้ฟางให้ความร่วมมืออย่างดีตอนที่เหล่าทหารยามตรวจสอบเขา แต่ดูเหมือนคนเหล่านี้จะรู้สึกสงสัยในตัวเจ้าขาวไม่น้อย

“นี่คือหุ่นเชิดของข้า” ปู้ฟางตอบคำถามทหารยามเสียงเรียบ

“สหายหลิว ข้ารู้ๆ ข้าว่าสุภาพบุรุษท่านนี้ต้องเป็นผู้ควบคุมหุ่นเชิดตามที่ตำนานระบุไว้แน่นอน ข้าเคยอ่านมา หุ่นเชิดพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับข้ารับใช้หรอก” ทหารยามคนหนึ่งกล่าวอย่างตื่นเต้น

“ให้ตายเถอะ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีความรู้เรื่องผู้ควบคุมหุ่นเชิดด้วย เจ้าต้องเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังให้กระจ่างล่ะ รู้ไหม”

มุมปากของปู้ฟางม้วนขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อได้ยินเหล่าทหารยามพูดคุยกันเองด้วยสำเนียงท้องถิ่น ทำเพียงตบท้องอ้วนๆ ของเจ้าขาวแล้วเดินเข้าเมืองไป

เมืองนี้ไม่ได้รุ่งเรืองน้อยไปกว่านครหลวงเลย พื้นถนนปูด้วยอิฐเรียบเสมอกันทำให้เดินสบายเป็นอย่างมาก อาคารที่ไม่ได้สูงมากตั้งเรียงรายกันเป็นแถวอยู่ภายในเมือง กระเบื้องหลังคาเป็นสีขาวผนังเป็นสีดำ ส่วนอาคารที่สูงกว่ากลับมีหน้าตาพิกลเล็กน้อย แม้สีของอาคารจะดูแสนธรรมดา แต่มองเท่าไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ

ความคิดของปู้ฟางล่องลอยไปไกล เขารู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปยังหมู่บ้านแม่น้ำในเมืองเจียงหนานไม่มีผิด

กระแสน้ำในเมืองไหลเอื่อยต่างจากนอกเมือง ที่กลางแม่น้ำมีเรือมากมายประดับโคมไฟดอกไม้ เหล่าสุภาพบุรุษยืนถือพัดกระดาษอยู่ตรงหัวเรือ พลางท่องโคลงตอบโต้กันไปมา

วัฒนธรรมในนครใต้ดูอ่อนโยนสบายตากว่าวัฒนธรรมของนครหลวงอย่างเห็นได้ชัด อาจเรียกได้ว่าเป็นความแตกต่างระหว่างสองแคว้นก็ไม่ผิด

ปู้ฟางเดินไปยังถนนสายหนึ่งที่มีผู้คนคลาคล่ำ เหล่าคนบนถนนล้วนดูกระตือรือร้น พ่อค้าแม่ขายที่สองฝากถนนต่างกำลังส่งเสียงเร่ขายสินค้าไม่หยุดปาก กลิ่นหอมของอาหารลอยอบอวลอยู่ในอากาศ

“ไงจ๊ะพ่อรูปหล่อ วันนี้อากาศดี๊ดี แวะมาที่หอวสันต์สุคนธ์ของเราหน่อยเป็นไง”

ขณะกำลังมองสำรวจรอบๆ หูของเขาก็ได้ยินน้ำเสียงทรงเสน่ห์ ตามมาด้วยกลิ่นแป้งแต่งหน้าฉุนจัดที่ทำเอาชายหนุ่มหงุดหงิดใจจนต้องขมวดคิ้วแน่น

เมื่อปู้ฟางหันไปมอง เขาก็เห็นหญิงสาวแต่งกายประหยัดเนื้อผ้าโบกหน้าด้วยแป้งหน้าเตอะ กำลังเดินโยกย้ายส่ายสะโพกตรงมาหา

ทันทีที่ปู้ฟางเห็นอีกฝ่าย เขาก็รีบถอยหลังกรูด นี่มันผีบ้าอะไรกัน

หญิงสาวผู้นี้รูปร่างหน้าตาดูดีเกินมาตรฐาน แต่สายตาที่นางใช้มองปู้ฟางนั้นราวกับเป็นสายตาของสุนัขป่าหรือไม่ก็เสือที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อ

เมื่อเห็นปู้ฟางถอยหลังไปหลายก้าว สาวเจ้าก็ยิ่งตามติด แล้วรีบคว้ามือของเขามาแตะตัวนางทันที ปู้ฟางยืนแข็งอยู่กับที่ รู้สึกได้ถึงมือของตนเองที่กำลังกดอยู่บนอวัยวะต้องห้าม

“คุณชายน้อย ท่านคงเพิ่งมาเยือนนครใต้เป็นครั้งแรก อย่างไรก็แวะเข้ามาในหอวสันต์สุคนธ์ของเราก่อนเถอะ มาเถอะนะ เข้ามาเร็ว” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวนทรงเสน่ห์ขณะยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบดบังรอยยิ้มของตนเองไว้

กลิ่นแป้งแต่งหน้าทำเอาปู้ฟางรู้สึกคันจมูกจนต้องจามออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

ปู้ฟางยกมือขึ้นปิดจมูก คิ้วกระตุก พลางดึงมือออกจากร่างกายของอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น “อย่าเข้ามาใกล้ข้า พูดให้รู้เรื่องด้วย”

หญิงสาวอึ้งไป จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาขณะยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นโบก

ปู้ฟางมองไปรอบๆ แล้วสังเกตเห็นหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยไม่ต่างกันอีกหลายราย พวกนางกำลังยกยิ้มพลางหัวเราะคิกคักขณะดึงมือเหล่าชายหนุ่มเข้าไปในหอนางโลมที่ดูงดงามโอ่โถง

“คุณชายน้อย จะมัวลังเลอยู่ทำไม หอวสันต์สุคนธ์นะโด่งดังที่สุดในแคว้นหางหยางแล้ว ที่นี่…เรียกความมั่นใจของท่านคืนมาได้นะ” หญิงสาวพูดพร้อมยิ้มหวาน โบกผ้าเช็ดหน้าไปมา กลิ่นแป้งแต่งหน้าลอยมาปะทะจมูกปู้ฟางอีกรอบ

ปู้ฟางถอยร่นด้วยท่าทางรังเกียจ เอามืออุดจมูกพลางส่ายหน้าพัลวัน เขาอยากหันหลังกลับแล้วหนีไป กลิ่นของแป้งแต่งหน้ารุนแรงมาก สำหรับคนที่ประสาทสัมผัสอ่อนไหวอย่างปู้ฟาง นี่ถือเป็นความทรมานอย่างเหลือล้ำ

“ขอโทษด้วย ข้าสนแต่อาหารอร่อยเท่านั้น ที่นี่มีอาหารเลิศรสให้ลิ้มรสหรือไม่เล่า” ปู้ฟ่างถามด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะยังเอามือปิดจมูกไม่เลิก

หญิงสาวอึ้งไปอีกครา พลางรู้สึกว่าหนุ่มหล่อตรงหน้านางเป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย นางขยิบตาพลางกล่าวออกมา “ของอร่อยหรือ… แน่นอนว่าต้องมีของอร่อยแน่ ของอร่อยมากมายหลายชนิดเลยทีเดียว ไม่ว่าท่านจะอยากลิ้มรสไหน… พวกเราก็มีทั้งนั้น แต่ช่วยเลิกถามให้มากความทีเถอะ เดี๋ยวเข้าไปก็จะรู้เองว่าหอวสันต์สุคนธ์ของเราไม่เคยทำให้ใครผิดหวังอยู่แล้ว ทุกคนที่เข้าไปต่างบันเทิงเริงใจจนหาทางกลับบ้านแทบไม่ถูกเลยทีเดียว” เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วใช้นิ้วลากไปตามลำตัวปู้ฟาง จากนั้นก็ควงแขนเขาพาเข้าไปในหอนางโลม

แม้ปู้ฟางจะเป็นพ่อครัว แต่น้ำเสียงของหญิงสาวผู้นี้ทั้งยั่วยวนและทรงเสน่ห์เสียจนเขาอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้… ที่นี่คือสถานที่ในตำนานหรือเปล่านะ

ปู้ฟางจมอยู่กับความคิดของตัวเอง พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกลากเข้ามาในหอนางโลมเสียแล้ว ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างด้วยความตกใจ

ลำแสงสีแดงในดวงตาของเจ้าขาวสว่างจ้า มันยกมือที่ใหญ่เหมือนใบบัวขึ้นมาเกาหัวแกรก จากนั้นก็เดินตามปู้ฟางเข้าไป

เมื่อเข้าไปในหอนางโลม ปู้ฟางก็รู้สึกตื่นตาไม่น้อย ภายในของที่นี่หรูหราไม่ต่างจากภายนอก มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ส่วนผู้คนก็หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด

“น้องหญิงทั้งหลาย มารับแขกเร็วเข้า”

หญิงสาวดึงปู้ฟางเข้ามา มือก็โบกผ้าเช็ดหน้าไปมาพลางตะโกนเสียงดังลั่น ขณะที่ปู้ฟางยังคงอึ้งอยู่ กลุ่มสาวๆ ก็พากันหัวเราะต่อกระซิกเดินตรงมาหาเขา ความรู้สึกอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจชายหนุ่ม… นี่เขาเข้ามาผิดที่หรือเปล่า

หรือที่นี่จะคือสถานที่ที่ตำนานบรรยายไว้ว่า…เป็นสรวงสวรรค์ของบุรุษเพศ