วันต่อมา อวี๋หมิงหลางมองเงินที่อยู่ในกระเป๋าหนึ่งร้อยกับโน้ตที่เมียทิ้งไว้ให้อย่างเซ็งๆ
เนื่องจากบริการอันดีเลิศของนาย ทำให้หักล้างเรื่องสองลูกยักษ์ได้ เลยอยากแถมเงินให้อีกร้อย พยายามเข้านะ ต่อไปทำให้ดีล่ะ
ตอนที่อวี๋หมิงหลางเห็นข้อความในโน้ตแทบอยากจะไปพิสูจน์ความสามารถบัดเดี๋ยวนั้น ถ้าเวลาเป็นใจอะนะ
เสี่ยวเชี่ยนไปมหาวิทยาลัยด้วยความสดชื่น รังแกอวี๋เสี่ยวเฉียงเป็นงานถนัดของเธอ!
ตอนบ่ายไม่มีเรียนแล้ว เสี่ยวเชี่ยนกลับไปยังบ้านที่พักอยู่กับหลิวเหมย เมื่อเช้าเสี่ยวเฉียงบอกว่าเขาต้องไปเมืองอื่นเพื่อคัดเลือกทหารใหม่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ บอกให้เธออยู่บ้านเป็นเด็กดี เพราะคนร้ายคดีลวนลามผู้หญิงยังไม่ถูกจับ เขากำชับเป็นอย่างมากว่าห้ามเธอออกไปไหนตอนมืดๆค่ำๆ ถ้ามีธุระต้องออกไปจริงๆก็ให้เอาหลิวเหมยไปด้วย
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนกลับไปถึงบ้านก็พบว่าในบ้านมีแขกอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็คือนักสเกตภาพที่อวี๋หมิงหลางติดต่อไว้ หลิวเหมยกำลังนั่งอยู่ที่โซฟากับตำรวจสาวนักสเกตภาพคน หลิวเหมยพูด อีกฝ่ายก็วาด
มีเค้าโครงขึ้นมาแล้ว เสี่ยวเชี่ยนเดินไปดู เป็นใบหน้าของคนหนุ่ม น่าจะอายุราวๆยี่สิบ
“ตาโตอีกนิดค่ะ”
“แบบนี้เหรอคะ?” ตำรวจสาวแก้ หลิวเหมยพยักหน้า
เมื่อวานตอนที่เธอแสดงความกล้าหาญ ถึงแม้แสงไฟในสวนสาธารณะจะสว่างไม่มาก แต่ก็เพียงพอให้เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน
“ประมาณนี้แหละ”
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเอาไปหาในคลังข้อมูล ดูว่าจะเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยคนไหนบ้าง”
ตำรวจสาวแสดงความขอบคุณแล้วขอตัวกลับ หลิวเหมยถามเสี่ยวเชี่ยน
“พี่สะใภ้ คนโดนลวนลามตั้งเยอะแยะ พี่ว่าทำไมมีแค่ไม่กี่คนที่แจ้งความล่ะคะ?” เมื่อครู่เธอถามตำรวจคนนั้น ดูเหมือนตอนนี้จะมีแค่สามคนที่มาแจ้งความ แล้วก็ยังมีผู้เห็นเหตุการณ์แบบหลิวเหมยไปแจ้งความด้วย บอกว่าเห็นคนทำเรื่องอนาจารอย่างว่า แต่เหยื่อเป็นตายก็ไม่ยอมไปแจ้งความ ทางตำรวจเองก็ทำอะไรไม่ได้
“เรื่องนี้พี่ก็เคยคุยกับสุ่ยเซียน สภาพแวดล้อมทางสังคมเป็นแบบนี้ ต้นทุนของการไปแจ้งความบางครั้งมันมากกว่าการไม่แจ้ง สายตาที่แสดงความเห็นใจของคนที่ไปมุงดูกลับกลายเป็นการสร้างบาดแผลให้เหยื่อเป็นครั้งที่สอง—แต่พี่ก็สงสัยนะว่า คนแบบไหนกันที่รสนิยมหนักหน่วงขนาดนี้ แม้แต่คนแก่ก็ไม่เว้น?”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบแว่นกรอบดำออกมาจากกระเป๋า ในสมองนึกถึงแต่หน้าผู้อำนวยการคนนั้น
เป็นคนต้องมีจิตใจส่วนดีไว้บ้าง อย่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เพราะไม่รู้ว่าโชคร้ายมันจะมาหล่นทับที่ตัวเราเองเมื่อไร
ดูท่าแล้วผู้อำนวยการคนนี้ไม่คิดจะแจ้งความแน่
เสี่ยวเชี่ยนไปหาเวยเวยเพื่อทำการทดสอบ ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจ ตอนนี้อาการเวยเวยค่อนข้างคงที่ การฟื้นฟูสภาพจิตใจเป็นไปตามการคาดการณ์ของเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนเห็นอากาศดีจึงให้เย่เสียวอวี่พาเวยเวยไปเล่นน้ำอาบแดดที่ทะเล แสงแดดกับการออกกำลังจะช่วยไล่ลูกหมาดำในจิตใจได้
เธอไม่ได้ตามไปด้วย นอนชดเชยเอาแรงที่บ้าน นอนกลางวันอย่างมีความสุขไปตื่นเอาตอนเย็น เพราะได้กลิ่นเหมือนใครเผากระดาษ
“เหมยจื่อ เธอเผาอะไรน่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนเดินตามกลิ่นเข้าไปในห้องน้ำ เห็นหลิวเหมยกำลังเอากระดาษหนังสือพิมพ์ที่เผาแล้วทิ้งลงไปในโถส้วม
“น่าโมโหที่สุด เขียนแบบนี้ได้ยังไง! ดีนะที่ฉันเห็นก่อน ถ้าเวยเวยเห็นเข้าจะโมโหขนาดไหน! พี่สะใภ้ ไอ้นักข่าวพวกนี้นี่สมองมีแต่ขี้เลื่อยหรือเปล่า เขียนอะไรเพ้อเจ้อ! บอกว่าเวยเวยของพวกเราเป็นสาวน้อยเจ้าปัญหา มีเรื่องขัดแย้งกับพ่อที่รับอุปการะมาตลอด อยู่โรงเรียนทำตัวแย่เลยถูกพ่อสั่งสอน ถึงจะไม่ได้ระบุชื่อจริง แต่อ่านดูก็รู้แล้วว่าเขียนถึงเวยเวย!”
ยุคสมัยนี้ข้อมูลยังไม่แพร่กระจายอย่างบ้าคลั่งในอินเตอร์เน็ตเท่าอีกสิบกว่าปีให้หลัง สื่อเก่าแก่อย่างหนังสือพิมพ์ยังทำหน้าที่เป็นตัวแพร่เชื้อได้อย่างดี ข่าวที่มีเนื้อหาแบบนี้พอแพร่ออกไป ถึงแม้จะเป็นข่าวเล็กๆขนาดแค่เต้าหู้ แต่ก็ไม่ส่งผลดีต่อรูปคดีของเวยเวย
เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าหลิวเหมย “ทำไมอารมณ์ร้อนแบบนี้? ใครอยากจะเขียนอะไรก็เขียนไปสิ”
เรื่องนี้ประธานเชี่ยนไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด ตอนที่เธอไปกินข้าวกับสุ่ยเซียนก็ได้ยินแผนของผู้อำนวยการหมดแล้ว ถึงเย่ต้าเชียนจะถูกหมากัดจนต้องนอนโรงพยาบาล ช่วงนี้วันๆทะเลาะกับหลุ่ยจือจนถึงขั้นแทบหย่า
แต่เรื่องสาดโคลนใส่เวยเวยนั้น พวกเขาวางแผนกันไว้นานแล้ว ติดต่อเส้นสายที่มีไว้เรียบร้อย รวมถึงพยานทางโรงเรียน สื่อต่างๆ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
ดังนั้นต่อให้เย่ต้าเชียนจะได้รับผลกรรมไปเป็นที่เรียบร้อย หลุ่ยจือหมดความอดทนแทบอยากหย่ากับเย่ต้าเชียน แต่ผู้อำนวยก็ถูกซื้อตัวไปก่อนแล้ว ข่าวที่วางแผนมานานแบบนี้ยังไงก็ต้องเผยแพร่ออกไป
พื้นที่ข่าวขนาดแค่ก้อนเต้าหู้ จำนวนไม่กี่ร้อยอักษร แต่เบื้องหลังกลับเกี่ยวพันไปถึงการแลกเปลี่ยนด้วยตัวเงินและการใช้เส้นสายจำนวนมาก ถ้าไม่มีประธานเชี่ยน เด็กที่น่าสงสารอย่างเวยเวยจะต้องถูกเอาเปรียบจนตายแน่นอน
ประธานเชี่ยนประมาณการณ์ไว้นานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ร้อนใจอะไร แต่กลับเป็นหลิวเหมยที่โมโหมาก
“พี่ไม่เห็นว่าข่าวนี้มันลงแบบไม่มีความรับผิดชอบเลย บอกว่าเวยเวยทำตัวแย่มาก กลายเป็นทางโรงเรียนกับผู้ปกครองดูเป็นคนดีขึ้นมาทันตา ฉันว่าพวกสื่อทำตัวไร้เดียงสาอย่างกับสาวแรกแย้ม ใครให้เงินก็เฮไปทางนั้น ว่าไงก็ว่าตามกัน คนตามข่าวที่ไม่รู้เบื้องหลังก็บ้าตามไปด้วย! โดยเฉพาะทางโรงเรียนมันน่าโมโหที่สุด บอกว่าเวยเวยเป็นเด็กใจแคบ ปกติแค่เรื่องเล็กน้อยก็เก็บเอามาเคียดแค้น ทำตัวชู้สาว ที่เป็นโรคซึมเศร้าก็สมควรแล้ว แม่งเอ๊ย!”
หลิวเหมยยกนิ้วกลางให้
“ไม่มีบาดแผลไหนที่เราจะรู้สึกได้เหมือนกันหมดหรอก พวกเขาไม่ใช่เหยื่อ ก็ยืนพูดจาเพ้อเจ้อได้สิ ถ้าพวกเขาได้อยู่กับเวยเวยทั้งวันจะรู้ว่าเด็กคนนี้ดีแค่ไหน น่ารักแค่ไหน ฉันอยากจะไปอัดคนที่รังแกเวยเวยให้น่วมเสียจริงๆ! ไม่รู้ว่าถ้าคนพวกนั้นเจอเรื่องแบบเวยเวยจะกล้าออกมาพูดจาแบบนี้หรือเปล่า!”
“ผู้หญิงที่โตแล้วตกเป็นเหยื่อกับเด็กผู้หญิงตกเป็นเหยื่อนั้นไม่เหมือนกัน เรื่องการบอบช้ำทางจิตใจน่ะมีแน่ แต่บาดแผลของเด็กจะใหญ่กว่ามาก พี่จะเล่าเรื่องผลกระทบทางจิตใจที่เธอไม่รู้แน่นอนให้ฟัง รู้ไหมว่าทำไมเวลาที่ผู้หญิงที่โตแล้วถูกลวนลามทางเพศส่วนใหญ่ถึงไม่ไปแจ้งความกัน?”
เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงผู้อำนวยการโรงเรียนของเวยเวยที่เป็นตายก็ไม่ยอมไปแจ้งความ
“กลัวขายหน้า? กลัวถูกคนวิจารณ์?” หลิวเหมยคิดได้แต่เหตุผลนี้
“นี่เป็นแค่เหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะมีผู้หญิงส่วนหนึ่งเคยแต่งงานมาก่อน ตอนที่โดนกระทำชำเรารู้สึกได้ถึงความสุขอย่างหนึ่ง จิตใต้สำนึกของพวกเขาต่อต้าน แต่ร่างกายกลับเป็นไปตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ความรู้สึกที่น่าละอายแบบนี้ทำให้พวกเหยื่ออายไม่กล้าไปแจ้งความ พี่จำได้ว่ามีคดีหนึ่งหลังจากที่จับผู้ต้องหาได้แล้ว ผู้ต้องหาปฏิเสธลูกเดียว บอกว่าเหยื่อสมยอมและดูมีความสุขด้วยซ้ำ ดังนั้นจะตัดสินว่าเขาผิดไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ ก็ได้แค่แถ ยังไงก็ต้องรับโทษอยู่ดี”
“คุณ…พระช่วย!” หลิวเหมยรู้สึกเหมือนได้ความรู้ใหม่ “แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ? นี่มันพล็อตนิยายตบจูบเลยไม่ใช่เหรอ ปากบอกว่าไม่ แต่ร่างกายน่ะซื่อสัตย์กับความรู้สึก? มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย?”
“มันเป็นแค่ปฏิกิริยาตอบสนองของมนุษย์ตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกผู้ชายเลวๆใช้เป็นเรื่องโอ้อวด เรื่องอย่างว่าน่ะ ถ้าใช้แตงกวามาแทน อวัยวะส่วนนั้นก็ตอบสนองเหมือนกัน มันไม่เกี่ยวกับสมองเลยสักนิด”