บทที่ 21.3 สถานการณ์คลุมเครือ ปล่อยสาวน้อยให้โลดแล่น (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 21 สถานการณ์คลุมเครือ ปล่อยสาวน้อยให้โลดแล่น (3) โดย Ink Stone_Romance

นิสัยเช่นนี้ของฉู่อี้หมินจะให้พูดอย่างไรก็เปลืองน้ำลายเปล่า ไม่เหมาะจะขึ้นเป็นกษัตริย์เลยแม้แต่น้อย ข้อนี้ในใจของคนแซ่เจิ้งก็รู้ดี

“แต่เขาเสียอำนาจในมือไปแล้ว อย่างไร…” คนแซ่เจิ้งพูดพลางถอนหายใจขมวดคิ้ว

“ไม่เป็นไร ของพวกนั้น ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องได้คืนกลับมา” ฉู่ฉีเหยียนตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก พูดๆ ไปก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ใช่แล้วท่านแม่ ช่วงนี้ท่านไม่ได้กลับจวนกั๋วกงเลยใช่หรือไม่?”

คนแซ่เจิ้งตกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยท่าทีเยือกเย็น “เจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและท่านยายของเจ้า…”

ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฮูหยินเจิ้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ค่อยลงรอยกันเสมอ

และสิ่งที่ชัดเจนมากว่า หญิงชราเย็นชากับเรื่องทั้งหมดที่นางทำมาก มิเช่นนั้นตอนแรกก็คงไม่ให้นางเลือกบุรุษที่ดูสามัญชนธรรมดาอย่างฉู่อี้หมินมาเป็นสามีหรอก และตอนนี้…

แม้จะรู้ว่าทางจวนของตนจะมีแผนอีกอย่าง แต่ท่าทีของครอบครัวตระกูลเจิ้งกลับคลุมเครือ ไม่ได้สนับสนุนนางทันที

“ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไร ท่านแม่ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านยายเถิด!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย

เมื่อพูดถึงเรื่องกลับบ้านแม่ คนแซ่เจิ้งก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา พอกำลังจะบ่ายเบี่ยง แต่จู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง จึงเก็บอาการและเอ่ยพูด “เหยียนเอ๋อร์ เจ้า…”

“หลายวันนี้ เรื่องของฉู่สวินหยางวุ่นวายเสียจนเอิกเกริก กลบข่าวอื่นเสียหมด ท่านแม่อาจจะยังไม่ทราบ น้าสะใภ้อ้างว่าไปรักษาตัวที่ศาลบรรพบุรุษ ฉู่เยว่เหยาก็บอกว่านางเป็นบ้าโดนขังไว้” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ

คนแซ่เจิ้งตะลึง เบิกตาโพลงอย่างคาดไม่ถึง “นี่มันอย่างไรกัน?”

“เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างไรข้าก็ไม่แน่ใจ ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่อย่างไรตอนนี้ตระกูลเจิ้งแปรพรรคเป็นศัตรู อารมณ์ของท่านยายจะต้องไม่ดีแน่ ไม่ว่าอย่างไร ทางที่ดีช่วงนี้ท่านแม่ไปหาท่านหน่อยเถิด” ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้มีสีหน้าพิเศษใดใด แต่ประโยคนี้ของเขาทำให้คนแซ่เจิ้งเกิดความระแวงขึ้นมาอย่างมาก

“อืม ข้ารู้แล้ว!” แต่นางกลับไม่ได้ถามอะไรต่อ และตอบรับส่งๆ ไปก่อน

ฉู่ฉีเหยียนพูดเกลี้ยกล่อมนางอีกสองสามประโยคก็ขอตัวออกมา

ไม่ว่าในจวนผิงกั๋วกงเกิดปัญหาอะไร มีเพียงการปรากฏตัวของฉู่สวินหยางที่ทำให้เขาหวาดระแวง…

อยากสมคบกับจวนผิงกั๋วกงอย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็มาดูกันว่าเขาจะตกลงหรือไม่!

———————————–

ช่วงเวลาต่อจากนี้คลื่นลมสงบดี แต่ชายาเอกในอ๋องหนานเหอกลับไปจวนผิงกั๋วกงแทบทุกวัน อีกทั้งทุกครั้งที่ไปล้วนแต่เอาของมีค่าต่างๆ นานาติดมือไปนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ยาไปจนถึงผ้า สิ่งที่ควรจะมีก็มีทั้งหมด คนเบื้องบนเบื้องล่างล้วนปิติยินดีไปทั้งจวน

ท่าทีของฮูหยินเจิ้งก็ไม่ได้รังเกียจหรือชื่นชอบ แต่นางก็ไม่ได้สนใจ ยังคงไปๆ กลับๆ อยู่เช่นนั้น

เพราะถือคติไม่ตบหน้าคนยิ้ม อีกทั้งทั้งสองยังมีความสัมพันธ์ฉันท์แม่ลูกอยู่ คนตระกูลเจิ้งจึงได้แต่ยิ้มต้อนรับ เพียงเวลาครึ่งเดือนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลกระซับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าฮูหยินเจิ้งมีเจตนาจะยกหลานสาวของตนให้กับซื่อจื่อในอ๋องหนานเหอ เพื่อเป็นการเชื่อมมิตรสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก

อีกด้าน ฉู่สวินหยางวุ่นวายอยู่กับการสะดึงดอกไม้ พลางฟังข่าวที่ชิงเถิงนำมาเล่า

“ท่านหญิง ท่านว่าเรื่องนี้คงไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ชิงเถิงเอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย “หลายวันมานี้ ข่าวว่าพระชายาเอกในอ๋องหนานเหอไปบ้านแม่อยู่บ่อยจริงๆ และข่าวนี้ก็แพร่มาสามสี่วันแล้ว คนตระกูลเจิ้งก็ไม่ออกมาแถลงไขเสียที อย่าว่า…”

ชิงเถิงยังคงคิดต่อไป เกิดเป็นความกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนเอ่ยอย่างร้อนรน “หากทั้งสองตระกูลนั้นแต่งงานกันขึ้นมาจริงๆ จวนผิงกั๋วกงก็ถือว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของจวนอ๋องหนานเหอเป็นแน่”

ฉู่สวินหยางได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มขึ้นมา ก่อนเบ้ปากเอ่ย “นายพลฮั่วกลับพระนครได้พักหนึ่งแล้ว เรื่องนั้นยังไม่มีข้อสรุปอีกหรือ?”

ความคิดของนางกระโดดข้ามไปไกล เหมือนกับไม่ได้เดินไปทางเดียวกับที่ชิงเถิงคิดไว้เลย

ชิงเถิงก็ค่อยๆ ลดความร้อนรนนั้นลงอย่างเข้าใจและรีบเอ่ยตอบ “ยังไม่มีเจ้าค่ะ แค่ให้พักผ่อนอยู่บ้าน กล่าวว่าหากเรื่องนี้ยังสอบไม่ชัดเจน ห้ามเขาออกจากพระนครแม้แต่ก้าวเดียว”

“แล้วทางฮองเฮาล่ะ? นางทำอย่างไร?” ฉู่สวินหยางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามอีก

“ต่อหน้าก็มิได้พูดอะไร แต่ลับหลังกลับแนะนำให้ตระกูลหลัวจัดงานมงคลให้เอิกเกริก นี่นับว่าเป็นการตบตาที่ต้องการจะกดดันฝ่าบาท”

ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้ระเบิดอารมณ์ใส่ ฮองเฮาก็รู้ดีว่านางไม่อาจเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ จึงเก็บอาการอยู่บ้าง

ชิงเถิงคิดไปคิดมาก็ยังกังวลอยู่ “เห็นที หลัวฮองเฮาจะต้องเกลียดนายพลฮั่วเข้าไส้แล้ว คงจะต้องให้ตระกูลฮั่วชดใช้ด้วยชีวิตเป็นแน่”

“หึ” ฉู่สวินหยางหัวร่อเสียงขึ้นจมูก แต่กลับพูดอย่างไม่ใส่ใจ “นางจะทรมานพวกเขาอย่างไรก็ปล่อยนางเถอะ”

ฉู่ฉีเหยียนทำเรื่องอะไรมักไม่ทิ้งร่องรอยไว้ เรื่องของหลัวอี้ก็หาหลักฐานอะไรออกมาไม่ได้ แม้ฮองเฮาจะอาละวาดไปแล้วมันจะอย่างไร? เพียงแต่แม้สตรีนางนี้ไม่อาจสร้างเรื่องให้ใหญ่โตได้ แต่ถ้ามีนางเข้าไปยุ่งด้วยก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่

ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง แต่ก็ปล่อยไปไม่ได้พูดถึง แล้วเอ่ยถาม “ชิงหลัวล่ะ..ยังไม่มีข่าวคราวอีกหรือ?”

ชิงเถิงได้ยินเช่นนั้นท่าทีก็ดูเศร้าลง ในดวงตาเหมือนน้ำตาคลออยู่พลางส่ายศีรษะ “ทางกองพลและคนในจวนของเราไปสืบอยู่ตลอด ก่อนคุณชายรองซูไปจากพระนครก็รับปากจะช่วยดูตามทางให้ แต่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ยังไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย”

หลังจากวันนั้น ซูหลินก็นั่งยันนอนยันว่ามีคนช่วยชิงหลัวไปแล้ว แต่อยู่ไม่เห็นร่างตายไม่เห็นศพเช่นนี้ ยิ่งนานวันเข้าความหวังก็เริ่มริบหรี่ลงไปทุกที

ฉู่สวินหยางถอนหายใจวางสะดึงดอกไม้และลุกขึ้น “ยามนี้ท่านพี่อยู่ในจวนหรือไม่?”

“ไม่อยู่เจ้าค่ะ เข้าวังไปตั้งแต่เช้าตรู่ ยังมิกลับเลยเจ้าค่ะ” ชิงเถิงเอ่ย

ฉู่สวินหยางคิดครู่หนึ่ง และหมุนกลับเข้าไปในห้องด้านใน “เตรียมชุดให้ข้า ข้าจะออกไปข้างนอก”

ฉู่สวินหยางเปลี่ยนชุดเสร็จ จูหยวนซานก็คุ้มกันนางออกจวนไปยังเรือนมีสุข

จนกระทั่งหลังยามอู่ นางจึงทานข้าวที่เรือนมีสุขเลย หลังจากนั้นก็นั่งชมทิวทัศน์ของถนนอยู่ที่ชั้นบน

ชิงเถิงไม่รู้ว่านางเอาความสนอกสนใจเช่นนี้มาจากไหน แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้แต่อดทนนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นจนผ่านไปเกือบชั่วยาม ชิงเถิงที่นั่งสัปหงกจู่ๆ ก็เหลือบเห็นฉู่สวินหยางคลี่ยิ้ม จึงเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัย พอชะโงกหน้าออกไปก็ถึงบางอ้อ

อิ้งจื่อนำรถม้าคันหนึ่งเข้าเมืองมา และเหลือบเห็นการกระทำของพวกนาง ควบม้าเดินหน้าไปสองก้าวก่อนหันไปพูดที่หน้าต่างรถม้า

รถม้าเดินไปอีกระยะหนึ่ง ก่อนจะหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งของถนน

ฉู่สวินหยางคลี่ยิ้มเล็กน้อย และปิดหน้าต่าง

ไม่นานหน้าบันไดก็มีเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้นมา ครู่หนึ่ง เหยียนหลิงจวินก็เดินเข้ามา

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะผ่านทางนี้?” เขายิ้มเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามฉู่สวินหยาง

เฉินเกิงเหนียนเป็นพวกอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ผ่านสามวันแปดวันก็ออกไปหาสมุนไพร บางสมุนไพรที่หายากก็ยอมขึ้นเขาไปหาด้วยตัวเอง ครั้งนี้เขาออกเมืองติดต่อกันเจ็ดแปดวัน ว่ากันว่าเขาหลงทางอยู่ในเขา เหยียนหลิงจวินจึงออกไปตามหา

แน่นอนว่าฉู่สวินหยางจะบอกว่าฉู่ฉีเฟิงส่งคนไปจับตาดูเขาทุกฝีก้าว เมื่อนางได้ยินเขาพูดเช่นนั้นจึงทำเพียงหัวเราะแก้เขิน

ชิงเถิงออกไปอย่างรู้หน้าที่

ฉู่สวินหยางรินชาส่งให้เขาก่อนเอ่ยถาม “ผู้เฒ่าเฉินเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ก็ดี เท้าพลิก ค้างอยู่บนเขาไปสองวัน เขาเอาสมบัติไปเต็มตัว ยังได้สติดีอยู่” เหยียนหลิงจวินคลี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

ฉู่ฉีเฟิงกับเขาไม่ค่อยถูกชะตากันเท่าไร แต่ก็มีบางเรื่องที่ไม่พ้นสายตาเขา เหมือนกับที่เขาแอบทำเรื่องต่างๆ ลับหลังวังบูรพาเช่นกัน

เมื่อเห็นชิงเถิงออกไป เขาจึงวางถ้วยชาลงและยกมือไปจับมือของนาง

พอฉู่สวินหยางจะชักมือกลับก็สายไปแล้ว เขาออกแรงดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

“ทำอะไร?” ฉู่สวินหยางนั่งอยู่บนตักเขา พยายามดิ้นสะบัดเต็มที่ “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องสำคัญ”“หึ” เหยียนหลิงจวินหัวเราะเบาๆ ข้างหูนาง ลมหายใจนั้นมีไอร้อนออกมา “เมื่อไรเจ้าจะเลิกวางท่าคุยแต่เรื่องงานเวลามาหาข้าเสียที?”

ระหว่างที่เขาพูด สายตาเขาไม่ได้ขยับไปไหน ยังคงจับตาอยู่ข้างหูนางอย่างนั้น ใจสั่นไหวเตรียมอ้าปากจะไปกัด

แต่ครั้งนี้ฉู่สวินหยางเตรียมป้องกันไปก่อนแล้ว จึงยกมือบังอย่างรวดเร็ว รอยจูบจึงประทับอยู่กลางหลังมือนาง

เหยียนหลิงจวินก็ไม่นึกโกรธแม้แต่น้อย เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมอกยิ้มเจ้าเล่ห์ นัยน์ตาก็เป็นประกาย จู่ๆ ก็ลิ้นอ่อนขึ้นมา ทำเพียงแลบลิ้นเลียฝ่ามือนางเบาๆ

ทั้งอุ่นๆ ชื้นๆ และยังจั๊กจี้นิดๆ

———————————