บทที่ 21.1 สถานการณ์คลุมเครือ ปล่อยสาวน้อยให้โลดแล่น (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 21 สถานการณ์คลุมเครือ ปล่อยสาวน้อยให้โลดแล่น (1) โดย Ink Stone_Romance

ฉู่อี้หมินสั่นสะท้านไปทั้งตัว ชักเท้าถอยลงมาตามสัญชาตญาณ

ซึ่งขาก้าวที่ถดถอยลงไป เขาเองก็ตกใจมิใช่น้อย…

นี่เขาเป็นอะไรไป? ถึงขนาดขี้ขลาดต่อหน้าบุตรชายของตัวเองอย่างนี้เลยหรือ?

“นี่เจ้าทำอะไรกัน? ขู่ข้าหรือ?” ฉู่อี้หมินจงใจเอ่ยเสียงแข็ง เพื่อกลบความใจฝ่อของตน

ฉู่ฉีเหยียนยืดหลังตรง นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือส่งสัญญาณให้หลี่หลินที่เฝ้าอยู่หน้าประตู “ไปทำความสะอาดจวนให้สะอาด!”

“ขอรับ!” หลี่หลินรับคำ เมื่อออกไปแล้วก็ปิดประตู เดินนำสาวใช้ไปจัดการทำความสะอาดร่างศพและคราบเลือด

ภายในจวนหลังใหญ่ก็เหลือเพียงฉู่อีหมินสองพ่อลูก กลิ่นสุรายังคละคลุ้ง แต่บรรยากาศภายในกลับเย็นยะเยือกลงมา

“เรื่องครั้งนี้ ท่านพ่อจะทำอย่างไร?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยถามเสียงเรียบ

ด้วยความที่เขานั่งคุกเข่าอยู่ ฉะนั้น แม้เขาจะใส่อารมณ์ไปรุนแรงเท่าใด ฉู่อี้หมินก็ไม่อาจหาข้อบกพร่องมาเป็นข้ออ้างเพื่อพูดต่อได้

เมื่อนึกความเสียหายครั้งนี้ ฉู่อี้หมินก็หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมา

เขาหมุนตัวกลับไปรินเหล้าให้ตนแก้วหนึ่ง ก่อนจะวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง จนจานชามที่อยู่บนนั้นสั่นไหว เกิดเป็นเสียงดังขึ้นมา

“ล้วนแต่เป็นเพราะไอ้ขันทีหยางเถี่ยนั่นทำงานพลาด!” ฉู่อี้หมินเอ่ยอย่างแค้นเคือง

เมื่อฉู่ฉีเหยียนได้ยินดังนั้น ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน

เขาข่มตาลง หวังจะซ่อนอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ หลังจากนั้นถึงเอ่ยเสียงเรียบ “เสด็จพ่อยังมิเข้าใจอีกหรือ? มิใช่เพราะหยางเถี่ยทำเรื่องพลาด แต่เป็น…แผนการของท่านต่างหากที่มีข้อบกพร่อง หากโดนคนจับได้อาจจะนำความหายนะมาสู่ตน”

ฉู่อี้หมินสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองเขาอย่างสงสัย

“ลูกได้หาต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว แผนการที่ท่านวางมาก่อนหน้ามิได้มีช่องโหว่ใดใด แต่เมื่อหยางเถี่ยเข้ามายุ่ง เรื่องทั้งหมดจึงแดงขึ้นมา” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย “หยางเถี่ยอยู่กับท่านพ่อมาหลายปีแล้ว ถือเป็นคนเก่าคนแก่ของท่าน จากพฤติกรรมที่เขาแสดงที่ห้องหนังสือ ท่านพ่อรู้สึกว่าเขามีความเป็นไปได้ว่าจะหักหลังเราหรือ?”

ฉู่อี้หมินตะลึง

หากหยางเถี่ยมีใจคิดเช่นนั้นจริงๆ เมื่อตอนนั้นที่ชีพม้วยต่อหน้าฮ่องเต้คงจะไม่ยอมกัดฟันเงียบไม่พูดอะไรสักคำอย่างนั้นหรอก

“แต่…คนของจวนอ๋องจางซุ่นสองคนนั้น ข้าไม่ได้สั่งให้เขาไปฆ่า” สักพักฉู่อี้หมินก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้พูดอะไร

ฉู่อี้หมินนั่งฉงนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ พอตั้งสติได้ จึงคิดทบทวนเรื่องทั้งหมดอีกครั้งและค่อยๆ จับต้นชนปลายได้ทีละน้อย

“ให้ตาย!” เขากำมัดอัดหนักๆ ลงบนโต๊ะ สีหน้าของเขาเหี้ยมโหดขึ้นมาอย่างไม่ควรจะเป็น เอ่ยด่าทอ “ฉู่อี้อัน! เจ้านี่ยังวางแผนเลวได้ไม่มีข้อบกพร่องจริงๆ”

หยางเถี่ยเป็นคนสนิทของเขา และก็เป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุด แต่คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่มาก ขนาดตระกูลเจิ้งยังรู้แค่ว่า

หยางเถี่ยเป็นทหารองครักษ์ธรรมดาๆ แต่อีกฝ่ายกลับควบคุมหยางเถี่ยและใช้เขามาพลิกสถานการณ์ได้ในเวลาอันสั้น

ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ ต้องเป็นเพราะฉู่อี้อันสั่งให้คนไปสืบเรื่องหยางเถี่ยมาแน่นอน

แต่ผลที่ฉู่อี้อันพ่อลูกได้นั้นก็ต้องมีข้อเสียไม่มากก็น้อย เพราะที่พวกเขาหาเจอก็แค่หยางเถี่ยเป็นคนที่ไม่มีข้อด้อยหรืออะไรที่ต้องคอยปกป้อง ไม่มีครอบครัวและไม่มีคนรัก อีกทั้งยังเคยตกอับเป็นโจรสังหารคนไปทั่ว

มิฉะนั้นหากจับจุดด้อยของเขาได้ เขาอยากจะกัดผู้บงการอย่างฉู่อี้หมินคงไม่ต้องพูดถึง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จู่ๆ ฉู่อี้หมินก็เหงื่อแตกไปทั้งตัว

ฉู่ฉีเหยียนเห็นเขากระสับกระส่ายเช่นนี้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “ยามนี้เราเป็นปรปักษ์กับวังบูรพา ท่านวางแผนลงมือกับวังบูรพามิได้ผิด แต่ที่ผิดคือท่านเลือกศัตรูผิด!”

“หมายความว่าอย่างไร?” ฉู่อี้หมินขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ฉู่สวินหยางเป็นสตรี และยังเป็นแก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาท แม้ภายนอกจะเห็นว่านางเป็นจุดโจมตีวังบูรพาของเรา เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของความสัมพันธ์ แต่ก็เพราะว่านางเป็นแก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาทนี่แหละ ท่านพ่อจึงมิควรลงมือกับนาง” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

ฉู่อี้อหมินหรี่ตา เริ่มลังเลขึ้นมา

ฉู่ฉีเหยียนพูดต่อ “พูดอีกอย่างก็คือก็แค่ฉู่สวินหยาง แม้องค์รัชทายาทจะรักใคร่นางมากเท่าไร และแม้ท่านลงมือฆ่านางจนตายขึ้นมาจริงๆ แล้วมันจะเป็นอย่างไรไปได้? อย่างไรเสียวังบูรพาก็ต้องหาข้ออ้างให้พ้นข้อหา ฉู่สวินหยางนางก็เป็นแค่สตรีที่ถูกตามใจจนเสียนิสัยก็เท่านั้น ถึงฮ่องเต้จะปลดถอดยศนางทิ้ง แล้วฆ่านางมันจะเป็นอย่างไรได้? วังบูรพาก็ยังมั่นคงไม่สะเทือนอยู่ดี ท่านพ่อคิดจริงๆ หรือว่าองค์รัชทายาทและฉู่ฉีเฟิงจะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมาตลอดหลายปีนี้เพียงเพราะนางหรอกหรือ?”

ฉู่อี้หมินตะลึงงัน “ฉู่อี้อันกับนางเด็กนั่น…”

“ลูกเป็นบุตรชายเพียงผู้เดียวของท่านพ่อ พี่ใหญ่ก็เป็นบุตรสาวผู้เดียวของท่าน หากเป็นท่านเจอเรื่องเช่นนี้ ท่านจะจัดการอย่างไร?” ฉู่ฉีเหยียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะโค้งยิ้มอย่างเย็นชา

ฉู่อี้หมินเม้มปากแน่น สีหน้าก็เริ่มวิตกขึ้นมา

แม้เขาจะไม่ให้ความสำคัญต่อความผูกพันฉันท์ครอบครัวเท่าไร แต่ในฐานะที่พวกเขาเป็นบุตรสาวและบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา เขาจึงให้ความสำคัญกับสองพี่น้องสองคนนี้มาก แต่ถึงจะให้ความสำคัญมากอย่างไร…

พอถึงจุดเป็นจุดตายของชีวิตจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเลือก พอถึงตอนนั้นเข้าจริง เขาก็เลือกที่จะละทิ้ง

อย่างไรเสีย…

ตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจีอยู่ ก็อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีฟืนเผา!

ฉะนั้นครั้งนี้แม้ฉู่สวินหยางไม่อาจพ้นตัวจากโทษได้อย่างราบรื่น สุดท้ายถ้าฉู่อี้อันปล่อยมือ คนที่โดนดึงลงไปก็มีแต่ฉู่สวินหยางที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่นคนเดียว!

เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว…

แผนการนี้ของเขา จะต้องไม่ขาดทุนเป็นแน่!

เส้นเลือดสองข้างขมับของฉู่อี้หมินนูนขึ้นมา และรินเหล้าให้ตัวเองอีกแก้ว

ฉู่ฉีเหยียนรู้ว่าเขาเข้าใจดี จึงเอ่ย “แม้จะถอยอีกสักหมื่นก้าว แม้ท่านพ่อจะทำเรื่องสำเร็จเสร็จสิ้น อย่างมากก็แค่ทำให้องค์รัชทายาทกับวังบูรพาโกรธแค้น รอพวกเขามาแก้แค้นเราในภายภาคหน้าก็เท่านั้น ท่านพ่อ ครั้งนี้ ท่านตัดสินใจบุ่มบ่ามไปมาก ฉู่สวินหยางมิใช่เป้าหมายของเรา แม้ท่านจะลงมือลงแรงกับนางเท่าใด สุดท้ายก็เป็นเพียงตักน้ำใส่ตระกร้าไผ่เท่านั้น ไม่เกิดผลประโยชน์ใดขึ้นมาหรอกขอรับ”

ฉู่ฉีเฟิงยังอายุน้อย อาจจะควบคุมอารมณ์เรื่องฉู่สวินหยางไม่ได้ แต่ในใจลึกๆ ของฉู่ฉีเหยียนกลับไม่คิดว่าฉู่อี้อันจะเป็นคนชอบใช้อารมณ์แบบนั้น หากเขาทำอะไรลงไปง่ายๆ อย่างนั้น คงจะไม่ได้นั่งตำแหน่งนี้ในวังบูรพามาหลายปีโดยไม่มีพี่น้องคนอื่นมาแทนที่หรอก

ยิ่งได้ยินคำพูดเหล่านี้ของฉู่ฉีเหยียน ในใจของฉู่อี้หมินก็ยิ่งเป็นทุกข์ไปกันใหญ่

“เรื่องก็เกิดไปแล้ว ยามนี้มาพูดอะไรก็คงสายไปแล้ว!” สุดท้าย ฉู่อี้หมินทำได้เพียงกัดฟันถอนหายใจไป

เขาสูญเสียตำแหน่งหน้าที่ในกรมขุนนางไป ขนาดทหารส่วนตัวหนึ่งหมื่นนายยังโดนฮ่องเต้สั่งเก็บไปเลย ตอนนี้เขาได้กลายเป็นองค์ชายที่ไร้อำนาจอย่างแท้จริงแล้ว

“แม้จะเสียหาย แต่ยังมีข้อดี!” ในใจของฉู่ฉีเหยียนก็ต้องเกลียดเป็นธรรมดา เพียงแต่ไม่ได้แสดงเท่านั้น

เขาจัดแจงชุดตัวเองและยืนขึ้น สาวเท้าเดินไปด้านหน้า ก่อนตบบ่าของฉู่อี้หมินเอ่ย “ตราบใดที่ฝ่าบาทยังอยู่ดีมีสุขอยู่ ตราบใดที่องค์รัชทายาทยังมิขึ้นครองราชย์ พวกเรา…ก็ยังมีโอกาสอีก!”

ประโยคท้ายที่เขาเอ่ยขึ้นมา แววตาของเขาเปล่งแสงเป็นประกาย

ฉู่อี้หมินกลับไม่ได้รู้สึกว่าลำบากใจแต่อย่างใด ก่อนจะชะโงกตัวตะโกนเรียกไปทางประตูใหญ่ “หลิวต้าเล่า? เรียกขันทีบ้านั่นเข้ามาให้ข้า!”

หลิวต้า เป็นผู้ติดตามที่ฉู่อี้หมินไว้ใจเช่นกัน แต่ก็ไม่เท่าหยางเถี่ย เขาเป็นคนที่มีปฏิภาณไหวพริบไม่น้อย

ฉู่ฉีเหยียนหลุบตาหนี เหมือนว่ามีไอเย็นยะเยือกลอยออกมาจากในตัว ส่วนตัวเขาก็ได้แต่มองฉู่อี้หมินอยู่อย่างนั้น

เพราะว่า…..

ระหว่างนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ

เขาไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ไพล่หลังยืนตรงอยู่ในห้องโถง

ฉู่อี้หมินดื่มเหล้าไม่หยุดด้วยความกระวนกระวายใจ เหมือนว่ามีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้อารมณ์ของตนสงบลงมาได้

ทหารองครักษ์ด้านนอกรีบกรูกันเข้ามา เสียงฝีเท้าฮึกเหิม จนผ่านไปครึ่งชั่วยามถึงจะมีคนผลักประตูเข้ามา เขาหลบสายตาเอ่ย “ทูลองค์ชาย หลิวต้า…หลิวต้าหายไปแล้วขอรับ!”

“หายไปแล้ว?” ฉู่อี้หมินย้ำเสียงแหลม พลางพุ่งเข้าตะครุบคอเสื้อเขา

“ในจวนหาทั่วแล้วขอรับ หะ…หาไม่เจอ!” ทหารนายนั้นตอบเสียงแผ่ว

ฉู่อี้หมินตะลึง ด้วยฤทธิ์เหล้าทำให้ในหัวมึนไปหมด ก่อนเอ่ยกล่าวว่าด้วยสีหน้าแดงก่ำ “ไม่ได้เรื่อง! ไม่ได้เรื่อง! ไม่ได้เรื่องกันเลยสักอย่าง!”

ทหารองครักษ์นายนั้นรีบคุกเข่าลงอย่างไม่รีรอ ไม่กล้าแม้หายใจแรง

ฉู่ฉีเหยียนยืนไพล่หลัง หรี่ตาลง

———————————-