ภาคที่ 2 บทที่ 259 รวมตัว

มู่หนานจือ

เป็นญาติเหมือนกัน ในความเคารพที่หลี่เชียนมีต่อเจียงลวี่แฝงความผ่อนคลาย เอาไว้เล็กน้อย แต่กับหวังจ้านกลับแอบแฝงความจริงจังเอาไว้อย่างเบาบาง เหมือนหวังจ้านเป็นคนที่โดดเด่น จนต้องให้เขาสนใจเป็นพิเศษ ทว่าในมุมมองของเฉาเซวียน หวังจ้านสุขุม ซื่อสัตย์ และจริงใจ เข้ากับคนง่ายมากกว่าเจียงลวี่ แล้วทำไมท่าทีที่ปฏิบัติต่อทั้งสองคนกลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง…

น่าสนใจ น่าสนใจ!

เขายิ้มพลางเดินไปหา

หลี่เชียนกำลังคุยเรื่องการรับตัวเจ้าสาวกับหวังจ้าน “…ข้าไม่ได้หวังว่าแม่ทัพกับทหารของฐานที่มั่นเหล่านั้นจะขัดขวางใครไว้ได้ พวกเขาช่วยข่มขู่พวกคนที่มีเจตนาไม่ดีได้ก็พอแล้ว ส่วนพวกคนที่กล้าลงมือปล้นนั้น ก็ต้องอาศัยเหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างกายข้าแล้ว พวกเขาก็เป็นคนที่ผ่านความเป็นความตายมาเช่นกัน เมื่อลงสนามรบ จะไม่มีใครเป็นคนขี้ขลาด เจ้าวางใจเถอะ!”

หวังจ้านพยักหน้า และก้มหน้าดื่มชาอึกหนึ่ง ทว่าความโศกเศร้ากลับฉายวาบผ่านไปในดวงตาอย่างเบาบาง

เจียงลวี่แอบถอนหายใจตลอด

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งที่เขาสามารถช่วยหวังจ้านได้ก็คือหลังจากนี้ทำให้หวังจ้านเดินในเส้นทางของการเป็นขุนนางอย่างราบรื่นหน่อย

เขาเปลี่ยนเรื่อง โดยถามเฉาเซวียนว่า “พิธีอภิเษกสมรสของฝ่าบาทเตรียมการไปถึงไหนแล้ว? สำนักหอดูดาวหลวงกำหนดวันหรือยัง?” แล้วก็เอ่ยอีกว่า “ตระกูลหานน่าจะคิดไม่ถึงว่าท่านหญิงชิงอี๋จะแต่งงานกับฝ่าบาท หลายวันนี้คนทั้งตระกูลก็คงจะยุ่งอยู่กับการเตรียมสินเดิมให้ท่านหญิงกระมัง! หลังจากพวกเรากลับไปก็ต้องเตรียมของขวัญจำนวนมากส่งไปที่ตระกูลหานด้วยถึงจะดี! เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะกลับไปทันหรือไม่”

ลูกชายสองคนของท่านหญิงตงหยางพวกเขาต่างก็รู้จัก เพียงแต่ตอนนั้นตระกูลหานมีอำนาจน้อย จึงยังไม่มีสิทธิพูดคุยกับพวกเจียงลวี่อย่างสนิทสนม พอพวกเขากลับไป สถานการณ์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตระกูลหานเป็นญาติทางฝ่ายฮองเฮา ก็จะกลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในเมืองหลวง แม้แต่เจียงลวี่ก็ไม่อาจเห็นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่สนใจได้แล้วเช่นกัน

หลี่เชียนได้ยินก็รู้สึกไม่สบายใจมาก

เจียงลวี่ไม่เหมือนกับเจียงเจิ้นหยวน

เจียงเจิ้นหยวนมีชื่อเสียงเรื่องสามารถปรับตัวได้ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะดีหรือแย่

ทว่าเจียงลวี่ยังอายุน้อย เกียรติยศที่สืบทอดมาอย่างยาวนานของตระกูลเจียงและความทะนงตนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ล้วนไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของเขาอย่างเบาบาง ทำให้เขาไม่ยอมแพ้ในสถานการณ์ที่ลำบาก แต่ก็ทำให้เขาไม่ยอมก้มศีรษะต่อหน้าความสกปรกเช่นกัน…คนแบบนี้หากเป็นบัณฑิตที่สูงส่งนั้นดี ทว่าหากเป็นขุนนาง ก็ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้อย่างง่ายดาย แต่หากเขาเป็นพี่น้องของไทเฮาหรือฮองเฮาก็ดี เพียงแค่ก้มศีรษะให้ฮ่องเต้ คนใต้หล้าต่างก็ก้มศีรษะให้ฮ่องเต้ เขาก็จะรู้สึกสบายใจหน่อยเช่นกัน ทว่าต่อไปอย่างมากที่สุดเขาก็เป็นเพียงเจิ้นกั๋วกง ไม่เพียงแต่ต้องก้มศีรษะให้ฮ่องเต้ ทว่ายังต้องก้มศีรษะให้พวกราชเลขาธิการจากสำนักราชเลขาธิการ และก้มศีรษะให้กระทั่งญาติทางฝ่ายฮองเฮาที่กดทับอยู่บนศีรษะเขาเพราะความสัมพันธ์ของญาติที่เกี่ยวดองกันของผู้หญิงอย่างตระกูลหาน

หลี่เชียนไม่รู้ว่าเจียงลวี่จะอดทนต่อไปได้ตลอดหรือไม่

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขา…

เขาอยากเตือนเจียงลวี่ ทว่าไม่รู้จะเตือนอย่างไรดี

ชินเอินป๋อบ้านบิดามารดาของไทฮองไทเฮา เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นที่สงสัย ถึงกับไม่กล้าให้หวังจ้านแต่งงานกับเจียงเซี่ยน จึงตกต่ำไปตั้งนานแล้ว ส่วนเฉาไทเฮาก็ถูกฮ่องเต้ห้ามเพราะมีอำนาจมากเกินไป จนเฉาเซวียนก็ตกที่นั่งลำบากมากเช่นกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้จะต้องเลื่อนตำแหน่งให้ตระกูลหานมาจัดการตระกูลเฉาอย่างแน่นอน

เขาคิดถึงตรงนี้ หางตาก็จับจ้องไปที่เติ้งเฉิงลู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าน่าขำเล็กน้อย

คนที่ยืนอยู่ในโถงบุปผานี้ นอกจากเติ้งเฉิงลู่แล้ว ก็เหมือนจะเป็นคนที่สิ้นหวังกันทั้งนั้น

หลี่เชียนก็หัวเราะออกมา

ทุกคนอดที่จะเงยหน้ามองเขาไม่ได้

ประกายตาของเขาสดใส และไม่หลบเลี่ยง ทว่าหัวเราะอย่างร่าเริงและเอ่ยว่า “บางบ้านหัวเราะอย่างมีความสุขบางบ้านร้องไห้ เดิมทีนี่เป็นสัจธรรมที่ถูกต้องที่สุดและความคิดเห็นที่ลึกซึ้งและเฉียบแหลมที่สุด แต่ก็มีคำพูดที่กล่าวไว้ดีเช่นกันว่า โชคชะตาของคนมักจะอยู่ในความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะรุ่งเรืองหรือตกต่ำไม่มีกฎที่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าความสุขในวันนี้จะเป็นความทุกข์ในวันพรุ่งนี้หรือไม่ และความทุกข์ในวันนี้จะเป็นความสุขในวันพรุ่งนี้หรือไม่ ขอเพียงพวกเราไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีทางออกสักทาง เพียงแต่จะราบรื่นหรือวกวนเท่านั้นเอง”

เติ้งเฉิงลู่ได้ยินแล้วก็เดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปากซ้ำกันอยู่สองครั้ง แล้วคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันใด จึงเอ่ยว่า “แม่ทัพหลี่พูดได้ดี เวลาที่คนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เข้าใกล้ความสิ้นหวัง สวรรค์มักจะให้ทางออกเสมอ มีอะไรให้กังวลกัน”

คนอื่นต่างก็เบ้ปากใส่สองคนนี้ เฉาเซวียนเอ่ยว่า “ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกว่าพวกเราต่างก็อยู่ในทางตัน?”

เติ้งเฉิงลู่หัวเราะ สีหน้าฉายแววละอายใจ

เจียงลวี่หัวเราะออกมาเสียงดัง

หวังจ้านกับจินเซียวก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

บรรยากาศในห้องดีขึ้นมาชั่วขณะ

หลี่เชียนยิ้มอย่างเปิดเผยและเอ่ยว่า “แต่ข้าคิดว่าคำพูดของเติ้งเฉิงลู่มีเหตุผล ถึงแม้ฝ่าบาทอาจจะเลื่อนตำแหน่งให้ตระกูลหาน แต่ก็ยังมีอ๋องเจี่ยนอยู่ไม่ใช่หรือ? ข้าคิดว่า…หากฝ่าบาทรู้ว่าอ๋องเจี่ยนเก่งกาจมากเพียงใด และกรมวังสามารถควบคุมอะไรได้บ้างกันแน่ ฝ่าบาทอาจจะเกรงกลัวอ๋องเจี่ยนกับตระกูลหานมากกว่าก็ได้!”

พวกเจียงลวี่ต่างก็อึ้งไป

เข้าใจเจตนาของหลี่เชียนทันที

สายตาที่เจียงลวี่มองหลี่เชียนเผยความชื่นชมออกมาเป็นครั้งแรกโดยไม่รู้ตัว

การตอบสนองที่เร็วแบบนี้ และการรับมือที่เร็วมากแบบนี้ หลี่เชียนมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นลูกเขยของตระกูลเจียง

ทว่าหวังจ้านกลับรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวมาก

ที่สุดท้ายเป่าหนิงยอมตามหลี่เชียนไป ก็เป็นเพราะหลี่เชียนไม่เอ่ยว่ายอมแพ้ต่อหน้าความลำบากตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเจอเรื่องที่ลำบากแค่ไหนก็จะคิดหาทางแก้ไขอย่างมีชีวิตชีวาใช่หรือไม่?

สายตาของเขามืดมนมากขึ้น

แต่จินเซียวกลับรู้สึกดีใจ

รู้สึกดีใจที่ตนเองกับหลี่เชียนต่างเป็นขุนนางท้องถิ่น จึงได้กลายเป็นพันธมิตรกัน และทำสิ่งต่างๆ ด้วยกัน

สายตาที่เขามองหลี่เชียนก็มีความร้อนเล็กน้อย

บางที…ข้อเสนอของหลี่เชียนอาจจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับจินย่วน…

เขาชวนเติ้งเฉิงลู่เอง “พวกเจ้าอยู่ที่นี่หลายวัน พรุ่งนี้ข้าจะเลี้ยงอาหารที่หอแรก ทุกคนก็อาศัยโอกาสที่จงเฉวียนแต่งงาน กินอาหารดีๆ หลายๆ มื้อ เป็นอย่างไร?”

เติ้งเฉิงลู่ยิ้มพลางมองเฉาเซวียน

เฉาเซวียนอดที่จะถอนหายใจในใจไม่ได้

ยี่สิบกว่าวันก่อนหน้านี้ พวกเขาไปเที่ยวเล่นที่หมู่บ้านที่ต้าซิงตามคำเชิญของจินเซียว ตอนนั้นพวกเขามีสักกี่คนที่รู้จักหลี่เชียนกัน? ทว่าเพียงชั่วพริบตาจ้าวเซี่ยวกลับฝูเจี้ยนแล้ว หลี่เชียนกลับยืนอยู่กับพวกเขาแทนที่จ้าวเซี่ยว…แล้วก็ทำให้พวกเขายอมรับเขาได้ในเวลาอันสั้น

“ตกลง!” เฉาเซวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่มีปัญหา” เขาพูดไปก็มองไปที่หลี่เชียนอีกครั้ง ครั้งนี้ในสายตาของเขาไม่มีความสนิทสนมอย่างที่ปฏิบัติกับผู้ใต้บังคับบัญชาอีกแล้ว ทว่ามีแต่การให้ความสำคัญกับความระมัดระวังและความรอบคอบของคู่แข่ง “พูดถึง…ข้ากับอาจ้านต่างก็ควรขอบคุณจงเฉวียนที่เตือนพวกเรา ถึงแม้เวลานี้ตระกูลหวังกับตระกูลเฉาจะไม่มีอำนาจอะไร แต่มีอ๋องเจี่ยนอยู่ ฝ่าบาทก็อาจจะไม่อยากแตะต้องพวกเราก็ได้ ข้าว่า…วันมะรืนก็ให้ข้ากับอาจ้านแยกกันเป็นเจ้าภาพแล้วกัน เชิญพวกเจ้าไปกินอาหารรสเลิศของต้าถง แต่อาลวี่เป็นเจ้าถิ่น ไปกินที่ไหน กินอะไร เจ้าต้องตัดสินใจให้พวกเรา”

เขาตัดสินใจผูกติดกับตระกูลหวัง แบบนี้ถึงอาจจะต่อต้านตระกูลหานได้

หลี่เชียนแอบโล่งอก

มีแต่ต้องผูกมัดตระกูลเฉากับตระกูลหวังไว้ด้วยกันเท่านั้น ถึงจะทำให้ตระกูลเจียงมีที่พักชั่วคราว และทำให้จ้าวอี้มีงานมากจนรับมือไม่ทัน ยุ่งจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี และไม่ว่างมายุ่งกับตระกูลหลี่และตระกูลจิน เขาถึงจะสามารถก่อความวุ่นวายในนั้นได้ กว่าฮ่องเต้กับพวกคนของสำนักราชเลขาธิการจะรู้ตัว เขาก็ประสบความสำเร็จและไม่ถูกราชสำนักใช้อำนาจบีบบังคับให้ทำตามแล้ว

เรื่องการแต่งงานของจินย่วนกับเติ้งเฉิงลู่ กลายเป็นเรื่องที่เร่งด่วนอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

สายตาของหลี่เชียนเย็นชาเล็กน้อย หน้าตาที่หล่อเหลาของเขาคมกริบดุจคมมีด

จินเซียวที่ยืนอยู่หลังเขามาตลอดอึ้งไปเล็กน้อย

หลี่เชียนพูดคุยและหัวเราะอย่างจริงใจ สายตาอ่อนโยนและถ่อมตนแล้ว ยังมีท่าทางอย่างเมื่อครู่สักนิดที่ไหนกัน

จินเซียวหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างไม่สามารถอธิบายได้ และรู้สึกกลัวหลี่เชียนขึ้นมา

จนตอนที่หลี่เชียนยิ้มและลากเติ้งเฉิงลู่ไปคุยกันข้างๆ เขาเห็นเติ้งเฉิงลู่จู่ๆ ก็หน้าแดงก่ำทั้งหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะส่งสัญญาณมือให้จินเฉิงน้องชายของตนเอง สองพี่น้องฉวยโอกาสที่พวกเฉาเซวียนไปนั่งที่ห้องพักผ่อน เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าคิดว่าให้อาย่วนแต่งงานกับซื่อจื่ออันลู่โหว จะไว้ใจได้หรือไม่?”

“อาย่วนน่าจะตกลงกระมัง?” แม้จินเฉิงจะไม่กล้ายืนยัน แต่กลับมองโลกในแง่ดีมาก โดยเอ่ยว่า “ซื่อจื่ออันลู่โหวดูสุภาพและมีมารยาทมาก และว่ากันว่าเขายังเป็นซิ่วไฉด้วย บิดามารดารักใคร่กัน แถมน้องสาวเพียงคนเดียวยังเป็นชายาซื่อจื่อจวนจิ้นอันโหว…”

————————————