“หมายความว่า ผู้ที่ได้อันดับ 1 ในดินแดนนภาสุวรรณปีนี้ก็คือเยี่ยชิงขวง” แต่ละดินแดนกำลังใช้ลูกแก้วเซียนสนทนากัน
“ใช่แล้ว ส่วนวังนภาเพลิงคือหลงหลิวหลี”
“หลง? ควรจะเป็นลูกหลานของดินแดนอสูรเทพไม่ใช่หรือ”
“เด็กคนนั้นเป็นลูกหลานสกุลหลงแห่งดินแดนอสูรเทพก็จริง แต่นางก็เป็นเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนในดินแดนของข้าด้วย” จักรพรรดินภาเพลิงอธิบาย
“ถ้าเช่นนั้น วังนภาธาราคือหนานกงเวิ่นเทียนใช่หรือไม่ เด็กคนนั้นน่าจะเป็นลูกหลานสกุลหนานกงในดินแดนอสูรเทพกระมัง”
“ใช่แล้ว เด็กคนนี้ก็ยังเป็นเจ้าตำหนักตำหนักหลิวหลีในวังนภาธาราของข้าด้วย” จักรพรรดินีพยักหน้า
“เด็ก 2 คนนี้เกี่ยวข้องกันกระมัง” จักรพรรดินีดินแดนนภาพฤกษาเปิดปากเอ่ย
“ใช่แล้ว เด็ก 2 คนนี้เป็นคู่รักเซียน แต่เพราะฝึกเคล็ดวิชาแตกต่างกัน จึงถูกแยกไปอยู่กันคนละดินแดน” จักรพรรดินภาเพลิงอธิบาย
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เป็นคู่รักที่เก่งกาจเหมือนกันทั้งคู่ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ” จักรพรรดินีดินแดนนภาพฤกษาตรัส
“ดินแดนนภาพฤกษาคือจื่อชิง”
“ดินแดนนภาพสุธาคือหมานฮวง”
“ดินแดนพระพุทธคืออู่หลง”
“โลกมารคือหงซิ่ว”
“ถ้าเช่นนั้นแปลว่าได้เลือกคนเรียบร้อยแล้ว แล้วครั้งนี้ในดินแดนอสูรเทพมีผู้เข้าร่วมหรือไม่” จักรพรรดินีนภาพฤกษาตรัสถาม
“ดินแดนอสูรเทพของข้ามีเด็ก 3 คนเข้าร่วม เอ๋าเลี่ย จื่อฉี อิงเสวี่ย” เอ๋าเฟยกล่าว สละสิทธิ์มาหลายปี ในที่สุดปีนี้ก็มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน แถมยังมีตั้ง 3 คน
“หมายความว่า ปีนี้จะมีเด็ก 10 คนเข้าร่วมการประลอง ถ้าเช่นนั้น ทุกท่าน หมื่นปีจากนี้ดินแดนนภาพฤกษาจะรอเตรียมต้อนรับพวกท่านเป็นอย่างดี” จักรพรรดินีนภาพฤกษาพูดจบก็จากไป
“ทุกท่าน เจอกันในอีกหมื่นปีข้างหน้า” จักรพรรดินภาเพลิงก็จากไปเช่นกัน
จักรพรรดินภาเพลิงพูดไม่ออก นังหนูคนนี้ทำให้เขาไม่รู้จะพูดอะไร แต่ตอนแรกเขาก็ไม่ได้ถามว่าคู่รักที่นางบำเพ็ญคู่ด้วยชื่ออะไร ดีเลยทีนี้ ต้องมาทนเห็นคนแสดงความรักต่อกัน ถึงแม้เขาจะมีลูก 2 คนแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอิจฉาอยู่ลึกๆ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ชื่อคู่รักมาตั้งเป็นชื่อตำหนัก
จักรพรรดินีนภาธาราที่จากมาก็พูดไม่ออก นางพยายามเดาความหมายของคำว่าหลิวหลีนับครั้งไม่ถ้วน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นชื่อคนแถมยังเป็นชื่อของคู่รักที่บำเพ็ญคู่เสียด้วยและยังเก่งกาจไม่แพ้กัน เป็นถึงอันดับ 1 แห่งวังนภาเพลิง เด็ก 2 คนนี้บำเพ็ญฝึกฝนกันอย่างไรนะ อายุเพียงแค่พันปีก็มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ และแน่นอนว่าหลิวหลีไม่ล่วงรู้ความคิดของคนทั้งสอง ตอนนี้นางกำลังอยู่ในหอปีศาจเงา
“เจ้าตำหนักทั้ง 3 ท่าน ที่แห่งนี้ก็คือหอปีศาจเงา เจ้าตำหนักทั้ง 3 ท่านเข้าไปคนละประตู จะได้อะไรกลับมามากเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของท่านแล้ว จริงสิ ข้างบนจะมีผลงานของผู้อาวุโสของที่เคยเข้าไป ผลงานดีที่สุด 3 อันดับแรกจะมีชื่อเป็นสีทอง” ผู้อาวุโสจูชี้ไปที่ชื่อด้านบน
“พี่เหลยจ้าน อยู่ในอันดับที่ 20 เชียวหรือ พี่ไป๋อี้ก็อยู่ใน 30 อันดับแรก” หลิวหลีตาดีมองเห็นว่า 30 อันดับแรกมีชื่อของคนทั้ง 2 ที่ข้างๆ
“ครั้งนี้จะต้องเลื่อนอันดับขึ้นไปให้ได้” เหลยจ้านพูดอย่างมุ่งมั่น
“เหยียนหงจิ่ง ชื่อนี้ไม่เลว แต่ว่าควรจะลงจากตำแหน่งได้แล้ว” หลิวหลีกล่าวขณะมองตัวอักษรสีทองที่อยู่บนสุด
3 คนที่เหลือมองหลิวหลีด้วยสายตาประหลาด ราวกับคำพูดนางไม่น่าให้อภัย
“คำพูดของข้ามีปัญหาตรงไหนหรือ” หลิวหลีกระพริบตาอย่างใสซื่อ ขณะมองชายแก่ที่สับสนทั้งสามคน
“หลิวหลี เจ้ารู้นามที่แท้จริงของจักรพรรดิหรือไม่” ผู้อาวุโสจูถาม
“ไม่รู้”
“เอ่อ จักรพรรดิแซ่เหยียน ชื่อหงจิ่ง” เหลยจ้านเสริม
“อ๋อ ดังนั้นหงซวี่ก็จะต้องชื่อเหยียนหงซวี่ มู่หยางก็ชื่อเหยียนมู่หยาง” หลิวหลีเข้าใจกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็หันไปดูตัวอักษรสีทองด้านบนสุด เหยียนหงจิ่ง
“เอ่อ อันดับหนึ่งคือจักรพรรดินี่เอง” หลิวหลีเพิ่งจะมารู้ทีหลัง
“แบบนั้นนั่นล่ะ” ทั้งสามคนพยักหน้า ถึงแม้จะรู้ว่าหลงหลิวหลีเก่งกล้าสามารถ แต่จักรพรรดิยังครองบัลลังก์อยู่ ก็ควรจะต้องให้เกียรติอีกฝ่าย
“จักรพรรดิ ท่านรอข้ามาแย่งตำแหน่งของท่านได้เลย อยู่ที่สูงคนเดียวคงจะโดดเดี่ยว ให้ข้าไปอยู่ด้วยก็แล้วกัน” หลิวหลีพูดต่อหน้าชื่อของจักรพรรดิด้วยท่าทียิ่งเฉย
“เอ่อ” ทั้งสามคนพูดไม่ออก ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าหลิวหลีจะพูดเช่นนี้
“เข้าไปเถอะ” ผู้อาวุโสจูเกรงว่าหากยังพูดเรื่องนี้ต่อ อาการปวดหัวของเขาที่ไม่ได้เป็นมาหลายปีจะกลับมาอีก
เหลยจ้านกับไป๋อี้เดินตรงเข้าไปยังทางด้านข้าง แล้วหลิวหลีจึงค่อยเดินตามเข้าไป
เมื่อทั้งสามคนเข้าไป เหนือวังเซียนก็ปรากฏภาพขึ้น ด้านข้างยังมีหินจัดอันดับรายชื่อ
เมื่อหลิวหลีเข้าไปด้านในก็พบว่ามืดมิดอย่างมาก อยู่ๆก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามา หลิวหลีปล่อยหมัดออกเพื่อให้อีกฝ่ายกลายเป็นก้อนเนื้อ แล้วโผล่มาอีกสองตัว นางพบว่ามีขนาดตัวเท่าแมว และมีโซ่ที่ไม่รู้ว่าทำจากอะไรล่ามอยู่ หน้าตาแปลกประหลาดและแทบจะไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้ หลิวหลีบอกไม่ถูกว่าเหมือนกับอะไร เหมือนกับวานรที่มีปีก ไม่มีหาง
จากนั้นหลิวหลีก็ฆ่ามัน 2 ตัว 4 ตัว 8 ตัว จน 16 ตัวอย่างง่ายดาย หลังจากฆ่าพวกมันแล้ว ก็มีปีศาจเงาขนาดใหญ่เท่าแมวปรากฏตัวขึ้น หลิวหลีลงมือฆ่าจนมันมีขนาดใหญ่เท่าคน สองคนที่อยู่ข้างๆเชื่องช้ากว่าหลิวหลีเล็กน้อย
ไป๋อี้มาถึงจุดที่ตัวเองพลาดไปเมื่อครั้งที่แล้วอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาสู้สุดใจจึงผ่านด่านที่เคยพลาดไป แต่ก็ยังไม่ผ่านด่านถัดไป จึงต้องออกมาอย่างไม่มีทางเลือก ได้อันดับที่ 27 ถือว่าได้อันดับดีขึ้นเล็กน้อย
เหลยจ้านก็ไปถึงจุดที่ตัวเองตกรอบเมื่อครั้งก่อนอบ่างรวดเร็วเช่นกัน หลังจากบุกเข้าไปแล้วก็ฆ่าอยู่สักพัก แล้วจึงออกมา ได้อันดับที่ 18
หลังจากที่ทั้งสองคนออกมาก็พบว่าหลิวหลียังอยู่ข้างในและยังไม่ได้ใช้เพลิงเซียน
ตอนนี้ที่เสาหินจัดอันดับ หลิวหลีอยู่ในอันดับที่ 15 ไป๋อี้ตกไปอันดับที่ 28 เหลยจ้านอันดับที่ 19 ทั้งสองมองหน้ากันแล้วฝืนยิ้ม ช่างต่างกันมากจริงๆ ทุกคนตกตะลึง เหมือนว่าเจ้าตำหนักอันดับหนึ่งคนใหม่ของพวกเขาจะไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย
“เจ้าตำหนักหลิวหลีสุดยอดมาก ยังฝ่าด่านอยู่เลย เจ้าตำหนักเหลยจ้านออกมาแล้ว”
“เจ้าตำหนักหลิวหลีเก่งกาจเช่นนี้ รู้อย่างนี้ตอนนั้นข้าเข้าไปอยู่ในตำหนักเวิ่นเทียนก็ดีสิ เพราะลังเลทำให้พลาดโอกาสครั้งใหญ่”
“เวลาเป็นสิ่งที่ซื้อไม่ได้ก็รู้กันอยู่แล้ว ตอนนี้ทหารของตำหนักเวิ่นเทียนน่าอิจฉาจริงๆ เจ้าตำหนักของพวกเขาไม่ได้เป็นแค่นักปรุงยา แต่ยังมีความสามารถในการต่อสู้ที่โดดเด่นด้วย”
“แต่ว่าวิธีที่นางปฏิบัติต่อคนในตำหนักเวิ่นเทียนไม่ธรรมดา ทหารที่อยู่ใต้อาณัติของนางก็ไม่เคยทำเรื่องให้ตำหนักเวิ่นเทียนเสื่อมเสียมาก่อน”
“พวกเรามองข้ามอะไรไปหรือเปล่า เจ้าตำหนักหลิวหลียังไม่ทันได้ใช้เพลิงเซียนเลน หมายความว่า ร่างกายของเจ้าตำหนักหลิวหลีแข็งแกร่งอย่างมาก ว่าแต่เจ้าตำหนักหลิวหลีไม่มีอาวุธหรือ”
“ใช่ เหมือนไม่เคยเห็นเจ้าตำหนักหลิวหลีใช้อาวุธเลย”
“นักปรุงยาเจียง อาวุธของนายท่านคืออะไรหรือ?” อวิ๋นเฟยถามขึ้นอย่างสงสัย
“มีดยักษ์” เมื่อนึกถึงอาวุธชิ้นนั้นของศิษย์ มุมปากของเจียงหรูชวนก็กระตุกอย่างอดไม่ได้
“มีดยักษ์หรือ?” อวิ๋นเฟยกับคนที่อยู่ข้างๆพูดไม่ออก
“ใช่แล้ว มีดยักษ์น่ะ นังหนูไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้มากนัก เพราะเป็นมีด นางจึงเรียกมีดยักษ์ แต่นังหนูไม่ชอบใช้อาวุธ ดังนั้นเดาว่านางคงลืมไปว่าตัวเองมีอาวุธ” เจียงหรูชวนวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง หลิวหลีลืมจริงๆ ของที่ติดตัวนางมาหลังจากบรรลุเป็นเซียนยังมีอาวุธ ‘มีดยักษ์’ ที่นางใช้ไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ในที่สุด เมื่อหลิวหลีขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 9 นางก็ใช้เพลิงดาราทมิฬมาเผาพวกมันจนกลายเป็นผุยผง และพบว่ายิ่งระดับขั้นสูง ก็จะยิ่งเหมือนคนมีปีก ลักษณะเริ่มใกล้เคียงกับพวกเขามากขึ้น ถึงขนาดสามารถพูดคำง่ายๆได้ เป็นอะไรที่น่าสนใจจริงๆ มีลักษณะคล้ายกับปีศาจของโลกตะวันตก แต่ที่นี่คือโลกตะวันออก สิ่งมีชีวิตที่มาจากโลกตะวันตกคงจะไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมนัก
หลิวหลีใช้เพลิงเซียนแบบนี้ จนกระทั่งไปถึงอันดับ 3
“รายชื่อสีทองอันดับ 3 ตกอันดับลงไปแล้ว”
“นังหนูคนนี้กะจะขึ้นอันดับหนึ่งเลยหรือ” ผู้อาวุโสจูนึกถึงคำพูดก่อนหน้าของหลิวหลี นางไม่ได้ล้อเล่นจริงๆด้วย
“หรือว่าเตรียมจะทุบสถิติขององค์จักรพรรดิจริงๆหรือ” เหลยจ้านกล่าว
“ขึ้นอันดับ 2 แล้ว” ไป๋อี้กล่าว
“รีบดูเร็ว จะเทียบองค์เท่าจักรพรรดิแล้ว เท่ากันแล้ว” ทุกคนส่งเสียงวอแว ทำได้แล้วจริงๆ แต่พวกเขาพบว่าหลิวหลียังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ยังคงฆ่าพวกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
หลิวหลีรู้สึกว่าในร่างกายค่อนข้างรุ่มร้อน มีสัญญาณกระหายเลือด เพลิงวิญญาณไม้ในร่างกายปรากฏขึ้น แผดเผาของเสียทุกอย่างในร่างกายจนหมดสิ้น แล้วก็มุ่งหน้าฆ่าฟันต่อไป
“อันดับของจักรพรรดิกลายเป็นที่ 2 แล้ว” อันดับ 1 กลายเป็นชื่อหลิวหลี
ผลคือหลิวหลียังคงฝ่าด่านต่อไป จนกระทั่งหลิวหลีไปถึงด่านที่ปีศาจเงาสามารถอำพรางปีกได้ นางชะงักไปเล็กน้อย และค่อยๆผ่อนความเร็วลง นางพบว่าปีกของพวกมันสามารถอำพรางไว้ได้ อำพรางเป็นเหมือนรอยสักบนร่างกาย จนไม่แตกต่างอะไรจากพวกเขาแม้แต่น้อย ป้องกันได้ยากจริงๆด้วย
หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองยังมีพละกำลังเหลืออยู่ จึงตัดสินใจจะมุ่งหน้าไปต่อ
“เจ้าตำหนักหลิวหลียังจะไปต่ออีกงั้นหรือ”
“นางไม่มีขีดจำกัดเลยหรือ” เมื่อมองหลิวหลีที่มีเลือดเปรอะเปื้อนทั่วร่างกาย ทุกคนก็รู้สึกว่านางยิ่งใหญ่ไม่น้อย
“น่าจะยังไม่ถึงขีดจำกัดกระมัง”
“อยู่ๆก็รู้สึกว่าการประลองระหว่างตำหนักนั้น เจ้าตำหนักหลิวหลีคงจะออมมือไม่น้อย” ไม่เช่นนั้นเจ้าตำหนักทั้ง 8 ที่เหลือคงจะหน้าแตกน่าดู
“รีบดูเร็ว เจ้าตำหนักหลิวหลีผ่านด่านอีกแล้ว”
จนกระทั่งหลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองพลังเหลืออยู่เพียงแค่หนึ่งส่วน ไม่อาจฝืนได้ จึงได้ออกมา นางพบว่า ปีศาจเงาระดับสูงสามารถเลียนแบบท่าทางของคนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน มิน่าจึงถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อันตรายจริงๆ ถือว่านางได้อะไรกลับมา อย่างน้อยนางก็พบความแตกต่างของเงาปีศาจ
………………………