บทที่ 21 สถานการณ์คลุมเครือ ปล่อยสาวน้อยให้โลดแล่น (2) โดย Ink Stone_Romance
ฉู่อี้หมินเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องโถงกว้างนั้น ก่อนจะชี้นิ้วไปทางหน้าประตูด้วยความโมโห “ยังจะมองอยู่ทำไม? ไม่รีบไปหาตัวมันมาให้ข้าอีก?”
ทหารนายนั้นเพิ่งขานตอบ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งรีบดังขึ้นมาจากด้านนอก ก็พบว่าเป็นหลี่หลินที่นำพาคนเข้ามาในเรือนอย่างรีบร้อน
สีหน้าของเขาเงียบขรึม เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่
ทว่าสายตาของฉู่ฉีเหยียนกลับมองไปที่คนสี่คนที่ร่วมแรงร่วมใจกันแบกประตูเข้ามาด้านหลังเขา พลางถอนหายใจประชดเบาๆ
“ไม่ต้องไปหาแล้ว!” หลี่หลินเอ่ยพลางก้าวเข้ามาโค้งคำนับไปทางสองคนนั้น “องค์ชาย ซื่อจื่อ หาหลิวต้าเจอแล้วขอรับ”
เขาโบกมือส่งสัญญาณ ทหารสี่นายด้านหน้าก็ยกประตูบานนั้นเข้ามา
บนประตูบานนั้นมีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ค่อนข้างเปื่อยจนเสียรูปลักษณ์ สีหน้าซีดขาว
ฉู่อี้หมินขยับมุมปากเล็กน้อย จู่ๆ ขาก็โซเซอย่างควบคุมไม่ได้ เขาก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว ก่อนจะเบิกตาโพลงและเดินขึ้นไปด้านหน้าไม่กี่ก้าว เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่…นี่…”
หลิวต้าตายแล้วหรือ? หลังจากที่ปล่อยข่าวการหายไปของชิงหลัว และช่วยเขาวางแผนจัดการวังบูรพา…
ก็มาตายอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้เลยหรือ?
แม้จะโง่อย่างไรก็ดูออกว่าการตายของคนผู้นี้จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่
“ฝ่ายชันสูตรของศาลาว่าการพระนครได้ชันสูตรศพแล้ว เขาดื่มเหล้าและตกน้ำตาย ตายมาอย่างน้อยสองวันหนึ่งคืนแล้วขอรับ” หลี่หลินเอ่ยรายงานอย่างเป็นทางการ “ทางศาลาว่าการพระนครได้สรุปว่าเป็นอุบัติเหตุขอรับ”
ฉู่อี้หมินจู่ๆ ก็รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา พลางหย่อนก้นพิงหลังลงบนเก้าอี้
พอฉู่ฉีเหยียนโบกมือ หลี่หลินก็นำคนพวกนั้นยกร่างศพออกไป
บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกลงอีกครั้ง ฉู่ฉีเหยียนหยิบกาน้ำชาที่อยู่ข้างโต๊ะและรินน้ำชาที่กึ่งร้อนกึ่งเย็นส่งไปให้ฉู่อี้หมิน
ฉู่อี้หมินรับไว้อย่างใจลอย พอกระดกดื่มลงไปจึงได้สติขึ้นมาบ้าง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางฉู่ฉีเหยียนด้วยใบหน้ากึ่งสมเพชตัวเองและฝืนยิ้ม “ตั๊กแตนจับจักจั่น นกกระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง[1] เห็นทีข้าไม่เพียงจะเลือกสมบัติผิดชิ้น อีกทั้งยังโดนวางแผนจนถึงตายอีก!”
พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็กัดฟันกรอด บีบแก้วในมือจนแทบแตก
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เพราะทุกสิ่งก็ชัดเจนอยู่แล้ว…
แผนทำร้ายฉู่สวินหยางไม่ใช่ความคิดของฉู่อี้หมิน แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการผู้อื่น ฉู่อี้หมินแค่ถูกหลงกลไปเท่านั้น
“เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ท่านพ่อมิจำเป็นต้องคิดมาก เรื่องนี้…ลูกจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดแน่นอน” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนปกติที่เคยเป็น
ฉู่อี้หมินออกแรงกำถ้วยชาในมือแน่น นัยน์ตานิ่งลึก ไม่พูดจาใดใด
ฉู่ฉีเหยียนตบบ่าปลอบเขาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
ภายในตำหนักว่างเปล่า ร่องรอยทั้งหมดก็ถูกทำความสะอาดจนหมด ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เขาสาวเท้าเดินออกไป ก็เห็นหลี่หลินที่รออยู่ด้านนอก
“ไม่พบเบาะแสอะไรหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนยังคงสาวเท้าต่อไปและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นขาไม่รีบไม่ร้อน
“ขอรับ!” หลี่หลินพยักหน้าอย่างละอายใจ “คนข้างกายหลิวต้าบ่าวก็ตรวจสอบจนหมดแล้ว ไม่พบข้อต้องสงสัยใดๆ อีกทั้งยังถามลูกภรรยาของเขาด้วย ในบ้านของเขาก็ไม่มีของจำพวกเงินหรือจดหมายใดใด ตอนนี้ยังมีคนคอยตามสืบอยู่ บางทีค่ำๆ อาจจะมีเบาะแสอะไรก็ไม่แน่ขอรับ”
ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้า ในใจรู้ดีทุกอย่าง…
หาต่อไปก็ไม่มีอะไรเพิ่มมากหรอก
บางทีอาจจะเป็นหลิวต้าที่ยินยอมถูกจูงจมูกเอง จึงยอมปลิดชีพเพื่อกลบหลักฐานในด้านนี้ หรืออาจจะมีคนทุ่มเงินซื้อเขา พองานเสร็จก็ขโมยเงินกลับและฆ่าคนปิดปาก แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด…
ในเมื่ออีกฝ่ายเดินมาถึงจุดนี้ได้ ก็ไม่มีเหตุผลจะหลงเหลือร่องรอยบกพร่องใดใดให้พวกเขาแล้ว
จวนอ๋องหนานเหอเกิดไส้ศึก แต่เขาก็ทำได้เพียงกลืนลงไปเท่านั้น เพราะฉู่อี้หมินคิดไม่ซื่อไปวางแผนลอบทำร้ายฉู่สวินหยางเช่นนั้น แม้จะเพราะมีคนบงการก็เถอะ พอเรื่องแดงถึงฮ่องเต้ก็ไม่อาจอภัยได้อยู่ดี
เรื่องครั้งนี้ จวนอ๋องหนานเหอเสียหายยับเยินนัก แม้เมื่อครู่ต่อหน้าฉู่อี้หมินเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ภายในใจของฉู่ฉีเหยียนนั้นไม่ได้เดือดดาลน้อยไปกว่าใครเลย เพียงแค่…
ผู้นั้นคือพ่อของเขา เขาจึงไม่อาจอาละวาดต่อหน้าได้เท่านั้น!
“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ผู้ใดเป็นคนทำ?” เมื่อสูดหายใจเข้าเต็มปอด นำบันดาลโทสะทั้งหลายเก็บเข้าไปในอกอีกครั้ง ฉู่ฉีเหยียนจึงเอ่ยเสียงนิ่ง
“สู้จนตัวตายเช่นนี้ มิใช่แผนการของวังบูรพาหรอกหรือ?” หลี่หลินครุ่นคิดครู่หนึ่งและเอ่ยตอบว่า “ใช้ท่านหญิง
สวินหยางเป็นเหยื่อล่อให้องค์ชายลงมือ หลังจากนั้นก็ชิงอำนาจในมือขององค์ชายไป”
“แม้เป็นเช่นนี้…” ฉู่ฉีเหยียนถอนหายใจแผ่วเบา ทอดสายตามองไกลออกไปด้านหน้า คำพูดที่เหลือก็ไม่ได้พูดออกมาอีก
เป็นฝีมือของฝั่งวังบูรพาจริงๆ หรือ? ใช้ฉู่สวินหยางเป็นตัวล่อกำจัดฉู่อี้หมินให้ดับสิ้น จะคำนวณอย่างไร การค้าครั้งนี้ก็นับว่าได้กำไรไม่น้อย
เพียงแต่…
แม้เมื่อครู่เขาจะพูดอีกแบบหนึ่งต่อหน้าฉู่อี้หมิน แต่ในใจเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าฉู่อี้อันจะยอมให้ฉู่สวินหยางมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ถึงอย่างไร…
ในช่วงแผนการทั้งหมดนี้ หากมีข้อผิดพลาดแม้แต่เศษเสี้ยว ฉู่สวินหยางก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสิ้นชีพอย่างไร้หลุมฝัง
เบาะแสร้อยพันอารมณ์อัดแน่นอยู่ตรงหน้า จนฉู่ฉีเหยียนอึดอัดคับใจไปหมด พอเลี้ยวเข้ามาในสวนดอกไม้ก็เจอกับเตี่ยนชุ่ยที่นำสาวใช้เดินมาจากทางตรงข้าม
“ซื่อจื่อ!” เมื่อเห็นเขา เตี่ยนชุ่ยก็รีบหลีกทางคุกเข่าลงไปด้วยความเคารพนอบน้อม
ฉู่ฉีเหยียนไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจนาง ทำเพียงเหลือบมองเล็กน้อย ซิ่งเอ๋อร์ก็ยกถาดในมือขึ้นมา
“เอ่อ ข้าทำน้ำแกงสร่างเหล้า กำลังจะไปส่งให้องค์ชายพอดีเจ้าค่ะ” เตี่ยนชุ่ยรีบเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
ตั้งแต่ได้รู้ถึงแรงอำมหิตยามฆ่าคนครั้งที่แล้วของฉู่ฉีเหยียน ช่วงนี้จู่ๆ นางก็ซื่อสัตย์ขึ้นมามาก ลับหลังก็ไม่พูดอะไร อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้ทำตัวเป็นปัญหากับตระกูลเจิ้ง อีกทั้งยังไม่คิดแผนการไปแก่งแย่งชิงดีด้วย
ฉู่ฉีเหยียนมองนางแวบหนึ่งและเดินหน้าต่อไป
หลี่หลินเดินตามเขาไป พอเดินไปได้สักพักและหันกลับมากลับเห็นว่าเตี่ยนชุ่ยยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน สายตาของนางเหมือนกับทอดมองมาทางนี้
“ซื่อจื่อ แม่นางเตี่ยนชุ่ยผู้นี้…” สุดท้าย หลี่หลินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ทำไม?” ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ใส่ใจอะไร แค่เอ่ยถามไปเฉยๆ
หลี่หลินอ้าปากจะพูด แต่กลับรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดี พอครุ่นคิดถี่ถ้วนแล้วจึงส่ายศีรษะ “ข้าเพียงแค่คิดว่านางฉลาดนัก”
เนื่องด้วยหลายวันมานี้ฉู่อี้หมินผิดแปลกไป เหล่าสนมในจวนของเขาต่างก็โบยบินขึ้นฟ้ากันไปหมดแล้ว ในบรรดาสตรีที่ฉู่ฉีเหยียนจัดการไปนั้น มีเพียงสองนางที่ฉู่อี้หมินรักใคร่ มีหน้ามีตาในจวนอย่างมาก แต่แม่นางเตี่ยนชุ่ยผู้นี้กลับรู้ผิดรู้ถูกดี แอบซ่อนตัวอยู่ไกลๆ
มิเช่นนั้น จากนิสัยของฉู่ฉีเหยียน นางเกรงว่าจะกลายเป็นซากศพด้วยไปแล้ว
ฉู่ฉีเหยียนไม่สนใจเรื่องหลังบ้านของฉู่อี้หมินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แค่ไม่มาเสนอหน้าทำให้เขาเดือดร้อน เรื่องของสตรีพวกนั้นเขาก็ขี้เกียจจะไปยุ่ง คำพูดพวกนี้ฟังๆ ไปก็ลืมแล้ว ตรงกลับจวนของตนทันที
ในยามเดียวกันนั้น เมื่อหมอหลวงจัดการแผลบนศีรษะของแซ่เจิ้งเสร็จก็กลับออกไป
แม่นมกู้เก็บกวาดสำลีที่พันแผลและเปื้อนเลือด พลางเอ่ยเสียงค่อย “พระชายา ท่านคิดดีๆ เถิด ท่านอยู่ในฐานะอะไร? เหตุใดต้องไปเอาความกับเล็บหมูเล็บหมาเหล่านั้นด้วย โกรธไปก็ไม่คุ้มกับสุขภาพของท่าน พวกนางจะหนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของท่านมิใช่หรือ?”
คนแซ่เจิ้งหน้าดำทะมึน จิบชาไปคำหนึ่ง ในตาของนางเหมือนปล่อยพลังความเย็นออกมาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธปนเกลียด “คนชั้นต่ำพวกนั้น ไม่มีค่าพอให้ข้าแสดงฝีมือหรอก!”
คนที่นางโกรธแค้นจริงๆ คือฉู่อี้หมิน!
สตรีหลังจวนของเขาพวกนั้นนางยังพอเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ แต่ทุกวันนี้เขากลับยิ่งคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่กว่าเดิมจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติอีก
“พระชายา องค์ชายก็แค่กำลังโกรธ ตอนนี้ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ต้องไม่มีอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่นมกู้เอ่ย
ระหว่างที่กำลังพูด พอเงยหน้าก็เห็นฉู่ฉีเหยียนกำลังก้าวเข้ามา
“พระชายา ซื่อจื่อมาแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้โล่งใจ เอ่ยอย่างยินดี
คนแซ่เจิ้งมองตามไป เมื่อเห็นฉู่ฉีเหยียน ความโกรธความน้อยใจต่างๆ ที่กดไว้ในใจก็พรั่งพรูขึ้นมาจนฉุนจมูก
“เหยียนเอ๋อร์!”
นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
แม่นมกู้รีบยกถาดออกไปอย่างรู้ความ ฉู่ฉีเหยียนเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง
คนแซ่เจิ้งรู้สึกว่าอย่างนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร รีบเช็ดหน้าเช็ดตาให้แห้ง “เรื่องของท่านพ่อเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้า หยิบแก้วมารินน้ำให้ตัวเอง ก่อนเอ่ย “ท่านแม่ เรื่องมันเกิดไปแล้ว ท่านอย่าใส่ใจไปเลย ช่วงนี้ท่านพ่ออารมณ์ไม่คงที่นัก ให้เขาพักอยู่ในจวนสักช่วงหนึ่งก็มิใช่เรื่องร้ายอะไร!”
———————————–
[1]ตั๊กแตนจับจักจั่น นกกระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง เป็นสำนวนจีน หมายถึง เอาแต่มองผลประโยชน์ข้างหน้า โดยไม่อยู่ว่ามีภัยอยู่ข้างหลังบทที่ 21 สถานการณ์คลุมเครือ ปล่อยสาวน้อยให้โลดแล่น (2)
ฉู่อี้หมินเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องโถงกว้างนั้น ก่อนจะชี้นิ้วไปทางหน้าประตูด้วยความโมโห “ยังจะมองอยู่ทำไม? ไม่รีบไปหาตัวมันมาให้ข้าอีก?”
ทหารนายนั้นเพิ่งขานตอบ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งรีบดังขึ้นมาจากด้านนอก ก็พบว่าเป็นหลี่หลินที่นำพาคนเข้ามาในเรือนอย่างรีบร้อน
สีหน้าของเขาเงียบขรึม เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่
ทว่าสายตาของฉู่ฉีเหยียนกลับมองไปที่คนสี่คนที่ร่วมแรงร่วมใจกันแบกประตูเข้ามาด้านหลังเขา พลางถอนหายใจประชดเบาๆ
“ไม่ต้องไปหาแล้ว!” หลี่หลินเอ่ยพลางก้าวเข้ามาโค้งคำนับไปทางสองคนนั้น “องค์ชาย ซื่อจื่อ หาหลิวต้าเจอแล้วขอรับ”
เขาโบกมือส่งสัญญาณ ทหารสี่นายด้านหน้าก็ยกประตูบานนั้นเข้ามา
บนประตูบานนั้นมีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ค่อนข้างเปื่อยจนเสียรูปลักษณ์ สีหน้าซีดขาว
ฉู่อี้หมินขยับมุมปากเล็กน้อย จู่ๆ ขาก็โซเซอย่างควบคุมไม่ได้ เขาก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว ก่อนจะเบิกตาโพลงและเดินขึ้นไปด้านหน้าไม่กี่ก้าว เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่…นี่…”
หลิวต้าตายแล้วหรือ? หลังจากที่ปล่อยข่าวการหายไปของชิงหลัว และช่วยเขาวางแผนจัดการวังบูรพา…
ก็มาตายอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้เลยหรือ?
แม้จะโง่อย่างไรก็ดูออกว่าการตายของคนผู้นี้จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่
“ฝ่ายชันสูตรของศาลาว่าการพระนครได้ชันสูตรศพแล้ว เขาดื่มเหล้าและตกน้ำตาย ตายมาอย่างน้อยสองวันหนึ่งคืนแล้วขอรับ” หลี่หลินเอ่ยรายงานอย่างเป็นทางการ “ทางศาลาว่าการพระนครได้สรุปว่าเป็นอุบัติเหตุขอรับ”
ฉู่อี้หมินจู่ๆ ก็รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา พลางหย่อนก้นพิงหลังลงบนเก้าอี้
พอฉู่ฉีเหยียนโบกมือ หลี่หลินก็นำคนพวกนั้นยกร่างศพออกไป
บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกลงอีกครั้ง ฉู่ฉีเหยียนหยิบกาน้ำชาที่อยู่ข้างโต๊ะและรินน้ำชาที่กึ่งร้อนกึ่งเย็นส่งไปให้ฉู่อี้หมิน
ฉู่อี้หมินรับไว้อย่างใจลอย พอกระดกดื่มลงไปจึงได้สติขึ้นมาบ้าง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางฉู่ฉีเหยียนด้วยใบหน้ากึ่งสมเพชตัวเองและฝืนยิ้ม “ตั๊กแตนจับจักจั่น นกกระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง[1] เห็นทีข้าไม่เพียงจะเลือกสมบัติผิดชิ้น อีกทั้งยังโดนวางแผนจนถึงตายอีก!”
พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็กัดฟันกรอด บีบแก้วในมือจนแทบแตก
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เพราะทุกสิ่งก็ชัดเจนอยู่แล้ว…
แผนทำร้ายฉู่สวินหยางไม่ใช่ความคิดของฉู่อี้หมิน แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการผู้อื่น ฉู่อี้หมินแค่ถูกหลงกลไปเท่านั้น
“เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ท่านพ่อมิจำเป็นต้องคิดมาก เรื่องนี้…ลูกจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดแน่นอน” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนปกติที่เคยเป็น
ฉู่อี้หมินออกแรงกำถ้วยชาในมือแน่น นัยน์ตานิ่งลึก ไม่พูดจาใดใด
ฉู่ฉีเหยียนตบบ่าปลอบเขาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
ภายในตำหนักว่างเปล่า ร่องรอยทั้งหมดก็ถูกทำความสะอาดจนหมด ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เขาสาวเท้าเดินออกไป ก็เห็นหลี่หลินที่รออยู่ด้านนอก
“ไม่พบเบาะแสอะไรหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนยังคงสาวเท้าต่อไปและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นขาไม่รีบไม่ร้อน
“ขอรับ!” หลี่หลินพยักหน้าอย่างละอายใจ “คนข้างกายหลิวต้าบ่าวก็ตรวจสอบจนหมดแล้ว ไม่พบข้อต้องสงสัยใดๆ อีกทั้งยังถามลูกภรรยาของเขาด้วย ในบ้านของเขาก็ไม่มีของจำพวกเงินหรือจดหมายใดใด ตอนนี้ยังมีคนคอยตามสืบอยู่ บางทีค่ำๆ อาจจะมีเบาะแสอะไรก็ไม่แน่ขอรับ”
ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้า ในใจรู้ดีทุกอย่าง…
หาต่อไปก็ไม่มีอะไรเพิ่มมากหรอก
บางทีอาจจะเป็นหลิวต้าที่ยินยอมถูกจูงจมูกเอง จึงยอมปลิดชีพเพื่อกลบหลักฐานในด้านนี้ หรืออาจจะมีคนทุ่มเงินซื้อเขา พองานเสร็จก็ขโมยเงินกลับและฆ่าคนปิดปาก แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด…
ในเมื่ออีกฝ่ายเดินมาถึงจุดนี้ได้ ก็ไม่มีเหตุผลจะหลงเหลือร่องรอยบกพร่องใดใดให้พวกเขาแล้ว
จวนอ๋องหนานเหอเกิดไส้ศึก แต่เขาก็ทำได้เพียงกลืนลงไปเท่านั้น เพราะฉู่อี้หมินคิดไม่ซื่อไปวางแผนลอบทำร้ายฉู่สวินหยางเช่นนั้น แม้จะเพราะมีคนบงการก็เถอะ พอเรื่องแดงถึงฮ่องเต้ก็ไม่อาจอภัยได้อยู่ดี
เรื่องครั้งนี้ จวนอ๋องหนานเหอเสียหายยับเยินนัก แม้เมื่อครู่ต่อหน้าฉู่อี้หมินเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ภายในใจของฉู่ฉีเหยียนนั้นไม่ได้เดือดดาลน้อยไปกว่าใครเลย เพียงแค่…
ผู้นั้นคือพ่อของเขา เขาจึงไม่อาจอาละวาดต่อหน้าได้เท่านั้น!
“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ผู้ใดเป็นคนทำ?” เมื่อสูดหายใจเข้าเต็มปอด นำบันดาลโทสะทั้งหลายเก็บเข้าไปในอกอีกครั้ง ฉู่ฉีเหยียนจึงเอ่ยเสียงนิ่ง
“สู้จนตัวตายเช่นนี้ มิใช่แผนการของวังบูรพาหรอกหรือ?” หลี่หลินครุ่นคิดครู่หนึ่งและเอ่ยตอบว่า “ใช้ท่านหญิง
สวินหยางเป็นเหยื่อล่อให้องค์ชายลงมือ หลังจากนั้นก็ชิงอำนาจในมือขององค์ชายไป”
“แม้เป็นเช่นนี้…” ฉู่ฉีเหยียนถอนหายใจแผ่วเบา ทอดสายตามองไกลออกไปด้านหน้า คำพูดที่เหลือก็ไม่ได้พูดออกมาอีก
เป็นฝีมือของฝั่งวังบูรพาจริงๆ หรือ? ใช้ฉู่สวินหยางเป็นตัวล่อกำจัดฉู่อี้หมินให้ดับสิ้น จะคำนวณอย่างไร การค้าครั้งนี้ก็นับว่าได้กำไรไม่น้อย
เพียงแต่…
แม้เมื่อครู่เขาจะพูดอีกแบบหนึ่งต่อหน้าฉู่อี้หมิน แต่ในใจเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าฉู่อี้อันจะยอมให้ฉู่สวินหยางมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ถึงอย่างไร…
ในช่วงแผนการทั้งหมดนี้ หากมีข้อผิดพลาดแม้แต่เศษเสี้ยว ฉู่สวินหยางก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสิ้นชีพอย่างไร้หลุมฝัง
เบาะแสร้อยพันอารมณ์อัดแน่นอยู่ตรงหน้า จนฉู่ฉีเหยียนอึดอัดคับใจไปหมด พอเลี้ยวเข้ามาในสวนดอกไม้ก็เจอกับเตี่ยนชุ่ยที่นำสาวใช้เดินมาจากทางตรงข้าม
“ซื่อจื่อ!” เมื่อเห็นเขา เตี่ยนชุ่ยก็รีบหลีกทางคุกเข่าลงไปด้วยความเคารพนอบน้อม
ฉู่ฉีเหยียนไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจนาง ทำเพียงเหลือบมองเล็กน้อย ซิ่งเอ๋อร์ก็ยกถาดในมือขึ้นมา
“เอ่อ ข้าทำน้ำแกงสร่างเหล้า กำลังจะไปส่งให้องค์ชายพอดีเจ้าค่ะ” เตี่ยนชุ่ยรีบเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
ตั้งแต่ได้รู้ถึงแรงอำมหิตยามฆ่าคนครั้งที่แล้วของฉู่ฉีเหยียน ช่วงนี้จู่ๆ นางก็ซื่อสัตย์ขึ้นมามาก ลับหลังก็ไม่พูดอะไร อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้ทำตัวเป็นปัญหากับตระกูลเจิ้ง อีกทั้งยังไม่คิดแผนการไปแก่งแย่งชิงดีด้วย
ฉู่ฉีเหยียนมองนางแวบหนึ่งและเดินหน้าต่อไป
หลี่หลินเดินตามเขาไป พอเดินไปได้สักพักและหันกลับมากลับเห็นว่าเตี่ยนชุ่ยยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน สายตาของนางเหมือนกับทอดมองมาทางนี้
“ซื่อจื่อ แม่นางเตี่ยนชุ่ยผู้นี้…” สุดท้าย หลี่หลินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ทำไม?” ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ใส่ใจอะไร แค่เอ่ยถามไปเฉยๆ
หลี่หลินอ้าปากจะพูด แต่กลับรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดี พอครุ่นคิดถี่ถ้วนแล้วจึงส่ายศีรษะ “ข้าเพียงแค่คิดว่านางฉลาดนัก”
เนื่องด้วยหลายวันมานี้ฉู่อี้หมินผิดแปลกไป เหล่าสนมในจวนของเขาต่างก็โบยบินขึ้นฟ้ากันไปหมดแล้ว ในบรรดาสตรีที่ฉู่ฉีเหยียนจัดการไปนั้น มีเพียงสองนางที่ฉู่อี้หมินรักใคร่ มีหน้ามีตาในจวนอย่างมาก แต่แม่นางเตี่ยนชุ่ยผู้นี้กลับรู้ผิดรู้ถูกดี แอบซ่อนตัวอยู่ไกลๆ
มิเช่นนั้น จากนิสัยของฉู่ฉีเหยียน นางเกรงว่าจะกลายเป็นซากศพด้วยไปแล้ว
ฉู่ฉีเหยียนไม่สนใจเรื่องหลังบ้านของฉู่อี้หมินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แค่ไม่มาเสนอหน้าทำให้เขาเดือดร้อน เรื่องของสตรีพวกนั้นเขาก็ขี้เกียจจะไปยุ่ง คำพูดพวกนี้ฟังๆ ไปก็ลืมแล้ว ตรงกลับจวนของตนทันที
ในยามเดียวกันนั้น เมื่อหมอหลวงจัดการแผลบนศีรษะของแซ่เจิ้งเสร็จก็กลับออกไป
แม่นมกู้เก็บกวาดสำลีที่พันแผลและเปื้อนเลือด พลางเอ่ยเสียงค่อย “พระชายา ท่านคิดดีๆ เถิด ท่านอยู่ในฐานะอะไร? เหตุใดต้องไปเอาความกับเล็บหมูเล็บหมาเหล่านั้นด้วย โกรธไปก็ไม่คุ้มกับสุขภาพของท่าน พวกนางจะหนีอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของท่านมิใช่หรือ?”
คนแซ่เจิ้งหน้าดำทะมึน จิบชาไปคำหนึ่ง ในตาของนางเหมือนปล่อยพลังความเย็นออกมาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธปนเกลียด “คนชั้นต่ำพวกนั้น ไม่มีค่าพอให้ข้าแสดงฝีมือหรอก!”
คนที่นางโกรธแค้นจริงๆ คือฉู่อี้หมิน!
สตรีหลังจวนของเขาพวกนั้นนางยังพอเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ แต่ทุกวันนี้เขากลับยิ่งคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่กว่าเดิมจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติอีก
“พระชายา องค์ชายก็แค่กำลังโกรธ ตอนนี้ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ต้องไม่มีอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่นมกู้เอ่ย
ระหว่างที่กำลังพูด พอเงยหน้าก็เห็นฉู่ฉีเหยียนกำลังก้าวเข้ามา
“พระชายา ซื่อจื่อมาแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้โล่งใจ เอ่ยอย่างยินดี
คนแซ่เจิ้งมองตามไป เมื่อเห็นฉู่ฉีเหยียน ความโกรธความน้อยใจต่างๆ ที่กดไว้ในใจก็พรั่งพรูขึ้นมาจนฉุนจมูก
“เหยียนเอ๋อร์!”
นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
แม่นมกู้รีบยกถาดออกไปอย่างรู้ความ ฉู่ฉีเหยียนเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง
คนแซ่เจิ้งรู้สึกว่าอย่างนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร รีบเช็ดหน้าเช็ดตาให้แห้ง “เรื่องของท่านพ่อเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“ขอรับ!” ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้า หยิบแก้วมารินน้ำให้ตัวเอง ก่อนเอ่ย “ท่านแม่ เรื่องมันเกิดไปแล้ว ท่านอย่าใส่ใจไปเลย ช่วงนี้ท่านพ่ออารมณ์ไม่คงที่นัก ให้เขาพักอยู่ในจวนสักช่วงหนึ่งก็มิใช่เรื่องร้ายอะไร!”
———————————
[1]ตั๊กแตนจับจักจั่น นกกระจอกเหลืองอยู่เบื้องหลัง เป็นสำนวนจีน หมายถึง เอาแต่มองผลประโยชน์ข้างหน้า โดยไม่อยู่ว่ามีภัยอยู่ข้างหลัง