บทที่ 225 ความลับที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

เย่เทียนเฉินต้องการใช้ชีวิตในโลกนี้ต่อไปดีๆ อยู่ด้วยกันกับครอบครัวอย่างเบิกบานใจและมีความสุข เนื่องจากในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัว ดังนั้นนี่จึงทำให้เขาหวงแหนมากขึ้น และทำให้เขาไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาทำร้าย มิฉะนั้นก็จะต้องเจอกับกำปั้นของเขา

เพียงแต่ตั้งแต่ที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกปัจจุบันแห่งนี้ ได้พบว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต่างก็มีการฆ่าฟัน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนถ้าความสามารถของคุณไม่แข็งแกร่งพอ ก็จะเป็นได้แค่เนื้อปลาที่ถูกผู้อื่นกัดกิน ดังนั้นเขาจึงต้องการแข็งแกร่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นเพราะคำพูดของจางอีเต๋อที่ทำให้เขารู้สึกว่า หากไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่เพียงจะไม่สามารถปกป้องครอบครัวของตัวเองได้ แต่ยังอาจจะต้องเผชิญกับวิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อน ธรรมชาติในดาวโลกถูกทำลายไปแล้ว สัมผัสถึงธรรมชาติและเต๋าได้ยาก ดังนั้นหากคิดที่จะทะลวงขอบเขตพลังก็เป็นเรื่องที่ยากมาก จึงทำได้เพียงคิดหาวิธีไปยังดาวอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ นี่จำเป็นจะต้องมีของสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้ท่องจักรวาลได้

ในขณะเดียวกัน เย่เทียนเฉินเป็นคนที่มาจากดาวสิ้นโลก ถึงแม้ก่อนที่เขาจะได้มาเกิดใหม่ มนุษย์ที่เขาปกป้องรวมไปถึงคนสนิทและเพื่อนของเขาต่างก็ตายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งที่ควรค่าพอที่จะให้เขาคิดถึง อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ต้องไปแก้แค้น และยังมีพวกสาระเลวที่ต้องการเหยียบย่ำชีวิตคนและต้องการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ เขาต้องการกลับไป ต้องการกลับไปเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ต้องการกลับไปก็ไปล้างแค้นให้คนของเขา มิฉะนั้นผู้ชายไม่ได้ความอย่างเขาก็ไม่ควรค่าที่จะได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้

ในเมื่อจางอีเต๋อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม้เย่เทียนเฉินจะรู้ว่าไม่มีทางกลับไปยังดาวสิ้นโลกได้ในทันที แต่ก็ยังคิดที่จะลองถามดู หากมีความเป็นไปได้และมีโอกาสแบบนี้ก็จะต้องกลับไปแน่ ไม่เพียงแต่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเพื่อแก้แค้นให้คนของเขา และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นบนดาวโลกต่อจากนี้

“เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ ยังไงซะของแบบนี้ก็ยังลึกลับยิ่งกว่าความลับระดับสูงสุดของประเทศ ต่อให้เป็นประเทศใดประเทศหนึ่งก็ยังไม่รู้ เพราะความแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นของเคล็ดวิชาโบราณสืบทอดกันมายาวนาน ถ้าพูดถึงประเทศจีน ก็มีเรื่องที่คนจำนวนมากไม่รู้ เช่นเรื่องของสวรรค์ เรื่องของคุนหลุน…” จางอีเต๋อส่ายหน้า พูดด้วยท่าทางครุ่นคิด

เดิมทีจางอีเต๋อก็เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อมากอยู่แล้ว เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่สามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้อย่างชำนาญ ในขณะเดียวกันเขาก็อยู่มาถึงร้อยปีแล้ว รู้ความลับมาไม่น้อย ดังนั้นเรื่องที่เย่เทียนเฉินพูดเกี่ยวกับของบางอย่างในเคล็ดวิชาโบราณที่จะสามารถทำให้คนคนหนึ่งเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นี่ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องน่าเหลือเชื่อที่เล่าขานสืบต่อกันมาห้าพันปีหรืออาจจะยาวนานกว่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เช่นคนทั้งหลายในประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงโด่งดัง พวกเขาไปอยู่ที่ไหน? กระทั่งหลุมฝังศพก็ยังหาไม่เจอ นี่ไม่น่าสงสัยหรือ?

ดังนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า คนเหล่านี้ที่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมในแต่ละด้าน จะจากโลกนี้ไปและเดินทางไปยังดาวที่มีอารยธรรมโบราณอีกดวงหนึ่ง เพื่อตามหาเส้นทางแห่งความอมตะต่อไปหรือไม่?

หากเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณหลายคนในปัจจุบันนี้หรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง ก็เกรงว่าจะไม่เข้าใจในบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อ แต่เป็นเพราะเย่เทียนเฉินเป็นคนที่มาจากดาวสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่แปลกประหลาดพิสดาร เป็นโลกที่เหมือนกับเทพนิยาย ไม่มีอะไรที่ไม่มี ส่วนจางอีเต๋อก็มีอายุถึงร้อยปีแล้ว มีกระทั่งวิธีการที่จะยืดอายุได้ ในเรื่องของวิธีการคิดใคร่ครวญเหล่านี้ ย่อมไม่ถูกเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันล้างสมอง

เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อ ท่าทางเขาเองก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้มีอยู่หรือไม่ วันหน้าถ้าหากว่ามีโอกาส จะต้องไปดูที่พรรควรยุทธโบราณสักหน่อย ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันของดาวโลก หากต้องการที่จะไปดาวดวงอื่นที่อยู่ห่างไกลนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แค่ไปดวงจันทร์และดาวอังคารก็ยากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกลับไปในดาวสิ้นโลกที่ห่างไกลนั้นเลย

“ถ้าหากหาหญ้าไขกระดูกมังกรพบ จะสามารถต่อชีวิตให้แม่ของเสี้ยวหยาได้ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วถามออกมา

“อย่างน้อยก็สามารถต่ออายุไปได้สิบปี แต่คุณก็อย่าลืมซะล่ะ สภาพแวดล้อมของโลกนี้ถูกทำลายไปนานแล้ว หลักการของธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไป สมุนไพรที่ดูน่าเหลือเชื่ออย่างหญ้าไขกระดูกมังกรก็คงจะหาไม่พบแล้ว!” จางอีเต๋อพูดแล้วส่ายหน้า

“งั้นเมื่อปีนั้นคุณหาหญ้าไขกระดูกมังกรเจอได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ดูเหมือนว่าคุณจะใส่ใจอาการป่วยของแม่ของเด็กสาวคนนั้นมาก จะจีบเหรอ…” ทันใดนั้นในสายตาของจางอีเต๋อมีประกายแปลกประหลาดเกิดขึ้น จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“เธอมีหน้าตาเหมือนเพื่อนของผมคนหนึ่ง แต่ยังไงผมก็ใส่ใจเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่าง การช่วยชีวิตคนได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ไม่ควรทำหรือไง?” เย่เทียนเฉินพูด

จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน เขามักจะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่คิดแบบนี้ก็เพราะบางครั้งเรื่องที่เย่เทียนเฉินพูดหรือคำถามที่เย่เทียนเฉินถาม แม้แต่จางอีเต๋อที่มีอายุร้อยปีก็ยังรู้สึกมึนงง และรู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่ไม่ควรจะเป็นเรื่องที่คนในอายุแบบเขาจะรู้ สิ่งเหล่านี้จะต้องผ่านการฝึกฝน ต้องผ่านการตกตะกอนของช่วงเวลา โดยเฉพาะความเข้าใจของเขาที่มีต่อระดับขอบเขตพลังแห่งการบ่มเพาะ การใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องเดินทางไปดาวโบราณอื่น เขายังเข้าใจเรื่องเหล่านี้มากกว่าตนเองเสียอีก นี่ทำให้จางอีเต๋อรู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก

“เอาล่ะ ผมจะบอกคุณ…เมื่อปีนั้นผมหามันเจอโดยบังเอิญที่วัดเส้าหลิน มันเป็นเรื่องประมาณสามสิบกว่าปีมาแล้ว ผมเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินจีนเพื่อตามหาสมุนไพรล้ำค่าแปลกใหม่ บริเวณภูเขาด้านหลังของวัดเส้าหลินซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้าม ผมได้พบกับชายหัวล้านคนหนึ่ง เขาเป็นพระรูปหนึ่งที่มีเคราขาวยาวถึงอก ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มานานเท่าไหร่แล้ว ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในสังคมเมืองที่แท้จริง ข้างกายของเขามีหญ้าไขกระดูกมังกรปลูกอยู่กอหนึ่ง ผมอยากได้หญ้าไขกระดูกมังกรมาก เพราะว่ามันสามารถนำมาหลอมเป็นยาที่ช่วยยืดอายุออกไปได้ แต่ผมก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เลย เพราะมีความกดดันที่ไร้รูปลักษณ์ทำให้ผมยากที่จะก้าวเข้าไปใกล้…” จางอีเต๋อดูคล้ายกับจะจมลงสู่ความทรงจำเมื่อปีนั้น ในคำพูดมีความรู้สึกประหลาดใจ และมีความหวาดกลัวและความเคารพเลื่อมใสอยู่เล็กน้อย

เมื่อได้ยินการอธิบายของจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตะลึง ต้องทราบว่าจางอีเต๋อในตอนนี้มีอายุถึงร้อยปีแล้ว และยังมีพลังการต่อสู้ที่รุนแรงดุเดือดดังมังกรแบบนี้อยู่ด้วย ถ้าหากว่าเป็นสามสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ เกรงว่าไม่ว่าจะเป็นพรรควรยุทธโบราณหรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็ยากที่เป็นคู่มือของจางอีเต๋อ ต่อให้มี จางอีเต๋อก็คงไม่รู้สึกหวาดกลัว หากต้องการทำให้ยอดฝีมือชั้นยอดคนหนึ่งเกิดความกลัวขึ้นมา อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน?

“สุดท้ายแล้วคุณได้สนทนากับพระอาจารย์ท่านนั้นหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินคิดว่าการที่จางอีเต๋อได้หญ้าไขกระดูกมังกรมา จะต้องเป็นเพราะการพูดคุยกับพระอาจารย์ลึกลับท่านนั้นอย่างแน่นอน

“เปล่า ในตอนที่ผมกำลังสิ้นหวังอยู่นั้น คิดว่าตัวเองคงไม่ได้หญ้าไขกระดูกมังกรแน่ๆ และเตรียมจะจากไป พระอาจารย์ท่านนั้นก็ลืมตาขึ้น ในดวงตาทั้งสองเปล่งประกายชีวิตชีวา ราวกลับว่าจะสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้ เขาพูดกับผมประโยคหนึ่งว่า อาตมาอยู่มานานเกินไปแล้ว วิชาแพทย์ของโยมสูงส่ง หวังว่าหญ้าไขกระดูกมังกรนี้เมื่ออยู่ในมือของโยมจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้!” จางอีเต๋อพูดด้วยท่าทางจริงจัง

“นี่…” เย่เทียนเฉินเองก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าบนดาวดวงนี้จะมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ด้วย ท่าทางจะมีความลับมากมายเหลือเกินที่ผู้คนไม่รู้ จะต้องไปค้นหาสักครั้ง

“ใช่แล้ว ผมจำได้ว่าในตอนที่พระอาจารย์ท่านนั้นนั่งมรณภาพยังพูดอีกประโยคหนึ่งด้วย…” ทันใดนั้นจางอีเต๋อราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในดวงตาเกิดความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ เรื่องมันผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้เขาถึงจะเข้าใจความหมายของพระอาจารย์ท่านนั้น นี่เป็นเพราะการได้วิธีคิดที่เหนือกว่าคนธรรมดาของเย่เทียนเฉินมากล่าวเตือน แม้ว่าจางอีเต๋อก็ร้ายกาจมาก แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่แบบฆราวาส จึงอดไม่ได้ที่จะถูกจำกัดด้วยความคิดของฆราวาส

“พระอาจารย์ท่านนั้นพูดว่าอะไร?” เย่เทียนเฉินรีบถาม

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อต่างก็จริงจังขึ้นมา เย่เทียนเฉินมีท่าทีจริงจังยังหาได้ยาก เพราะเขารู้ว่าความลับเหล่านี้เป็นความลับที่มีเพียงคนไม่กี่คนบนโลกที่จะรับรู้ ความลับเหล่านี้อยู่นอกเหนือความคิดของมนุษย์ไปแล้ว และอยู่นอกเหนือกฎหมายกฎเกณฑ์ต่างๆ ของประเทศ ถ้าพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือ เมื่ออยู่ต่อหน้าความลับเหล่านี้และเคล็ดวิชาโบราณที่มีความแข็งแกร่งมาก ทางประเทศก็ไม่นับเป็นตัวอะไรได้

“หลังจากที่ท่านพูดประโยคนั้นจบ ก็มองไปบนท้องฟ้า มองไปยังดาวจักรพรรดิที่อยู่ห่างไกล ถูกต้อง เป็นดาวจักรพรรดิ ดูเหมือนจะพูดว่า เสียดายที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายถูกทำลายไปแล้ว ยากที่จะซ่อมแซม ไม่อย่างนั้นอาตมาก็คงสามารถเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษได้ สามารถไปดูได้ว่าตกลงแล้วมีคนที่สามารถเป็นอมตะอยู่หรือไม่ มีเซียนอยู่หรือไม่…”

ค่ายกลเคลื่อนย้าย? การเดินทางไปดาวจักรพรรดิ ที่นั่นมีรอยเท้าของบรรพบุรุษอยู่ ที่นั่นอาจจะมีความลับของเคล็ดวิชาแห่งความอมตะและเซียนอยู่ นี่เป็นการดำรงอยู่ที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนต้องสั่นสะท้าน หากสิ่งที่พระอาจารย์ที่นั่งมรณภาพผู้นั้นพูดเป็นความจริง มีเพียงต้องซ่อมแซมค่ายกลเคลื่อนย้ายถึงจะสามารถไปยังดาวจักรพรรดิได้ ที่นั่นจะต้องมีของที่ทำให้ผู้คนต้องบ้าคลั่งอยู่แน่นอน

ดาวจักรพรรดิ สำหรับโลกนี้แล้วคงไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเกี่ยวกับจักรวาลและกาแล็กซีก็ยังไม่รู้ เพราะว่าดาวจักรพรรดินี้มีอยู่ในหนังสือโบราณเท่านั้น เกรงว่ามีการส่งต่อมาในหมู่พรรควรยุทธโบราณเท่านั้น เพราะสำนักต่างๆ ในพรรควรยุทธโบราณจำนวนมากต่างก็วิวัฒนาการมาจากสำนักฝึกตนในสมัยก่อน ย่อมมีความลับอยู่แน่นอน

จากคำพูดของจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินได้รู้เรื่องลึกลับที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก พรรควรยุทธโบราณที่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้มีการปรับตัวให้เข้ากับสังคมในยุคปัจจุบัน แต่พรรคเหล่านั้นไม่ใช่พรรควรยุทธโบราณที่แท้จริง บางทีอาจจะเป็นเพียงแค่ประตูหน้าของสำนักก็เท่านั้น ก็เหมือนกับวัดเส้าหลิน ง้อไบ๊ บู๊ตึ๊ง ทุกคนสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ตามใจ แต่สิ่งที่ได้เห็นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น ไม่สามารถเห็นอีกด้านหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างแท้จริง ของเหล่านั้นได้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้แล้ว ยอดฝีมือที่แท้จริง ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง คนธรรมดาจะสามารถพบเห็นได้หรือ? ไม่ใช่ตัวตนที่จะดำรงอยู่ในโลกแห่งเดียวอีกต่อไปแล้ว

“ดาวจักรพรรดิ…ใช้ชื่อแบบนี้ หรือว่าจะเป็น…” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยความตกตะลึง

………………………..