ภาคที่ 2 บทที่ 260 ถูกใจ

มู่หนานจือ

จินเซียวรู้สึกสบายใจเล็กน้อย

ทว่าใบหน้าของเติ้งเฉิงลู่กลับแดงจนเหมือนเมฆหลากสียามพระอาทิตย์ขึ้น

เขาเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “เรื่องแบบนี้…ควรถามพ่อแม่ของข้ามากกว่า…”

ยิ่งกว่านั้นเขาไม่อยากแต่งงานเร็วขนาดนี้ด้วยซ้ำ

เขาชอบเจียงเซี่ยนมากมาโดยตลอด

ต่อให้เวลานี้เจียงเซี่ยนจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังชอบนางมากอยู่ดี

ต่อไปเขาก็ต้องแต่งงานเช่นกันอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่เวลานี้

แบบนี้ไม่ยุติธรรมแล้วก็ไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่จะเป็นภรรยาของเขาในอนาคต

และเขาคิดว่าหลี่เชียนไม่ได้หวังดีที่จะเป็นพ่อสื่อให้เขา

หลี่เชียนต้องรู้เรื่องที่เขาชอบเจียงเซี่ยนอย่างแน่นอน ดังนั้นถึงได้เลือกเขาและเป็นพ่อสื่อให้คุณหนูจิน

เขาไม่ใช่ผู้ชายเหลาะแหละและทำอะไรตามใจตนเองที่ไม่รู้มาตรฐานคุณธรรมและพฤติกรรมในสังคมเสียหน่อย ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงที่ชอบมีสามีแล้วยังจะไปทำอะไรลับๆ ล่อๆ และทำให้ผู้หญิงที่ชอบลำบากใจ จนสามีภรรยาแตกหักกันเพราะเขา…ทว่าหากเขาไม่ตกลง หลี่เชียนจะคิดว่าเขายังคิดถึงเจียงเซี่ยนอยู่หรือไม่!

เติ้งเฉิงลู่ลำบากใจมาก และรู้สึกว่าไม่ว่าตนเองจะทำอย่างไรก็ลำบากทั้งนั้น

หลี่เชียนได้ยินแล้วก็รู้สึกกระวนกระวายใจ

เขาไม่กลัวจ้าวเซี่ยว

เพราะจ้าวเซี่ยวจะมาแย่งอย่างเปิดเผย

เขากลัวคนอย่างเติ้งเฉิงลู่ แล้วก็คนอย่างหวังจ้าน

ชอบอย่างเงียบๆ ทุ่มเทอย่างเงียบๆ ไม่เคยโอ้อวดสิ่งที่ตนเองทำแม้แต่อย่างเดียว ทว่ากลับสามารถทำให้คนละอายใจ รู้สึกผิด และซาบซึ้งได้ตอนที่มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

แน่นอนว่าคนแบบนี้ต้องทำให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัวเร็วหน่อย

แต่ปฏิกิริยาของเติ้งเฉิงลู่ก็ถือว่าเป็นไปตามที่เขาคาดไว้เช่นกัน

แม้เขาจะตั้งใจจับคู่ให้ตระกูลเติ้งกับตระกูลจินเกี่ยวดองกัน ทว่าเติ้งเฉิงลู่กับจินเซียวต่างก็เป็นเพื่อนของเขา ถึงเขาจะเป็นพ่อสื่อ ก็หวังว่าทั้งสองตระกูลจะแต่งงานกันอีกครั้งเช่นกัน ไม่ใช่ไม่เพียงแต่จับคู่ให้ชายหญิงที่ไม่ได้รักกัน จนสุดท้ายจับคู่ออกมาเป็นสามีภรรยาที่ไม่รักใคร่ปรองดองกัน ทำให้เติ้งเฉิงลู่กับจินเซียวต่างก็ตำหนิ จนเดิมทีอยากทำให้ดีหน่อย แต่สุดท้ายกลับทำเสียเรื่อง

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว!” หลี่เชียนจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เพียงแต่ข้าได้ยินว่าอันลู่โหวกับฮูหยินโหวเอาใจใส่พวกเจ้าพี่น้องมาโดยตลอด ไม่อยากทำให้พวกเจ้าพี่น้องน้อยใจ ดังนั้นข้าจึงอยากมาถามความเห็นของเจ้าก่อน จะได้ฝากให้ฮูหยินฝางกลับเมืองหลวงไปเสนอการแต่งงานกับฮูหยินโหว ทว่าเจ้าก็รู้เช่นกันว่า ครอบครัวฝ่ายหญิงเสนอเรื่องนี้ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยเหมาะสม แต่สถานการณ์ของคุณหนูใหญ่ตระกูลจินแตกต่างไปเล็กน้อย…”

เขาบอกเรื่องของจินย่วนกับเติ้งเฉิงลู่

เติ้งเฉิงลู่ได้ยินแล้วก็ตกตะลึง

เขาไม่มีทางเข้าใจวิธีจัดการเรื่องราวของตระกูลจิน ทว่าจะให้เขาแต่งงานกับคุณหนูตระกูลจินเพราะแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น

“การแต่งงานก็ขึ้นอยู่กับวาสนาเช่นกัน” เติ้งเฉิงลู่ปฏิเสธหลี่เชียนอย่างอ้อมค้อม “ชายหญิงแตกต่างกัน จึงมีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย ข้ายังไม่ไปพบคุณหนูจินดีกว่า ส่วนเรื่องที่คุณหนูจินเจอนั้น หากมีอย่างอื่นที่สามารถช่วยนางได้ แม่ทัพหลี่บอกข้าก็ได้”

เขาไม่กล้าเจอคุณหนูจินจริงๆ

เขากลัวว่าถึงเวลานั้นตอนที่ฮูหยินฝางกลับไปเสนอการแต่งงานให้เขาจะบอกมารดาของเขาว่าเคยเจอคุณหนูจินแล้ว ทำให้มารดาเข้าใจผิดว่าเขาชอบคุณหนูจิน

หลี่เชียนค่อนข้างแปลกใจทีเดียว

เขาคิดว่าเติ้งเฉิงลู่ว่านอนสอนง่ายมากมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าความว่านอนสอนง่ายนี้ของเติ้งเฉิงลู่จะเพียงแค่การรักษาขีดจำกัดของตนเองเอาไว้ โดยไม่ยอมเดินไปตามกระแส แต่กลับไม่ใช่คนที่ไร้สมอง

มิน่าเล่าตอนนั้นถึงมีแต่เขาที่เปิดโปงจินเซียว!

ทำไมคนที่รายล้อมอยู่ข้างกายเจียงเซี่ยนถึงมักจะเป็นคนแบบเติ้งเฉิงลู่นะ?

หลี่เชียนทั้งดีใจและกลุ้มใจ

เขายิ้มพลางขอโทษเติ้งเฉิงลู่ว่า “เป็นเพราะข้าคิดไม่รอบคอบเอง!”

เติ้งเฉิงลู่ยิ้มแล้วก็ให้อภัยหลี่เชียนอย่างใจกว้างมาก โดยเอ่ยว่า “ข้าก็รู้เช่นกันว่าเจ้าหวังดี เพียงแต่ตอนนี้ท่านแม่ยุ่งอยู่กับเรื่องแต่งงานของน้องสาวข้า จึงไม่มีเวลาสนใจไปชั่วขณะเท่านั้น”

หลี่เชียนยิ้มพลางพยักหน้า และไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก แต่คุยกับเขาอีกสองสามคำแล้วหันไปเรียกทุกคนให้นั่งประจำที่

ทุกคนไปที่โถงบุปผา

จินย่วนมองพวกเฉาเซวียนผ่านกำแพงที่ฉลุลายท่อนบนข้างโถงบุปผา

ข้างๆ มีแม่นมที่อายุเกินสี่สิบแล้วแต่กลับแต่งตัวอย่างเรียบร้อยและสดใสเอ่ยเสียงเบาว่า “คนที่สวมเสื้อคลุมยาวสีเขียวไผ่คือซื่อจื่ออันลู่โหวเจ้าค่ะ”

จินย่วนหน้าแดงพลางกัดริมฝีปากและตอบอย่างคลุมเครือ

แล้วถือโอกาสมองพวกเจียงลวี่กับเฉาเซวียนไปด้วย

จนกระทั่งพวกเขาต่างเข้าไปในโถงบุปผาแล้ว ถึงจะตามแม่นมที่หลี่เชียนส่งมากลับห้อง

สาวใช้ประจำตัวของนางรีบเข้ามาถามนางเสียงเบาว่า “ซื่อจื่ออันลู่โหวรูปงามไหมเจ้าคะ?”

จินย่วนตอบว่า “อืม” เบาๆ

ขาวเกลี้ยงเกลา สุภาพและมีมารยาท ผอมสูง นัยน์ตาจริงใจและอ่อนโยน เหมือนอาจารย์ที่มาสอนที่บ้านที่บิดาของนางเชิญมาให้พวกพี่ชายของนางตอนเด็กๆ

หากตระกูลอันลู่โหวถูกใจนาง…นางก็แต่งแล้วกัน?

ถึงอย่างไรท่านพี่ก็ไม่มีทางทำร้ายนางหรอก

และนางแต่งเข้าเมืองหลวง บิดาก็จะต้องเห็นความสำคัญของนางอย่างแน่นอน พี่ชายของนางสืบทอดตระกูลจินก็จะช่วยเหลือได้มาก ต่อให้แม่เลี้ยงของนางจะเล่ห์เหลี่ยมทำสิ่งที่ขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

จินย่วนแอบตัดสินใจอย่างแน่วแน่

ทว่าทางโถงบุปผานั้นดื่มกันอย่างคึกคัก

เจียงลวี่เอ่ยว่า “…สองวันก่อนใต้เท้าฉียังปรึกษากับท่านพ่อว่า ทหารม้าของชนกลุ่มน้อยทางเหนือเก่งมาก จึงอยากตั้งกองทัพรถศึก ตอนที่ทำสงครามกับชนกลุ่มน้อยทางเหนือ ให้คนสี่คนเข็นรถศึกหนึ่งคันก็ได้ วางเครื่องกีดขวางกับอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ในรถศึก และตอนที่เปิดฉากทำสงครามก็จัดแถวรถศึกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์โจมตีระยะไกลก่อน ไว้ทหารม้าของชนกลุ่มน้อยทางเหนือเข้ามาใกล้แล้วค่อยใช้เครื่องกีดขวางกับหอกลอบสังหาร และสุดท้ายก็ให้ทหารม้าฉวยโอกาสที่ชนะตามไปโจมตีศัตรู ข้าคิดว่าวิธีนี้น่าจะใช้ได้”

เฉาเซวียนกับเติ้งเฉิงลู่ไม่เข้าใจสักนิด แต่หลี่เชียนกับจินเซียวกลับดวงตาเป็นประกาย คนหนึ่งเอ่ยว่า “วิธีนี้ไม่เพียงแต่ใช้ได้ดี แต่ยังใช้ได้ดีมากจริงๆ ใต้เท้าฉีสมกับที่เป็นแม่ทัพต้าถง เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็สามารถทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ในประวัติศาสตร์ได้แล้ว” ส่วนอีกคนเอ่ยว่า “ใต้เท้าฉีเคยใช้วิธีนี้หรือยัง? กองบัญชาการอื่นสามารถเลียนแบบได้หรือไม่ รถม้านั้นพูดง่าย เครื่องกีดขวางก็พูดง่ายเช่นกัน เพียงแต่ดินปืนนั้นหายาก จงเฉวียน หากข้าจำไม่ผิด ท่านลุงเคยเป็นขุนนางที่ค่ายทหารเสินจี ไม่รู้ว่ารู้เรื่องพวกดินปืนหรือไม่ หากสามารถทำให้ราชสำนักดึงปืนไฟออกมาให้พวกเราได้ก็ดี แต่หากไม่ได้ พวกเราก็จะได้ผลิตเองเช่นกัน!”

หลี่เชียนหัวเราะจินเซียว “แค่เห็นเจ้าก็รู้ว่าไม่เคยอยู่ในค่ายทหารเมืองหลวง! ในค่ายทหารเสินจีมีปืนไฟจริง แต่กรมกลาโหมกลับเป็นคนควบคุมการผลิตปืนไฟนี้ คนธรรมดาไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้มันแล้ว” เขาเอ่ยพลางมองไปที่เจียงลวี่ “ตอนที่ท่านพ่ออยู่ที่ค่ายทหารเสินจีก็ไม่ค่อยได้เห็นปืนไฟ แถมสองปีนี้ราชสำนักท้องพระคลังว่างเปล่า ค่ายทหารเสินจียังไม่ได้ส่วนแบ่ง ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะจัดสรรปืนไฟให้พวกเราแล้ว เท่าที่ข้าดู จำเป็นต้องคิดหาทางเอง แต่ราชสำนักก็คงจะไม่อนุญาตง่ายๆ ท่านลุงมีวิธีอะไรหรือไม่? หรือว่าใต้เท้าฉีคิดอะไรได้?”

เจียงลวี่คิดไม่ถึงว่าหลี่เชียนกับจินเซียวจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้มากขนาดนี้

เขาก็คิดที่จะเผยแพร่ความคิดของฉีเซิ่งมายังเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่งเช่นกัน เวลานี้เจอคนที่สนใจเรื่องนี้จริงๆ แล้ว จึงตื่นเต้นมาก จนรีบเอ่ยว่า “ท่านพ่อกับใต้เท้าฉีก็เกรงว่าราชสำนักจะไม่อนุญาตเช่นกัน และต่อให้ราชสำนักอนุญาตแล้ว ค่าใช้จ่ายสำหรับการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ก็สูงเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่ทุกกองบัญชาการจะรับได้”

พวกเขาต่างนึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่งในเวลานี้ แล้วก็เงียบไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เติ้งเฉิงลู่แอบขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “ส่งคนที่มีประสบการณ์โชกโชนและทำงานรอบคอบสักคนไปหาทางบอกราชเลขาธิการวังหรือราชเลขาธิการสยงไม่ได้หรือ?”

หลายวันก่อนสยงจวิ้นหรงอาจารย์ของจ้าวอี้เข้าสำนักราชเลขาธิการ และเป็นราชเลขาธิการตำหนักอู่อิงควบเสนาบดีกรมอาญาแล้ว

เฉาเซวียนยิ้มเยาะ และเอ่ยว่า “พวกเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก พวกเขาขอเพียงได้อยู่ในตำแหน่งสูงก็พอแล้ว พวกเจ้าไม่ได้กลับเมืองหลวงเลย คงจะยังไม่รู้เรื่องบางเรื่องกระมัง ว่ากันว่าสยงจวิ้นหรงกับวังจี่เต้าทะเลาะกันที่วังเฉียนชิงเรื่องจะให้สินสอดแก่ตระกูลหานเท่าไร!”

———————————–