บทที่ 226 บ้านเดิมของแม่เกิดเรื่อง

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

“ในสมัยโบราณก็มีการบันทึกและการคาดเดาแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่บนโลกไม่มีใครที่เดินทางไปดาวจักรพรรดิและกลับมาได้ ไม่สามารถนำความจริงพวกนั้นกลับมาได้…สาเหตุที่สำคัญก็เป็นเพราะหลักการแห่งธรรมชาติของโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่สามารถทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่โบราณเล่าขานกันว่าสามารถบินท่องยุทธภพ ไม่งั้นอารยธรรมในปัจจุบันนี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกก็คงไม่ถูกล้างสมองและทำได้เพียงยอมรับการเกิดแก่เจ็บตายเหมือนมดแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น ถ้าต้องเผชิญหน้ากับหายนะของธรรมชาติก็ไร้ซึ่งพลัง…”

คำพูดของจางอีเต๋อนแฝงไปด้วยความหมายลึกล้ำ แต่กลับมีความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่ง โลกมีการวิวัฒนาการมานับแสนล้านปีกว่าจะมาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ตำนานเล่าขานเรื่องเทพเซียนปีศาจก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝันและเป็นความลับที่คลุมเครือที่ไม่มีใครล่วงรู้มานานแล้ว ไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ เพราะการสอนสั่งที่เป็นการล้างสมองในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้คนที่เติบโตขึ้นทุกยุคทุกสมัยทำได้เพียงยอมรับโชคชะตา ดิ้นรนต่อสู้เพื่อการใช้ชีวิต ไม่มีใครคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ไม่มีใครคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครคิดที่จะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือใครเพื่อชี้นำโลก

“งั้น พระอาจารย์ท่านนั้นนั่งมรณภาพไปแล้วจริงๆ เหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย เขาสามารถเป็นพระอรหันต์ได้แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่โลกนี้ไร้ซึ่งเส้นทางบ่มเพาะและมีจิตวิญญาณแห้งเหือด ก็ควรจะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนธรรมดา

ความจริงหลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองทะลุมาจากยุคสิ้นโลกมาโลกปัจจุบันที่อยู่ในดาวดวงเดียวกัน ตอนหลังจึงได้พบว่า นี่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุการณ์และกฎเกณฑ์ในช่วงยุคสิ้นโลกที่เขาเคยได้เห็นในหลายล้านปีก่อนไม่ได้เกิดขึ้นในโลกแห่งนี้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าเขาทะลุมาจากดาวสิ้นโลกมาเกิดใหม่ในต่างโลก เป็นการกระโดดข้ามดวงดาว ไม่ใช่กระโดดข้ามเวลา

แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลก ในตอนเริ่มต้นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าโลกแห่งนี้ไม่มีเส้นทางการบ่มเพาะ จนกระทั่งขอบเขตพลังของเขาทะลวงมาถึงระดับจอมราชัน และทำได้เพียงรีดเร้นความสามารถในขอบเขตจอมราชันระดับสูงออกมาได้เท่านั้น ไม่สามารถทะลวงไปขอบเขตต่อไปได้อีก เขาถึงจะรู้ว่าดาวดวงนี้ไม่มีเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ เพราะไม่อาจสัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ และไม่อาจสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณเลยแม้แต่ครึ่งส่วน หากต้องการที่จะทะลวงขอบเขต และได้รับพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก

“ไม่รู้ เพราะตอนนั้นพระอาจารย์ท่านนั้นพูดจบก็หายตัวไปเลย ผมอึ้งอยู่นานถึงจะได้สติกลับมา และขุดหญ้าไขกระดูกมังกรออกมา นำกลับมาที่บ้าน หลังจากที่ผ่านการหลอมมาเกือบสิบปี ถึงจะเหลอมออกมาเป็นยาไขกระดูกมังกรได้!” จางอีเต๋อคิดครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาด้วยท่าทางขมวดคิ้ว

“ท่าทางจะต้องไปวัดเส้าหลินดูสักครั้ง ไปหาพระอาจารย์ท่านนั้นสักหน่อย ไปหาชีพจรมังกร…” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ

ในระหว่างที่กินข้าวเย่เทียนเฉินได้รู้เรื่องความลับไม่น้อยจากจางอีเต๋อ เพียงแต่จางอีเต๋อก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ผู้แข็งแกร่งที่มีชีวิตอยู่จนอายุเท่าเขา เห็นสิ่งต่างๆ มากมายจนเบื่อแล้ว บางทีในตอนยังหนุ่ม ถ้าได้รู้เรื่องเหล่านี้คงคิดที่จะไปลองดูสักหน่อยว่าจะสามารถหาค่ายกลเคลื่อนย้ายได้หรือไม่ จะไปดูดาวจักรพรรดิที่สามารถบ่มเพาะได้สักหน่อย เดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษ ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่มองอย่างเรียบเฉย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเหล่านี้หากพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ คิดซะว่าเล่านิทานให้เย่เทียนเฉินฟังก็แล้วกัน

สิ่งที่ทำให้จางอีเต๋อคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คนของโลกนี้ แต่เป็นคนที่มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก หากพูดถึงเรื่องเส้นทางบ่มเพาะ เย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ย่อมต้องร้ายกาจกว่าจางอีเต๋อมาก และเข้าใจเรื่องของค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาคิดว่ามีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้เขากลับไปยังดาวสิ้นโลกได้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นถึงจะสามารถไปยังดาวจักรพรรดิได้

เมื่อเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว ในตอนนี้เย่เทียนเฉินได้รับข้อความจากหลิงอวี่สวิ๋น แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะเขารู้สถานการณ์ของหลิงอวี่สวิ๋นเป็นอย่างดี และรู้ความคิดของหลิงอวี่สวิ๋น หลิงอวี่สวิ๋นต้องการให้เขาระมัดระวังตัว นั่นเป็นเพราะหลิงเยว่พ่อของเธอไม่ต้องการให้เย่เทียนเฉินไปมาหาสู่กับหลานสาวของเขา ถ้าหากว่าจำเป็นเขาก็จะส่งคนมาฆ่าเย่เทียนเฉิน

เขาจดจำเรื่องที่จางอีเต๋อพูดกับตนเองเอาไว้ในใจ เย่เทียนเฉินไม่รีบร้อนอะไร เขาต้องการกลับไปที่ดาวสิ้นโลก ต้องการไปดูดาวจักรพรรดิที่ร่ำลือ ต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และต้องการกลับไปล้างแค้นให้คนของเขาที่ตายไป แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะว่าเมื่อได้มาเกิดในโลกแห่งนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็มีเรื่องที่ต้องทำในโลกแห่งนี้ มีภารกิจและความรับผิดชอบของเขา หากตอนนี้เย่เทียนเฉินไปตามหาวิธีที่จะออกไปจากโลกนี้ เมื่อถึงตอนนั้นกลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่เขาไปหาเรื่องเอาไว้ จะต้องไม่ยอมปล่อยตระกูลเย่ของเขาไปแน่ จะไม่ยอมปล่อยพ่อแม่ของเขาไป และหากจะพูดเรื่องการฆ่าฟัน หากเขาต้องการฆ่ากลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ เหล่านี้ไปทั้งหมด เย่เทียนเฉินก็ยังไม่มีความสามารถขนาดนั้น จะอย่างไรในโลกใบนี้ก็ยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่

ดังนั้นเรื่องราวจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป แก้ปัญหาทางด้านนี้ก่อน ปกป้องตระกูลเย่ของตัวเอง ให้พ่อแม่และน้องสาวของตนไม่มีเรื่องอะไร ต่อให้ถึงวันที่เขาต้องไปจากที่นี่ก็จะต้องไม่มีเรื่อง เช่นนั้นเย่เทียนเฉินถึงจะวางใจได้

ในตอนที่กลับมาถึงบ้าน เย่เทียนเฉินพบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว กำลังร้องไห้อยู่ในห้องโถง จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามอย่างร้อนใจ “แม่ครับ แม่เป็นอะไร?”

“มะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…” หลัวเยี่ยนกำลังเสียใจกับเรื่องที่เธอกำลังคิด กระทั่งลูกชายเปิดประตูกลับมาก็ไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉินถึงได้รู้ว่าลูกชายกลับมาแล้ว เธอรีบเช็ดน้ำตาแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ต่อให้นี่จะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา แต่เขาก็ให้ความสำคัญยิ่งกว่าแม่แท้ๆ เพราะสำหรับเด็กกำพร้าแล้ว สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับความรักและความอบอุ่นของครอบครัว จินตนาการได้เลยว่าจะเห็นครอบครัวสำคัญขนาดไหน มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่ใคร่ครวญให้มาก คงจะไปตามหาความลับในเรื่องของค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้วไปจากที่นี่แล้ว

“แม่ครับ มีเรื่องอะไรก็พูดกับผมเถอะ แม่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน และยังมีท่าทางตลกของเขาอีก หลัวเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะทั้งน้ำตา พูดออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “ย่าของแม่ป่วย ท่านเป็นยายทวดของลูก อาการสาหัสมาก แม่อยากจะไปเยี่ยม…”

“คุณยายทวดป่วยเหรอครับ? งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะครับ ตอนนี้เราไปบ้านเดิมของแม่กันเถอะ!” เย่เทียนเฉินรีบเอ่ยปากพูด

ไม่ว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนหรือว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินในตอนนี้ ต่างก็ไม่เคยได้ยินหลัวเยี่ยนพูดถึงตระกูลเดิมมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน ตอนนี้เมื่อคิดดูก็รู้สึกว่าแปลกอยู่บ้างจริงๆ ทำไมแม่ถึงไม่เคยไปมาหาสู่กับคนตระกูลเดิมมาก่อน? แต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้วดูเหมือนว่าจะกังวลใจเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าไม่ว่าจะอย่างไร ย่าของหลัวเยี่ยนก็เป็นยายทวดของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้คุณยายทวดป่วยหนัก แม่เสียใจจนน้ำตาไหล ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องกลับไปเยี่ยม มิฉะนั้นเกรงว่าคงจะเป็นความเสียใจของหลัวเยี่ยนไปชั่วชีวิต

“แม่ครับ พวกเราขับรถไปกันตอนนี้เลยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดว่าจะขับรถไปเลย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปทำงานที่เครือไห่หวาง แต่ฉีหรูเสวี่ยและพี่ชายของเธอก็เป็นคนมีความสามารถในการควบคุมงาน ดังนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินกำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่ว ตระกูลฉีก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขา กระทั่งผู้อาวุโสแต่กูฉีก็ยังพูดว่า ถ้าหากฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินมีวาสนาต่อกันจริงๆ ไม่สู้ให้พวกเขาอยู่ด้วยกันไปเลย จินตนาการได้เลยว่าเปลี่ยนมุมมองไปมากขนาดไหน

“เทียนเฉิน อย่ารีบร้อนไปเลย นั่งลงก่อน แม่จะพูดเรื่องเกี่ยวกับทางฝั่งของคุณยายทวดของลูกให้ฟัง…” หลัวเยี่ยนเรียกให้เย่เทียนเฉินหยุดลง คิดจะพูดเรื่องตระกูลเดิมของเธอให้ลูกชายฟัง จะอย่างไรลูกชายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

เย่เทียนเฉินนั่งลงข้างแม่ เขามองออกว่าในตอนที่หลัวเยี่ยนพูดถึงเรื่องตระกูลเดิม ในดวงตามีความเจ็บปวดเจืออยู่ และมีความผิดหวังอยู่ด้วย

“ลูก ตอนนั้นแม่คบกับพ่อของลูกโดยที่ทางตระกูลไม่อนุญาต มันเป็นเรื่องยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นตระกูลเย่ยังอยู่ในซอยเล็กๆ มีเพียงคุณปู่เย่หย่วนซานที่เป็นข้าราชการระดับเล็กๆ เพียงคนเดียว ส่วนตระกูลหลัวก็เป็นตระกูลใหญ่ลำดับต้นๆ ในเมืองหลวง ดังนั้นแม่กับพ่อของลูกอยู่ด้วยกันจึงทำให้เกิดการต่อต้านจากคนในตระกูลหลัว เพื่อที่จะได้แต่งงานกับพ่อของลูก แม่ถึงไม่สนใจเสียงคัดค้านของคนในตระกูล สุดท้ายก็มีปากเสียงรุนแรงกับคุณปู่ของลูก และตัดความสัมพันธ์กันไป ไม่นับเป็นคนของตระกูลหลัวอีก และต้องย้ายออกจากตระกูล ต่อมาคุณพ่อก็พยายทวดามทุกทางให้แม่กลับไป คุณลุงคุณอาเหล่านั้นของลูกก็คิดทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกดดันตระกูลเย่ ใส่ร้ายพ่อของลูก เพราะว่าในตอนนั้นพวกเขาต้องการให้แม่แต่งงานกับคุณชายใหญ่ของอีกตระกูลหนึ่ง…” หลัวเยี่ยนย้อนนึกไปถึงเรื่องเมื่อวันวาน ดูเหมือนจะเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องทะเลาะกับพ่อของตนในปีนั้นอีกครั้ง พูดออกมาด้วยความเสียใจอย่างมาก

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง…แม่กลัวว่าถ้ากลับตระกูลหลัวไป พี่น้องของแม่จะไม่ยอมให้แม่กลับและไม่ให้แม่พบกับคุณยายทวดเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเข้าใจได้โดยพลัน

“ความจริงแล้วแม่ไม่ได้กลัวว่าจะกลับไปถูกพวกเขาทำให้อับอาย แต่เมื่อคิดว่าไม่มีทางได้เห็นวาระสุดท้ายของยายทวดลูกก็รู้สึกเสียใจ ตอนเด็กๆ คุณยายทวดดีกับแม่มาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตระกูลยากจนหรือว่าร่ำรวยก็รักแม่เหมือนเดิม และยังสนับสนุนแม่ให้ไล่ตามความสุขของตัวเอง การเป็นผู้หญิงคนหนึ่งถ้าไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักที่สุดและใช้ชีวิตอยู่กับเขา คงจะไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต…แม่ยังจำได้ว่าตอนนั้น แม่ออกจากตระกูลหลัวมา คุณยายทวดแอบยืนร้องไห้อยู่ตรงประตู ท่านบอกกับแม่ว่า ในวันเกิดของท่านให้โทรกลับไปสักครั้ง ท่านต้องการได้ยินเสียงของหลานสาวแค่นี้ก็พอใจแล้ว…” หลัวเยี่ยนพูดถึงตรงนี้ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อคิดถึงเมื่อปีนั้นที่ได้อยู่ด้วยกันกับเย่หง ทุกคนในตระกูลไม่พอใจเธอมาก รู้สึกอับอายกับเธอและเย่หง มีเพียงคุณย่าคนเดียวที่สนับสนุนเธอ ช่วยเธอไขว่คว้าโอกาสที่จะได้อยู่กับเย่หง

“ไปกันเถอะครับ พวกเราไปตระกูลหลัวกัน ผมยังไม่เคยพบคุณยายทวดเลย ผมคิดว่าจะต้องเป็นผู้เฒ่าที่เมตตาใจดีคนหนึ่งแน่นอน!” เย่เทียนเฉินยืนขึ้นพูดกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม

“เทียนเฉิน ลูก…”

“วางใจเถอะ ผมไม่ทำตัวเหลวไหลหรอก พวกเราไปที่ตระกูลหลัวในครั้งนี้ก็เพื่อไปเยี่ยมคุณยายทวดเท่านั้น ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง เชื่อว่าคนตระกูลหลัวจะไม่ขวางพวกเราแน่!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาพลางหัวเราะเบิกบาน

“อืม!” หลัวเยี่ยนเห็นลูกชายเชื่อมั่นขนาดนั้น จึงรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา ตัวเองจะไปเจอคุณยายทวด ใครก็ไม่มีสิทธิ์ขวาง เธอไม่ได้ไปแย่งชิงอะไรกับตระกูลหลัว ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้!

………………..