บทที่ 224 อยากจะเห็นสภาพของช่วงยุคสิ้นโลกสักหน่อยจริงๆ

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

“ไปเถอะ เดี๋ยวผมจะเลี้ยงหมูสามชั้นผัดพริก คิดว่าเป็นค่าตอบแทนที่ลำบากให้คุณเดินทางมาก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับจางอีเต๋อแล้วหัวเราะฮี่ๆ

จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในร้านอาหารเสฉวนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็ชอบอาหารเสฉวนที่เน้นรสเผ็ดมาก ดังนั้นจึงได้สั่งหม้อไฟหมาล่า หมูสามชั้นผัดพริก และยังมีอาหารจานผักอีกสองอย่าง นี่นับว่าเป็นการรับรองจางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะอย่างดีแล้ว

หากคนอื่นรู้ว่าเย่เทียนเฉินใช้วิธีการนี้มารับรองแขก ทุกคนคงต้องคุกเข่าร้องไห้ขอให้เซียนแพทย์เทวะอย่าได้ออกมาอีกเลย เชื่อว่าพวกเขาคงคิดอยากจะอัดเจ้าหมอนี่สักยกแน่ๆ

จางอีเต๋อเองก็รู้สึกแปลกใจกับเย่เทียนเฉินมาก เพราะว่าเขาอยู่มาแล้วร้อยปี เคยเห็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ และเคยเห็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษมามากมาย แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นคนหนุ่มแบบเย่เทียนเฉินมาก่อน แล้วยังเป็นคนที่มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้อีกด้วย ที่สำคัญก็คือในร่างกายของเย่เทียนเฉินมีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ต่อให้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากก็ตาม สิ่งนี้ยากที่จะถูกผู้อื่นค้นพบ หากไม่ใช่เพราะตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจึงมีพลังพิเศษที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ในตอนที่รักษาบาดแผลให้เย่เทียนเฉินก็คงจะไม่รู้สภาพอันหน้าตื่นตะลึงของเขาแน่

ความจริงแล้วในเรื่องขอบเขตพลังของผู้มีพลังพิเศษ ตอนที่เย่เทียนเฉินได้กลับมาเกิดใหม่ก็พบว่าขอบเขตพลังของตนได้ตกไปอยู่ระดับราชัน นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก ในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ทำไมหลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ถึงได้มีพลังพิเศษแค่ระดับราชัน? หากจะพูดว่าการเกิดใหม่สามารถพาพลังพิเศษมาด้วยได้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเป็นขอบเขตพระเจ้าถึงจะถูก? นี่ทำให้เขารู้สึกสงสัยมากจริงๆ

สุดท้ายเย่เทียนเฉินก็ให้คำอธิบายออกมาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือตนเองได้มาเกิดใหม่ในร่างของเย่เทียนเฉิน กายเนื้อนี้ไม่อาจรองรับพลังพิเศษได้มาก นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาที่ไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้วจึงได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นได้ยาก นอกจากนี้ในตอนนั้นที่เขาต่อสู้กับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง เดิมทีเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะสู้กับมันอยู่แล้ว เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่กำลังโกรธจนคลั่ง ได้ไปสัมผัสถึงขอบเขตหนึ่งที่ทำให้ก้าวกระโดดไปครั้งใหญ่ ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “เขตแดนต้องห้าม” ในตอนที่ยืนอยู่ในเขตแดนต้องห้ามเย่เทียนเฉินก็ได้ก้าวกระโดดไปครั้งใหญ่ เขาโอบกอดร่างของคนที่แม้ตายก็ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้ ไปแก้แค้นให้ผู้หญิงของเขา

เพียงแต่น่าเสียดายที่สัตว์อสูรแข็งแกร่งตัวนั้นอยู่ในขอบเขตพระเจ้าระดับสูงแล้ว แต่เย่เทียนเฉินยังอยู่ในขอบเขตพระเจ้าระดับต้น ห่างกันเก้าขั้นเต็มๆ ต่อให้พลังการต่อสู้ก้าวกระโดดไปได้เพราะเขตแดนต้องห้าม แต่ก็เป็นระยะห่างที่มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้สัมผัสกับเขตแดนแบบนี้ จึงรู้สึกไม่คุ้นชิน และไม่อาจควบคุมได้ ถูกสัตว์อสูรฉีกกระชากจนกลายเป็นหมอกเลือด กระดูกป่นเป็นผง และในตอนนั้นเองเรื่องพิสดารก็เกิดขึ้น ประกายดาวสาดส่องลงมาบนร่างของเย่เทียนเฉิน ทำให้เขาได้มาเกิดในร่างของเย่เทียนเฉินบนโลกแห่งนี้ ในตอนนั้นเย่เทียนเฉินถูกกำจัดไปแล้วอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าจะเหลือไว้เพียงความสามารถพลังพิเศษในขอบเขตราชันเท่านั้น

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เย่เทียนเฉินก็ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้แล้ว มีพลังพิเศษในระดับราชันขั้นต้นสุด นี่ทำให้เขาปราบปลื้มใจเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นคงเป็นได้แค่เนื้อปลาให้ผู้อื่นกัดกิน ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนกินคน ต่างก็เป็นหลักการในการเอาชีวิตรอดที่เป็นธรรมชาติ ใครก็ไม่มีทางหนีพ้น ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนก็ตาม ดังนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงได้มีคนมากมายที่ต้องการเป็นอมตะ คนเหล่านั้นต่างก็ต้องการบ่มเพาะ ต้องการหลุดพ้นจากโลกทั้งสาม ไม่อยู่ในวัฏสงสารอีก และกลายเป็นสิ่งที่ตำนานเรียกขานว่า “เซียน”

เซียน ทุกคนมองไม่ผิด และไม่ได้ฟังผิด ในระยะเวลากว่าห้าพันปีของประเทศจีน คำว่าเซียนต่างก็ไม่เคยหายไป ต่อให้เป็นในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคที่คนมากมายถูกล้างสมองจนทำให้หลายคนไม่ยอมรับเรื่องของเทพเซียนปีศาจอีก แต่ก็มีหลายคนที่หลงใหล แม้ปากจะไม่พูดแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเรื่องของเทพเซียนปีศาจ บนโลกยังมีความลึกลับที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่มากมาย ตกลงแล้วยังมีเซียนอยู่หรือไม่? ตกลงแล้วมีคนที่เป็นอมตะหรือไม่? โลกมีการวิวัฒนาการมานับแสนล้านปี กระทั่งธรรมชาติหรือการบำเพ็ญตนก็เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง มีอะไรหลายๆ อย่างที่หายไป เกรงว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่าเซียนเป็นเรื่องโคมลอย ไม่อย่างนั้นเรื่องเล่าตำนานเทพนิยายต่างๆ ของประเทศจีนจะเป็นเรื่องโกหกหมดเลยหรือ? ผมคิดว่าใครก็ไม่กล้าสรุป

“คุณต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ก็เลยฝึกฝนและดูดซึมพลังพิเศษที่ไม่เหมือนกันเข้ามา แต่คุณเองก็รู้ว่า เกือบร้อยปีมานี้ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งมากมายหรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากมาย ล้วนไม่มีใครที่ทำสำเร็จเลยสักคนเดียว จุดจบของพวกเขาก็คือตัวระเบิดตายกลายเป็นหมอกเลือด หากว่าคุณทำแบบนี้ต่อไป คงหนีไม่พ้นจุดจบแบบนี้แน่!” จางอีเต๋อคิดถึงเรื่องที่เย่เทียนเฉินหล่อเลี้ยงพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปในร่างกาย รู้สึกว่ามันอันตรายมากจนอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนออกมา

“ผู้เฒ่า ผมก็ไม่ขอพูดเล่นกับคุณแล้ว ผมมีเรื่องที่ต้องการที่จะถามคุณ…” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินมองไปที่จางอีเต๋อแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง

“ถามมาเถอะ ผมแก่แล้ว นี่เป็นยุคของคนรุ่นใหม่อย่างพวกคุณ!” จางอีเต๋อพูดด้วยรอยยิ้ม

“เคล็ดวิชาโบราณของประเทศจีนสืบทอดกันมายาวนาน อย่างน้อยก็คงไม่ได้หยุดอยู่ที่ห้าพันปีแน่นอน มีสิ่งลึกลับอะไรที่สามารถทำให้คนจากดาวดวงหนึ่งเดินทางไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้บ้างไหมครับ?” เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อแล้วเอ่ยถาม

ที่เขาถามเรื่องแบบนี้ออกมา เป็นเพราะเย่เทียนเฉินคิดถึงช่วงยุคสิ้นโลก ตัวเขานั้นได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก ถึงแม้ว่าโลกนั้นทุกคนที่เขาคุ้มครองและคนที่เขารักจะตายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีศัตรูอยู่ และยังมีความลับอีกมากมายที่ยังรอให้เขาไปค้นหา อีกทั้งมีเส้นทางแห่งความเป็นอมตะให้เขาไขว่คว้า ก่อนหน้านี้เขาคิดเพียงว่าต้องการจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น แต่เขาก็ค่อยๆ พบว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะในเมื่อเขาสามารถมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลกได้ ก็เกรงว่าจะมีคนอื่นที่สามารถมาจากยุคสิ้นโลกได้เหมือนกับเขา เมื่อถึงตอนนั้น ชีวิตอันสงบสุขก็คงจะถูกทำลาย ด้วยความสามารถในขอบเขตจอมราชันของตนในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่อาจขวางผู้แข็งแกร่งที่มาจากช่วงยุคสิ้นโลกได้เลย

ที่ใช้วิธีการถามเป็นระหว่างดาวดวงหนึ่งกับดาวดวงหนึ่งนั้น เป็นเพราะเย่เทียนเฉินพบว่า ตนนั้นได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งช่วงยุคสิ้นโลกที่ว่านี้ไม่ใช่ดาวโลก แต่เป็นดาวสิ้นโลก นั่นเป็นดาวที่มีอารยธรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ระยะนี้เย่เทียนเฉินอ่านหนังสือมาไม่น้อย สามารถพูดได้ว่าสภาพในปัจจุบันของดาวสิ้นโลกเหมือนกับช่วงเทพนิยายของดาวโลก มีความแปลกประหลาดพิสดารมากมาย ไม่มีอะไรที่ไม่มี เป็นโลกที่เหมาะต่อการบ่มเพาะพลัง ไม่เหมือนดาวโลกที่ถูกทำลายจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติ ไม่สามารถใช้วิธีพิสดารอะไรทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้

ถ้ากลับไปช่วงยุคสิ้นโลก เขาจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทะลวงขอบเขตระดับพระเจ้าหรือกระทั่งทะลวงไปให้ถึงขอบเขตเทพราชัน ขี่เมฆท่องไปทั่วโลกเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนของตนที่ตายไป แก้แค้นให้คนรักที่ตายไป กลายเป็นเย่เทียนเฉินที่มีความแค้นอยู่ในใจ เพราะเขารู้ว่าจะต้องมีสักวันที่ผู้แข็งแกร่งในดาวสิ้นโลกค้นพบวิธีการที่จะมายังดาวโลก เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีสภาพอย่างไร ถ้าขอบเขตพลังของเขายังไม่อาจทะลวงไปได้ก็คงไม่สามารถขัดขวางปีศาจเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน คงทําได้เพียงเบิกตามองดูจุดจบของเพื่อนและครอบครัวในโลกนี้ของตนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตา

จางอีเต๋อเป็นชายชราที่ลึกลับคนหนึ่ง มีชีวิตอยู่มาถึงอายุร้อยปีแล้ว เรื่องที่รู้มากมายกว่าคนธรรมดามาก ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงคิดที่จะทำความเข้าใจจากคำพูดของเขา บางทีเคล็ดวิชาโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานจะมีวิธีที่ทำให้สามารถเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ เพราะในหมู่เคล็ดวิชาโบราณมีความลึกลับและวิชาลึกลับมากมาย กระทั่งมีสิ่งที่วิวัฒนาการจากเส้นทางการบ่มเพาะในสมัยก่อน มีเรื่องมากมายที่คนธรรมดาไม่รู้และไม่อาจเข้าใจได้ เย่เทียนเฉินมาจากช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกพิสดาร ดังนั้นในโลกใบนี้จึงไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เขาต้องสั่นสะท้านได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนของโลกนี้ ยังไม่ได้ถูกล้างสมอง ยังไม่ได้ถูกจองจำ ความคิดยังคงแตกต่างอยู่มาก

“ทำไมคุณถึงถามแบบนี้?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้หมายถึงอะไร

“ความเป็นอมตะ คุณพูดถึงเรื่องความเป็นอมตะกับผม ผมคิดว่าเป็นเพราะคุณเองก็อยากที่จะค้นหาด้วยกันกับผม ต้องการเข้าไปในโลกแบบนั้นเหมือนกัน ถ้างั้นคุณก็คงจะรู้ว่า ธรรมชาติที่พวกเราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติ ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังของ “เต๋า” หากต้องการที่จะทะลวงไปในขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้างั้นพวกเราก็ต้องไปยังสถานที่อื่นถึงจะสามารถทำได้” เย่เทียนเฉินพูดด้วยท่าทางสบายๆ

แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินไม่สามารถพูดเรื่องที่ตัวเองได้มาเกิดใหม่ในดาวโลก มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลกให้จางอีเต๋อฟังได้โดยเด็ดขาด ต่อให้ความคิดของจางอีเต๋อจะล้ำเลิศ ต่อให้ความคิดของเขายังไม่ถูกจำกัด แต่ก็เกรงว่าเรื่องของการเกิดใหม่คงจะรับได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินมีความรู้สึกหนึ่ง นั่นก็คือดาวโลกในตอนนี้ถึงแม้จะถูกทำลายไปแล้ว แต่ที่นี่ก็มีความลับอยู่อีกมากมาย จะต้องมีสักวันที่ดึงดูดการโจมตีของผู้แข็งแกร่ง ซึ่งผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ก็จะทำเรื่องลั่นฟ้าสะเทือนดินเพียงเพื่อที่จะตามหาความลับเหล่านั้น แต่คนในดาวโลกตอนนี้หากอยู่ต่อหน้าของผู้แข็งแกร่ง จะต้องเป็นได้แค่มดแมลง ทำได้เพียงถูกผู้อื่นฆ่า ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงต้องการแข็งแกร่งขึ้น ปกป้องโลกแห่งนี้เพื่อพ่อแม่และน้องสาวของตน

เพราะคำพูดของจางอีเต๋อทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ในทันใดว่า ตัวเขายังมีภาระอันยิ่งใหญ่อยู่กับตัว ยังมีเรื่องราวยิ่งใหญ่ที่ยังต้องกระทำให้สำเร็จ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ เขายังต้องตามหาวิธีการก่อน หากว่าไม่มีทางกลับไปดาวสิ้นโลกได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในสังคมเมืองเท่านั้น ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป

“พูดได้ว่ามี และพูดได้ว่าไม่มี” จางอีเต๋อชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดปากพูด

“หมายความว่ายังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“เพราะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีการพิสูจน์ความจริงได้ว่ามีคนสามารถเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล มีดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน และมีความลี้ลับอยู่ไม่น้อย ในดาวที่ไม่รู้จักเหล่านั้น จะมีใครที่กล้ารับประกันว่าจะไม่มีวิชาที่ทำให้เป็นอมตะ หรือไม่มีคนที่เป็นอมตะ? มีชีวิตอยู่จนอายุเช่นนี้แล้ว คุณคงมีเหตุผลที่จะรีบหาความอมตะ ด้วยความสามารถของคนในดาวโลกในยุคปัจจุบันนี้ ทำได้เพียงหาในดาวที่อยู่ใกล้ไม่กี่ดวง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจหาได้หมด ยังไม่มีความสามารถแบบนั้น เกรงว่าในตอนที่ดาวโลกล่มสลาย ก็คงยังไม่พบวิธีการที่จะเดินทางไปยังดาวอื่น!” จางอีเต๋อคิดไม่เหมือนกันจริงๆ เขาพูดออกมาพลางส่ายหัว

“ผมคิดว่ามี และวิธีนั้นก็อยู่ในเคล็ดวิชาโบราณด้วย คุณเคยได้ยินตำนานหรือเรื่องราวแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินเลยถามอย่างตรงไปตรงมา

………………..