ตอนที่ 234 การประลองระหว่างตำหนัก (4)

แม่ครัวยอดเซียน

และการประลองที่ไม่ยุติธรรมจึงได้เริ่มต้นขึ้น เหลยจ้านกับไป๋อี้ขอดูการประลองของหลิวหลีก่อน แล้วค่อยประลอง และจักรพรรดิก็ทรงอนุญาต

เป็นครั้งแรกที่หลิวหลีได้เข้าไปในสนามประลองฟองอากาศ ตรงข้ามคือเจ้าตำหนักทั้ง 6 ท่านที่ใบหน้าบึ้งตึง ไม่ว่าใครที่โดนดูถูกก็ย่อมต้องโมโห

“ทั้ง 6 ท่าน ได้โปรดให้คำชี้แนะด้วย” หลิวหลีประสานมือพูดอย่างเกรงใจ

“ไม่จำเป็น หลิวหลี พวกข้าจะคอยดู เจ้าเป็นเพียงแค่เทพเซียนสุวรรณนภาที่เพิ่งเลื่อนขั้น จะเก่งขนาดไหนเชียว” เหลยเซียวกล่าว

“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจะได้เห็นว่าบุคคลต้นแบบที่พวกเจ้าจะนับถือได้เกิดขึ้นแล้ว” หลิวหลีคุยโวอย่างไม่เคอะเขิน ท่าทางได้ใจของนางทำให้ทุกคนคันไม้คันมือ

“คุยโวได้ไม่ละอายเลยนะ” หวั่นฉิงกล่าว

เมื่อถูกยั่วยุเช่นนี้ พวกเขาก็เริ่มโจมตีอย่างไม่เกรงใจ โดยเหลยเซียวกับปู๋พั่วชิงลงมือก่อน หลิวหลียืนนิ่งจนหมัดลอยเข้าตรงหน้า ผู้บำเพ็ญหญิงจำนวนไม่น้อยทำใจไม่ไหวจึงต้องหลับตาลง แล้วอยู่ๆก็มีเสียงร้องโวยวายดังลอยเข้ามา

ทุกคนต่างมองไปที่มือที่เล็กกว่าซาลาเปาของหลิวหลีอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่านางรับหมัดได้อย่างสบายๆ

“ก็บอกแล้วว่าพวกเจ้าต้องนับถือข้าอย่างแน่นอน” หลิวหลีรับหมัดได้อย่างสบายๆ ทันใดนั้นเองก็มีกลิ่นอายลอยเข้ามาจากด้านหลัง นางยกทั้งสองขึ้น หลบการโจมตีไปได้ ทุกคนต่างตกใจเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหลิวหลี

“รับได้” เหลยจ้านจับที่วางมือบนเก้าอี้ไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว

“เจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยาไม่ใช่หรือ ทำไมจึงมีพละกำลังมากเช่นนี้”

“นักปรุงยาเจียง นายท่านเป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยาจริงหรือ” ถึงแม้อวิ๋นเฟยจะรู้ความจริง แต่เมื่อดูอีกครั้งก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ เป็นการล้างความคิดเดิมๆของเขาออกไปจนหมด

“ใช่ๆ บำเพ็ญเพียรกับข้า เป็นได้เพียงนักปรุงยาเท่านั้น” เจียงหรูชวนทอดสายตาออกไปไกล นังหนูคนนี้ไม่ทำอะไรเหมือนคนปกติ ตอนนั้นฝึกฝนคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ นังหนูจึงได้ไปฝึกฝนร่างกาย แถมยังยอมฝึกเคล็ดวิชาร่างกายระดับสูงสุดของเผ่ามังกรเพื่อให้ร่างกายของตัวเองรับเพลิงอัคคีได้

“นี่คือผู้บำเพ็ญสายปรุงยาหรือ ผู้บำเพ็ญทางกายยังไม่ดุดันเท่านี้เลย” มีบางคนอดบ่นไม่ได้

“นักปรุงยาเจียง ท่านยังพูดไม่จบใช่หรือไม่” อวิ๋นเฟยรู้สึกว่าในคำพูดของเจียงหรูชวนมีความนัยซ่อนอยู่

“ใช่ เพราะเคล็ดวิชาของนังหนูค่อนข้างพิเศษ นางจึงเคยฝึกฝนร่างกายมาก่อน ความแข็งแกร่งของร่างกายไม่แตกต่างอะไรจากอสูรเทพ” เมื่อเสียงของเจียงหรูชวนสิ้นสุดลง คนรอบข้างต่างตกตะลึง อสูรเทพขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายมาโดยตลอด

จักรพรรดิก็รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเช่นกัน นี่คือผู้บำเพ็ญสายปรุงยาหรือ? หากว่านี่คือผู้บำเพ็ญสายปรุงยา ก็ตัดหัวพวกเขามาเตะเล่นเถอะ

หลิวหลีโยนทั้งสองคนออกไป และหลบการโจมตีจากทั้ง 2 ด้าน เหลยเซียวกับปู่พั่วเตรียมหมัดรอ แต่มือที่มีขนาดเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของพวกเขากลับมีพละกำลังที่น่ากลัวเช่นนั้น และพวกเขาก็เข้าใจในทันที หลิวหลีผู้นี้ที่ดูไร้พิษภัย แต่ดูไปแล้วช่างโอหัง แต่นางพูดจริง จริงเสียจนพวกเขานึกว่าอีกฝ่ายโกหก ประมาทนางเกินไปจริงๆ

จักรพรรดิรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่า ผู้บำเพ็ญสายปรุงยาต้องให้คนอื่นปกป้องตลอดไม่ใช่หรือ ผู้บำเพ็ญสายปรุงยาในวังนภาเพลิง เวลาจะออกไปข้างนอกต้องคอยให้ผู้บำเพ็ญทางร่างกายกับผู้บำเพ็ญทางเวทย์คอยปกป้องพวกเขา ถ้านังหนูคนนี้เวลาออกไปข้างนอกบอกว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญทางกาย คาดว่าคงไม่มีใครเชื่อ เขาคงมองผิดไปจริงๆ

หลิวหลีหลบการโจมตี นางหลบหลีกเท่านั้น ท่วงท่าที่งดงามกับพละกำลังทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงในวังนภาเพลิงในเต้นระรัว

“เจ้าตำหนักหลิวหลีหล่อมากเลย”

“หากได้เป็นอนุภรรยาของเจ้าตำหนักหลิวหลี ข้าคงยิ้มออกมาแม้ในฝัน”

“เจ้าตำหนักหลิวหลีขาดสาวใช้หรือไม่ ข้าจะไปยกน้ำชาให้นาง ขอเพียงแค่ได้เห็นหน้าเจ้าตำหนักทุกวัน ก็พอใจแล้ว”

บนเวทีหลิวหลีทำให้คนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ อยู่ๆก็เกิดความเคลื่อนไหว เมื่อมู่เหยียนที่ได้อันดับ 9 ถูกโยนออกไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา และเมื่อมู่เหยียนตั้งสติได้ก็พบว่าตนเองได้อันดับ 9 แล้ว

“กลับกันเถอะ ข้าจะเข้าฌาน” มู่เหยียนเจอแรงกดดันเข้าแล้ว เป็นผู้ถูกเลือกเหมือนกันทำไมถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้

หลังจากที่มู่เหยียนกระเด็นออกจากเวที คนที่เหลือ 3 คนก็เริ่มมีความรอบคอบมากกว่าเดิม ทุกคนต่างเริ่มระวังตัวกันมากขึ้น อยู่ดีๆหลิวหลีก็หันกลับมายิ้มให้กับหวั่นฉิง นางเผลอใจเต้นรัว ใช้แผนหนุ่มงามมาหลอกล่อ ผิดกฎนี่นา แต่นางกลับไม่ได้จัดการหวั่นฉิง ทันใดนั้นเองเหลยเซียวก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับหมัดพลังอัสนีของเขา ร่างกายของนางอยู่ในท่าทางประหลาด ใช้หมัดเหลยเซียวพุ่งไปหาหวั่นฉิง พอนางได้สติก็ตกไปอยู่ที่อันดับ 8 หวั่นฉิงสัมผัสเอวของตัวเอง เมื่อครู่เหมือนหลิวหลีจะโอบเอวนาง แล้วโยนนางออกมา นางหน้าแดงน้อยๆ ร้ายกาจจริงๆ

คนที่เหลืออยู่ก็เข้าเข้าใจทันที หลิวหลีจัดการกับพวกเขาตามลำดับถูกโยนลงไปเพื่อจัดการปัญหา

ดังนั้นต้องระวังมากขึ้น ไม่นานหงซวี่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วท่องคาถา

“ผนึก” หงซวี่หมุนมือแล้วผ้าเช็ดหน้าพุ่งเข้าไปห่อหุ้มตัวหลิวหลีไว้ด้านใน

“เจ้าตำหนักหงซวี่ถึงขนาดใช้ผ้าอำพรางนภา เจ้าตำหนักหลิวหลีจัดการยากจริงๆ”

“แต่ผลแพ้ชนะก็คงออกมาแล้วล่ะ เจ้าตำหนักหลิวหลีสู้กับคน 6 คน มีผลงานเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลย”

แต่ว่าทั้ง 4 คนที่อยู่บนเวทีไม่กล้าประมาท อยู่ๆ หน้าหงซวี่เปลี่ยนสีไป และลนลานเก็บผ้าอำพรางนภาอย่างรีบร้อน เปลวเพลิงสีดำแตกตัวออกเป็นสี่ดวงพุ่งโจมตีคนทั้งสี่ พวกเขาแตกฮือ

“เพลิงเซียนดาราทมิฬ” ผู้อาวุโสทั้ง 10 ท่านต่างพากันลุกขึ้นยืน จักรพรรดิทรงตกตะลึงกับภาพที่เห็น ทำไมเป็นแบบนี้ได้ เจ้าตำหนักหลิวหลียังมีอะไรซ่อนเอาไว้หรือ

“ก็บอกแล้วว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยา พวกเจ้าเคยเห็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยาที่ไม่ใช้ไฟหรือ” เปลวเพลิงสีดำที่อยู่ในมือของหลิวหลีเต็มไปด้วยความอันตราย บวกกับท่าทางสบายๆของหลิวหลี ดูเหมือนว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้จะไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย

พวกเขาทั้งสี่พูดไม่ออกใครจะจำได้ว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยา แล้วพูดเรื่องเล่นไฟ ใครจะไปสู้เจ้าที่มีเพลิงเซียนได้

อยู่ๆหลิวหลีก็แบ่งเพลิงเซียนออกเป็นพันดวง ทั้ง 4 คนแตกฮือเพื่อหลบ

“ดี ควบคุมเพลิงได้ดีเหลือเกิน” จักรพรรดิทรงชม นึกไม่ถึงเลยว่าหลิวหลีจะสร้างความประหลาดใจได้ขนาดนี้

ดูเหมือนเพลิงเซียนพันดวงกำลังโจมตีทั้ง 4 คน แต่คนที่ทรงพลังจะมองออกว่า คนที่ถูกโจมตีหลักๆคือปู๋พั่ว กระแสจิตของหลิวหลีกระตุก แล้วเพลิงอัคคีก็รัดรั้งปู๋พั่วเอาไว้อย่างแน่นหนา และโยนอีกฝ่ายออกไปทำให้ปู๋พั่วตกไปอันดับ 7 จากนั้นก็ใช้เพลิงอัคคีอีกดวงหนึ่งรัดมู่หยางเอาไว้ และโยนเขาลงไป

“นางสามารถแยกจิตคุมเพลิงได้” จักรพรรดิตกพระทัยจนพูดไม่ออก ทำไมนังหนูคนนี้ถึงเก่งขนาดนี้

“เหลือแค่พวกเจ้าสองคนแล้ว จะลงไปเองไหม หรือจะให้ข้าช่วยส่งพวกเจ้าลงไป” หลิวหลีแสยะยิ้มขณะมองสองคนนั้น

“หลิวหลี เจ้าพูดถูกแล้ว หลังจากการประลองครั้งนี้ พวกเราจะต้องนับถือเจ้า เจ้ามีความสามารถมากจริงๆ หากว่าเจ้านำเพลิงเซียนออกมาตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าพวกเราก็อาจจะยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าตำหนัก พวกเราก็ไม่ได้กินหญ้า หลิวหลี มาต่อเถอะ” เหลยเซียวกล่าว

“ใช่แล้ว พวกเราจะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน” หงซวี่พยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“เอาแบบนี้ใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษด้วย เหลยเซียว ข้าอยากรู้มาตลอดว่าข้ามีพละกำลังขนาดไหน ให้พวกเจ้าช่วยวัดให้ข้าหน่อยแล้วกัน” สุดเสียงหลิวหลี เพลิงอัคคีหลายดวงก็ล้อมหงซวี่ และปล่อยหมัดใส่อวิ๋นเซียวเขาหลบไม่ทัน จึงยื่นมือออกมาป้องกัน แต่ก็ถอยร่นไปหลายก้าว เหลยเซียวตกใจ เมื่อครู่นางยังไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด มือของเหลยเซียวก็ชาไปแล้ว แม้แต่พี่ใหญ่ของเขาก็ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ได้ หลิวหลี เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ

จากนั้นหมัดถัดไปของหลิวหลีก็พุ่งเข้ามา นางไม่เคยฝึกวิชาหมัดมวย มีเพียงแต่พละกำลังเท่านั้น ถึงแม้การประลองบนเวทีจะยังไม่สิ้นสุดลง แต่ทุกคนก็รู้ผลแพ้ชนะแจ้งแก่ใจ และนับถือในตัวนางอย่างยิ่ง ทุกคนยอมรับในความสามารถของนาง นางไม่ใช่แค่เจ้าตำหนักที่ดวงดีมากเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าตำหนักที่มีความสามารถโดดเด่นอีกด้วย

หลิวหลีเพิ่มแรงเพื่อดันเหลยเซียวให้ออกไป ไปนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของตัวเอง เหลยเซียวฝืนยิ้ม ความต่างระหว่างพวกเขาสองคนไม่ใช่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เซียนหงซวี่ เหลือแค่เจ้าแล้ว ข้าจะอ่อนโยนหน่อยแล้วกัน” หลิวหลียิ้มแล้วขณะมองหงซวี่ หงซวี่ที่ถูกเพลิงเซียนดาราทมิฬรัดไว้จนไม่สามารถขยับได้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังคงดื้อดึงไม่ยอมแพ้

“ไม่ทราบว่าท่านคิดจะส่งข้าลงไปแบบอ่อนโยนอย่างไร” หงซวี่พูดขึ้นมาอย่างไร้ทางเลือก หากหลิวหลีเป็นผู้ชายขึ้นมา แม้ต้องสู้จนตัวตาย นางก็จะต้องแต่งงานกับอีกฝ่ายให้ได้

หลิวหลีดีดนิ้ว เพลิงเซียนดาราทมิฬกลายเป็นหงส์ทมิฬส่งหงซวี่ลงเวที เมื่อใกล้จะแตะพื้น เพลิงดาราทมิฬก็แปลงกายเป็นที่เหยียบ ส่งหงซวี่ไปยังที่นั่งของตัวเอง จากนั้นก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีดำบินกลับเข้าไปอยู่ในมือของหลิวหลี และถูกหลิวหลีเก็บเข้าไปในร่างกาย

ฟองอากาศสลายไป หลิวหลีเอามือไพล่หลังไว้ เพื่อให้คนได้เห็นนางเต็มสองตา

“เจ้าตำหนักหลิวหลี ตำหนักเวิ่นเทียน เป็นฝ่ายชนะ” เสียงของผู้อาวุโสจูแฝงไปด้วยความตื่นเต้นที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว

“ก็บอกแล้ว หลังจากจบการประลอง พวกเจ้าก็จะนับถือข้า” หลิวหลีหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“จริงด้วย พวกข้ารู้สึกนับถือเจ้า แต่ข้าก็จะพัฒนาตัวเองอย่างแน่นอน หลิวหลี การประลองในครั้งหน้า พวกเราไม่แพ้แน่” มู่หยางกล่าว

“ข้าจะรอ” หลิวหลีไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย นางรับคำท้าอย่างรวดเร็ว

……………………………