ตอนที่ 235 สิ้นสุดการประลอง จัดการอีมู่

แม่ครัวยอดเซียน

คราวนี้เมื่อหลิวหลีเดินไปนั่งที่อันดับ 3 ก็ไม่มีใครแย้งอะไรอีก ทุกคนต่างรู้สึกนับถือเจ้าตำหนักที่เพิ่งจะผ่านอายุพันปีคนนี้จากใจจริง

“เอาล่ะ เหลยจ้าน ไป๋อี้ ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” ผู้อาวุโสจูกล่าว

ที่นั่งอันดับ 3 ยังพอเห็นชัดอยู่ แต่ในเมื่อหลิวหลีตัดสินใจจะทำตัวเด่นแล้ว ก็คงจะต้องโดดเด่นให้ถึงที่สุด และนางจะเป็นครองอันดับแรกเอง

“หลิวหลี เจ้าไม่ใช้ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์เพื่อฟื้นฟูร่างกายหรือ?” หงซวี่มองหลิวหลีที่นั่งอยู่ในอันดับก่อนหน้านาง

“ไม่ต้อง ข้ายังแทบไม่ได้สูญเสียพลังอะไรไปเลยด้วยซ้ำ” หลิวหลีมองการประลองบนเวที แล้วตออย่างไม่ได้ใส่ใจ

หลายคนพูดไม่ออก ไม่ได้สูญเสียพลังไปมากเท่าไร นี่เป็นปีศาจที่โผล่ออกมาจากที่ไหนกัน คงจะมีไว้เพื่อสร้างแรงกดดันให้พวกเขาชัดๆ

“หลิวหลี เจ้าไม่กินยาเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือ?” หวั่นฉิงเอ่ยถาม

“ไม่กินล่ะ”

“เจ้าไม่กินยาเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือ” ทุกคนต่างตื่นตระหนก

“ใครเป็นคนกำหนดว่าปรุงยาแล้วต้องกินเอง การปรุงยาเป็นความถนัดของข้า หากไม่มีสิ่งที่ถนัดแล้วจะมีที่ยืนได้อย่างไร” ” หลิวหลีพูดอย่างสุขุม พูดจนพวกเขารู้สึกเหมือนมีเหตุผล เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“หลิวหลี เจ้ามีความถนัดเช่นนี้นี้เอง  จริงสิ เจ้าได้เพลิงเซียนมาอย่างไร” หงซวี่กล่าว ทุกคนต่างสนอกสนใจ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเพลิงเซียนที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ลึกลับไม่น้อย

“ก็ได้มาแบบนั้นแหละ ช่วยข้าเก็บความลับเถอะ ผู้หญิงที่ดูลึกลับถึงจะยิ่งมีเสน่ห์ ไม่ใช่หรือ” หลิวหลีขยิบตาให้คนพวกนั้น

พวกเขาทั้งหกรู้สึกใจเต้นระรัวเพราะนาง สิ่งที่นางพูดช่างดูมีเหตุผล พวกเขารู้สึกว่าหลิวหลีมีเสน่ห์มาก จนไม่อยากจะถามอะไรนางต่อท้ังที่ตั้งใจเอาไว้

จักรพรรดิกับพวกผู้อาวุโสทั้ง 10 มองหลิวหลีที่พูดเฉไฉก็พูดไม่ออก พวกเขารู้ว่าหลิวหลีไม่ต้องการจะเปิดเผย

การประลองบนเวทีใกล้จะสิ้นสุดลง

“หลิวหลี ให้เจ้าเป็นคนเลือก จะประลองกับเหลยจ้านหรือประลองกับไป๋อี้” จักรพรรดิตรัสถาม

“เหลยจ้าน จัดการให้จบๆไป” หลิวหลีมอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้คนทั้งสอง เพื่อบ่งชี้ว่าให้พวกเขาใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมา เพื่อที่เรื่องการจัดอันดับจะได้ไม่เป็นที่กังขา แล้วจะได้กลับไปเข้าฌานดูดซึมหินจรัสแสงอย่างมีความสุข

“ได้” จักรพรรดิทรงนึกไม่ถึงว่าหลิวหลีจะพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมนิสัยเช่นนี้ไม่น้อย

“พี่เหลยจ้าน ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ฟื้นฟูร่างกาย” หลิวหลีไม่ต้องการจะเอาเปรียบเขา จะประลองกับเหลยจ้านก็ต่อเมื่อเขามีพละกำลังเต็มที่

“ไม่จำเป็น” เหลยจ้านส่ายหัว

“อย่าหาว่าข้าเอาเปรียบเจ้าแล้วกัน” หลิวหลีตัดสินใจพูดให้ชัดเจนก่อนเริ่มประลอง

“เริ่มการประลองรอบสุดท้ายได้ เหลยจ้านตำหนักเหลยถิงปะทะหลิวหลีตำหนักเวิ่นเทียน” ผู้อาวุโสจูตะโกน

“ท่านอ๋องปะทะท่านอ๋อง?” ไป๋อี้กล่าว

“ไม่ใช่ ท่านอ๋องปะทะฮ่องเต้ต่างหาก” ปู๋พั่วเอ่ยปาก

“นึกไม่ถึงจริงๆเลยว่าปู๋พั่ว เจ้าจะตอบคำถามนี้ ว่าแต่มันหมายความว่าอะไร” เหลยเซียวประหลาดใจน้อยๆ

“เหลยจ้านเต็มที่ก็เป็นแค่ท่านอ๋อง แต่หลิวหลีเป็นราชาที่อยู่เหนือบรรดาอ๋องทั้งปวง ทำให้คนต้องยอมสยบแทบเท้า” ปู๋พั่วกล่าว มองหลิวหลีด้วยสายตาที่ดูเปล่งประกายเป็นพิเศษ

ทั้งหกคนนิ่งไป สิ่งที่ปู๋พั่วพูดมามีเหตุผล จริงๆแล้วในใจของพวกเขาก็เห็นด้วยกับคำพูดของปู๋พั่

“ไม่ว่าจะเป็นอ๋องกับอ๋อง หรืออ๋องกับฮ่องเต้ แต่การประลองในครั้งนี้ก็น่าติดตามมากไม่ใช่หรือ” หงซวี่กล่าว ฮ่องเต้หรือ

บนเวที แสงอัสนีห้อมล้อมเหลยจ้าน โดยเฉพาะที่หมัดทั้งสองข้าง

“ได้ยินมาว่าร่างกายของหลิวหลีมีความแข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับหมัดของข้าแล้วจะเป็นอย่างไร” เหลยจ้านเอ่ยปาก

“ลองดูก็จะรู้เอง พูดตรงๆนะ เมื่อครู่ข้ายังสนุกไม่พอเลย” หลิวหลีดีใจอย่างมาก คนนี้ดูแล้วน่าจะแข็งแกร่งไม่น้อย

“สนุกไม่พอหรือ?” เหลยจ้านสับสน การประลองมีสนุกไม่สนุกด้วยหรือ ไม่ใช่แบ่งเป็นแพ้กับชนะหรอกหรือ

“มา เริ่มกันเถอะ” พลังในตัวของหลิวหลีปั่นป่วนรุนแรง ถึงแม้จะไม่เหมือนเหลยจ้านที่มีแสงเปล่งประกายออกมาทั่วทั้งตัว แต่ก็สร้างความกดดันให้เช่นกัน

คราวนี้หลิวหลีเริ่มโจมตีก่อน หมัดของนางแฝงไปด้วยแรงกำลัง หลยจ้านหลบพ้นทำให้เกิดหลุมบนเวที ทุกคนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เหลยจ้านถึงกับเหงื่อตก หากว่าโดนหมัดนี้เข้า ตัวเขาเองคงต้องใช้เวลาฟื้นฟูระยะหนึ่งเลยทีเดียว

เหลยจ้านพลิกตัวสวนหมัดใส่หลิวหลี นางเบี่ยงตัวหลบทัน ทั้งสองคนดูเหมือนไม่ได้ขยับ แต่สภาพของเวทีแทบไม่เหลือชิ้นดี ทุกคนต่างพากันตกตะลึง ทั้งสองคนนี้ร้ายกาจจริงๆ

ทันใดนั้น เหลยจ้านก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา

“ดาบอัสนีบาต” ทุกคนตะโกนอย่างประหลาดใจ กระทั่งไป๋อี้ยังไม่สามารถทำให้เหลยจ้านเอาอาวุธออกมาใช้ได้เร็วขนาดนี้

เสียงอัสนีดังก้องอยู่ในฟองอากาศ ข้างนอกก็เช่นเดียวกัน จักรพรรดิทรงสะบัดมือแล้วชั้นป้องกันก็ห่อหุ้มร่างกายทุกคน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาบาดเจ็บ ส่วนบนมือขวาของหลิวหลีปรากฏเปลวเพลิงสีดำ ซึ่งก็คือเพลิงเซียนดาราทมิฬ

“ไม่รู้ว่าดาบอัสนีบาตของเหลยจ้านกับเพลิงเซียนของหลิวหลี อันไหนจะสุดยอดมากกว่ากัน” หวั่นฉิงกล่าว

“ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด ความสามารถของพวกเขาก็แซงหน้าพวกเราไปเยอะมากจริงๆ” มู่หยางมองการประลองทั้งสองคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่านับถือมากจริงๆ พวกเขาจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง

ผลปรากฏว่าเวทีระเบิด ฝุ่นควันบดบังสายตาทุกคน

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อฝุ่นควันจางลงไป หลิวหลียังคงยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทีที่สง่าผ่าเผย เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเล็กน้อย ส่วนเหลยจ้านลอยอยู่กลางอากาศ ทั้งสองคนจ้องตากัน ทันใดนั้น เหลยจ้านก็ร่วงลงมาในทันที

“ตู้ม” เสียงดังขึ้น เวทีแตกละเอียด ร่างกายของเหลยจ้านลอยอยู่กลางอากาศ ในสภาพที่ไม่ได้สติ ไม่มีใครรู้ว่าเขาผ่านอะไรมา

“การประลองระหว่างตำหนักสิ้นสุดลง การจัดอันดับก็เสร็จสิ้น ยินดีด้วย เจ้าตำหนักหลิวหลี” ผู้อาวุโสจูกล่าวขึ้น ทั้งวาสนา ความสามารถ โอกาส เจ้าตำหนักหลิวหลีไม่ขาดเลยแม้แต่อย่างเดียว จะชนะก็ถือว่าปกติ

“ยินดีด้วย เจ้าตำหนักหลิวหลี” ทุกคนแสดงความยินดีกับหลิวหลีจากใจจริง

คนในตำหนักเวิ่นเทียนยิ่งรู้สึกยินดีเป็นพิเศษ นายท่านของพวกเขาได้ที่หนึ่ง นางแข็งแกร่งที่สุดอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ

คนจำนวนไม่น้อยย้อนนึกถึงคำพูดคำจาประหลาดๆของหลิวหลี ที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงก่อนการแข่งขัน แล้วถึงค่อยๆเข้าใจ

หลิวหลีลงมาจากเวทีการประลอง วางเหลยจ้านที่หมดสติลง จากนั้นค่อยๆก้าวไปยังตำแหน่งอันดับหนึ่ง หันกลับมาประจันหน้ากับทุกคน แล้วทรุดกายลงไปนั่ง

นางได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งมาด้วยความสามารถ ไม่มีใครโต้แย้งอีก

“หลิวหลี เจ้าได้ที่หนึ่ง อยากจะได้ของรางวัลอะไร” จักรพรรดิตรัสถาม

“ของรางวัล อะไรก็ได้หรือเจ้าคะ” หลิวหลีกล่าวถาม

“อย่าให้มันเกินไปก็พอ” อยู่ดีๆจักรพรรดิก็ทรงได้สติ ความคิดนังหนูไม่เหมือนคนทั่วไป จะรับปากไปส่งๆไม่ได้

“เพคะ ข้าจะไม่ขอให้มันมากเกินไป เซียนนักปรุงยาอีมู่ ตอนแรกที่ข้ามาวังนภาเพลิง เจ้าออกคำสั่งหยุดส่งยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับตำหนักเวิ่นเทียนของข้า ข้าอยากจะถามหน่อย ตอนนี้ห้องปรุงยาเจ้าหรือผู้อาวุโสจูเป็นคนดูแลหรือว่าเจ้าเตรียมที่จะสืบทอดตำแหน่งจากเขา แต่ไม่เคยได้ยินว่าผู้อาวุโสจูจะก้าวลงจากตำแหน่งเลยนะ” หลิวหลีหัวเราะแล้วถามอีมู่ด้วยท่าทีที่ใสซื่อ

“ฝ่าบาททรงเข้าใจผิดแล้ว อีมู่ไม่เคยพูดเช่นนั้น” อีมู่ถึงกับเหงื่อตก เขานึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีจะฉีกหน้าเขาต่อหน้าธารกำนัล สามารถพูดได้ว่านี่เป็นการตบหน้าเขาเลยทีเดียว หลายปีมานี้ คุณภาพของยาที่เขาปรุงก็อย่างนั้นๆ  ถึงแม้จะมีปริมาณมากแต่คุณภาพไม่เคยพัฒนาขึ้น ผู้อาวุโสจูไม่พอใจมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อไม่มีเตาปรุงยา เขาถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่สามารถปรุงยาได้เลยด้วยซ้ำ เป็นอย่างที่เจ้าตำหนักหลิวหลีพูดไว้ในตอนแรกจริงๆ

“ถ้าเช่นนี้ ก็หมายความว่าผู้ดูแลเหอบังอาจทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเองสิ เป็นเพียงแค่ผู้ดูแล แต่กลับมีอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ เหอะๆ” หลิวหลีทำท่าเหมือนเข้าใจกระจ่างแจ้ง

“ทูลฝ่าบาท เซียนนักปรุงยาอีมู่พูดเช่นนั้นจริงๆ เขาบอกว่าหากไม่ทำตามที่เขาบอก เขาจะหยุดส่งยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับคนทั้งวังนภาเพลิง ข้าน้อยไม่รู้จะทำอย่างไร ต่อหน้าจึงจำเป็นต้องหยุดส่งยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับตำหนักเวิ่นเทียน แต่ก็แอบเก็บไว้ให้ทุกครั้ง” ผู้ดูแลเหอลุกขึ้นมา เพราะไม่ต้องการจะแบกความผิดนี้ อีกทั้งผู้อาวุโสจูก็ได้ล่วงรู้ความลับการปรุงยาของอีมู่แล้ว ถึงแม้ผู้ดูแลเหอจะไม่ได้ปรุงยา แต่ก็ไม่สนใจหรอก

“เป็นเช่นนี้นี่เอง เป็นเช่นนี้หรือ ผู้อาวุโสจู” หลิวหลีหันไปมองผู้อาวุโสจูแล้วขยิบตาอย่างซุกซน

“ใช่แล้วล่ะ” ผู้อาวุโสจูเกือบหลุดหัวเราะ นังหนูเจ้าเล่ห์จริงๆ เรื่องจริงจังขนาดนี้ ยังทำหน้าระรื่นได้อีก

“เซียนนักปรุงยาอีมู่ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ได้ยินมาว่าเจ้าปรุงยาคุณภาพคงที่มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง ประสิทธิภาพของยาก็เช่นกัน หากไม่ปรับปรุงค่ายกลบนเตาปรุงยาของท่าน เตาปรุงยาของท่านก็จะใช้การไม่ได้แล้ว แล้วต่อไปท่านจะปรุงยาอย่างไรล่ะ” หลิวหลีทำท่าทีสงสัยแล้วถามขึ้น

อีมู่ถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก เจ้าตำหนักหลิวหลีล่วงรู้ความลับของเขา จบเห่แล้ว

“เซียนนักปรุงยาอีมู่พูดอะไรหน่อยสิ ในเมื่อเจ้ากล้าหยุดส่งยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้กับตำหนักเวิ่นเทียน ก็ควรต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้น” หลิวหลีไม่ให้โอกาสอีมู่ได้พักหายใจ ทำราวจะบังคับให้อีมู่ต้องพูดทันที

“เจ้าตำหนักหลิวหลีสั่งมาได้เลย อีมู่น้อมรับคำสั่ง” อีมู่พูดพลางหลับตาลงอย่างหมดเรี่ยวแรง เขารู้ฝีมือในการปรุงยาของตัวเองดี ช่วงหลายปีมานี้เขาทะนงตน จนลืมดูความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ช่างน่าขัน

“ข้าต้องการให้เจ้ากล่าวคำขอโทษ กลับไปเริ่มเรียนตั้งแต่ต้น เจ้ายอมรับหรือไม่?” หลิวหลีกล่าว

“ฝ่าบาททรงตัดสินได้อย่างสมเหตุสมผล กระหม่อมน้อมรับ”

……………