หากพูดถึงคนดังในวังนภาเพลิงตอนนี้ย่อมต้องเป็นหลิวหลีอยู่แล้ว ก่อนอื่นเลยคือนางได้เจ้าตำหนักอันดับหนึ่งมาครองแล้วก็ทำลายสถิติจักรพรรดิองค์ปัจจุบันในหอปีศาจเงา ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยแย่งกันไปที่ตำหนักเวิ่นเทียน บางคนทั้งเสนอตัว ถวายตัว ซึ่งมีทั้งชายและหญิง แต่น่าเสียดายที่ผู้ทรงอิทธิพลท่านนี้ไปเข้าฌานแล้ว
สถานการณ์ที่หนานกงเวิ่นเทียนต้องเจอที่วังนภาธาราซับซ้อนกว่านั้น เมื่อผู้บำเพ็ญหญิงจับกลุ่มกันมาถวายตัวเป็นอนุของเขา หรือเป็นนางบำเรอก็ได้ เหตุเพราะหนานกงเวิ่นเทียนได้เป็นเจ้าตำหนักอันดับหนึ่งแถมยังเป็นผู้ชายที่ไม่ได้มีมากนักในวังนภาธารา ส่วนวังนภาธาราก็มีหอปีศาจเงาเช่นกัน เขาได้ทุบสถิติของอันดับหนึ่ง ถึงหนานกงเวิ่นเทียนจะอ้างว่าเข้าฌาน แต่ก็ยังคงมีผู้บำเพ็ญหญิงมาหาเขาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเรื่องที่พวกเขาสองคนอยู่ที่ไหนนั้นย่อมต้องอยู่ในตำหนักเซียน พวกเขาสองคนใช้การเข้าฌานเป็นข้ออ้างหลบเข้าตำหนักเซียนราวกับนัดแนะกัน เพราะพวกเขาไม่เจอกันหลายวัน ทั้งสองใช้เวลาสานสัมพันธ์กันอย่างยาวนาน หลิวหลีพบว่าพละกำลังของอีกฝ่ายดีขึ้นเล็กน้อย ทำให้รู้สึกประหลาดใจน้อยๆ
หนานกงเวิ่นเทียนอ่อนแรงตัวปวกเปียก เขาฝึกฝนร่างกายชัดๆ ทำไมเขาถึงต้องเป็นคนแพ้ก่อน
ทั้งสองนัวเนียกันอยู่สักพัก แล้วจึงค่อยๆลุกขึ้น เล่าเรื่องที่ตนเองได้อันดับหนึ่งในการประลองระหว่างตำหนัก แถมยังทุบสถิติของหอปีศาจเงาได้ด้วย ตอนนี้พวกเขาสองคนต้องเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร หลังจากการบำเพ็ญคู่ ก็เหมือนพลังของพวกเขาสองคนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่จะให้บำเพ็ญคู่เพื่อเพิ่มพลังไปตลอดไม่ได้กระมัง
“นังหนู หลังจากนี้ข้าจะเข้าฌานยาวแล้วนะ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าวพลางลูบผมหลิวหลี ทำไมนังหนูจึงเปลี่ยนมาใส่ชุดผู้ชายอีกแล้ว คงทำให้คนหลงเสน่ห์ไม่น้อยเลย
“ได้ ข้าก็จะเข้าฌานเหมือนกัน แต่คงจะไม่นาน” หลิวหลีกล่าว เวิ่นเทียนของนางหล่อเหลา ไปอยู่ในวังนภาธารา นางรู้สึกไม่ไว้ใจผู้หญิงพวกนั้นเลย ทำอย่างไรดี
“นังหนู ช่วงนี้มีคนมาสารภาพรักกับเจ้าบ้างหรือไม่” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าจำเป็นต้องถาม นังหนูเป็นคนมีเสน่ห์มาก เขาจำเป็นจะต้องป้องกันเอาไว้ หากนางมีคนอื่นขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ไม่มี ข้ากลับมาก็ประกาศว่าจะเข้าฌาน แต่เสี่ยวเทียน ครั้งนี้เจ้าเป็นเจ้าตำหนักอันดับหนึ่งในวังนภาธารา คนที่เสนอตัวก็คงจะมีไม่น้อยใช่ไหมล่ะ” หลิวหลีปฏิเสธเสร็จ ก็ถามหนานกงเวิ่นเทียนอย่างไม่ประสงค์ดี
“ไม่มี ข้าประลองเสร็จก็ประกาศว่าจะเข้าฌานเลย” แต่ว่าขุนนางอวิ๋นจูของเขาก็ไม่รู้จะทำอะไร ปกติถึงจะแค่เลี่ยงๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนมีมังกรพ่นไฟใส่ ประตูใหญ่ของตำหนักหลิวหลีแทบถูกผู้หญิงน่ากลัวพวกนั้นพังจนเละเทะ
“ในเมื่อหัวอ่อนขนาดนี้ พวกเรามาต่ออีกรอบเถอะ” หลิวหลีพูดจบก็ผลักหนานกงเวิ่นเทียนลง โดยไม่ให้โอกาสเขาได้โต้แย้ง พอพูดถึงตรงนี้พวกเขาก็เพิ่งพบว่าต่างฝ่ายต่างเป็นห่วงว่าจะมีใครเข้าหาอีกฝ่ายหรือไม่ สภาวะแบบนี้ไม่ดี ทำให้หมดแรง ไม่มีแรงเหลือ จะได้ไม่ต้องมีเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระ
“เสี่ยวเทียน ยังคิดไร้สาระอยู่ไหม” หลิวหลีเชยคางหนานกงเวิ่นเทียนให้ประสานสายตากับตัวเอง
“ไม่ล่ะ” หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างยากลำบาก ตัวเขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะยกนิ้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าแดงระเรื่อ สายตาพร่ามัว ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่ต้องทำร่วมกัน แต่ทำไมสุดท้ายคนหมดแรงกลายเป็นเขา หนานกงเวิ่นเทียนอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา มีตัวเอง 10 คนก็ไม่สามารถจัดการกับหลิวหลีเพียงคนเดียวได้ ความหวังที่จะเป็นผู้นำของเขาจบสิ้นแล้วหรือ ไม่ได้ เขาจะต้องเข้าฌาน พยายามเข้าฌาน จะต้องฝึกฝนร่างกายให้ดี แล้วขึ้นมาเป็นผู้นำให้ได้
“อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าเด็กดี” หลิวหลีจูบหน้าผากหนานกงเวิ่นเทียน และจัดการพวกเขาสองคนให้เรียบร้อย หนานกงเวิ่นเทียนหลับตาลง เปลี่ยนห้องบำเพ็ญเพียรเป็นห้องอาบน้ำ นอกจากนังหนูก็ไม่มีใครทำแบบนี้ได้อีกแล้ว
หลิวหลีไม่รู้ความคิดของหนานกงเวิ่นเทียน หากรู้ไม่แน่ว่าอาจยอมเล่นกับอีกฝ่ายก็ได้ แต่หลิวหลีไม่พอใจ ทำไมท้องของนางยังไม่มีวี่แววอะไร ทั้งๆที่พวกเขาพยายามกันขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่สำเร็จอีก หรือเพราะถ้าพลังบำเพ็ญเพียรสูงเกินไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้จริงๆ มีกันสองคนจะไปสนุกอะไร เมื่อไหร่จะมีเด็กๆออกมาเล่นด้วยกัน
“เสี่ยวเทียน อยากมีลูกหรือไม่” อยู่ๆหลิวหลีก็โพล่งถาม หนานกงเวิ่นเทียนที่กำลังครุ่นคิดว่าจะฝึกฝนร่างกายอย่างไรให้ได้เป็นผู้นำ ก็ตกใจกับคำถาม ลูกเหรอ แน่นอนว่าเขาต้องอยากมีเจ้าก้อนกลมๆที่หน้าตาคล้ายหลิวหลี แต่เรื่องลูกจะรีบร้อนไม่ได้
“นังหนู ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ของๆเราเดี๋ยวก็จะมาเอง แต่ของที่ไม่ใช่ของเราไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มา” นึกไม่ถึงเลยว่านังหนูจะอยากมีลูก
“มันก็จริง” ตนเองเป็นถึงผู้บำเพ็ญธรรม แต่กลับมองไม่ออก
หลังจากทั้งสองคนออกจากตำหนักเซียน ก็เริ่มเข้าฌานอย่างเป็นทางการ ถึงแม้บ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์ไท่จี๋จะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่จะกลับดินแดนอสูรเทพบ่อยๆก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวคนจะสงสัย ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน
เมื่อนำหินจรัสแสงออกมา เพลิงหยินหยางที่อยู่ภายในร่างกายของหลิวหลีเรียกร้องอยากจะกลืนกินหินจรัสแสง
“แต่ก่อนสงบนิ่งราวไม่มีตัวตน ทำไมตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นใจร้อนแบบนี้” หลิวหลีหัวเราะแล้วด่าขึ้น
หลิวหลีพูดจบก็จับหินจรัสแสงในมือแล้วเริ่มดูดซึม เพลิงหยินหยางประหนึ่งพืชแห้งแล้งที่เจอความชุ่มฉ่ำ มันซึมซับอย่างบ้าคลั่ง จนดูดซึมหินจรัสแสงจนหมดแล้ว และถึงเพลิงหยินหยางจะเลิกโวยวายแต่ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียน อืม จะไปถามหงซวี่ดีไหมนะ ว่านางยังมีหินจรัสแสงอีกหรือไม่
เข้าฌานไปก็คงจะไม่ได้อะไรอีก เมื่อหลิวหลีออกจากฌานก็เจอกับดวงตาเป็นประกายของทุกคน เวลาผ่านไปร้อยปีแล้ว ทำไมยังมองนางด้วยสายตาเช่นนั้นอีก
“ นายท่าน ท่านออกฌานแล้ว” อวิ๋นเฟยพูดอย่างดีใจ
“อวิ๋นเฟย ผ่านมาตั้ง 100 ปีแล้ว ความดีอกดีใจนี้ควรจะลดลงบ้างได้กระมัง ใน 100 ปีนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง” อีกฝ่ายมักจะมองนางด้วยสายตาประกาย นางอึดอัด
หลิวหลีพูดจบ ก็พบว่าทหารของนางแต่งตัวประหลาด การแต่งกายนี้ทำไมดูคุ้นเคยเช่นนี้ หลิวหลีลองคิดๆดู ก็ตบหน้าผากตัวเองเบาๆ นี่มันการชุดที่นางใส่ประลองระหว่างตำหนัก ตอนนี้ทุกคนต่างมีความนิยมเช่นนี้แล้วหรือ
“นายท่าน ท่านอาจจะยังไม่รู้ ความโดดเด่นของท่านเลื่องลือไปทั่วดินแดนนภาเพลิง การแต่งตัวของท่านก็เป็นที่นิยมไปทั่วทั้งโลกเซียน เดิมข้าก็อยากจะแต่งตัวเช่นนี้แต่ไม่ใคร่จะสะดวกนัก” อวิ๋นเฟยเห็นหลิวหลีมองทหารที่เดินไปเดินมาด้วยใบหน้าแปลกๆ จึงอธิบาย
ฉะนั้นนางเป็นผู้นำกระแสใช่หรือไม่ นางควรจะเก็บค่าลิขสิทธิ์หน่อยแล้ว
“เอาล่ะ จริงสิ อวิ๋นเฟย ดินแดนนภาเพลิงอยู่ในขอบเขตอำนาจของวังนภาเพลิงใช่ไหม?” หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองอยากจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างแล้ว
“มิได้ ก็ยังมีเซียนพเนจรไร้สังกัด ถึงแม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในขอบเขตอำนาจของวังนภาเพลิงก็ตาม” อวิ๋นเฟยอธิบาย
“เช่นนี้นี่เอง อวิ๋นเฟย ฝากตำหนักเวิ่นเทียนไว้กับเจ้าด้วย ข้าจะออกไปเดินเล่น” หลิวหลีพูดจบ ก็หายตัวไปทันที
อวิ๋นเฟยพบว่า ตอนนี้นายท่านเอาแต่ชี้นิ้วสั่งได้ดีจริงๆ หรือว่าจะกลัวคนอื่นมาตามให้รู้สึกรำคาญใจ เจ้าตำหนักทั้ง 8 ที่เหลือต่างก็อยากรู้จักนาง หรือว่านายท่านจะพยากรณ์ได้ล่วงหน้านะ แต่ว่าออกไปเดินเล่น จะไม่พาทหารไปด้วยจะดีหรือ เขาเองก็ตามนางไม่ทันด้วยซ้ำ
หลังจากที่หลิวหลีออกจากอาณาเขตของตำหนัก โลกกว้างใหญ่เพียงนี้ น่าจะต้องออกไปเดินดู หาความรู้อะไรใหม่ๆเสียบ้าง วันๆเอาแต่อยู่ในวังนภาเพลิง จนไม่รู้ว่าโลกข้างนอกหน้าตาเป็นอย่างไร
ณ วังนภาเพลิง ตำหนักจักรพรรดิ
“เจ้าจะบอกว่าขุนนางเซียนในตำหนักเวิ่นเทียนแจ้งว่าหลิวหลีออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกหรือ” จักรพรรดิเลิกคิ้ว นังหนูคนนี้หลบเก่งจริงๆ
“พะย่ะค่ะ จักรพรรดิ ขุนนางเซียนอวิ๋นเฟยในตำหนักเวิ่นเทียนกล่าวเช่นนี้”
“พวกเจ้าสองคน ได้ยินแล้วใช่ไหม” จักรพรรดิพูดกับบุตรสาวและบุตรชายของตัวเอง
“ได้ยินแล้วเพคะ เสด็จพ่อ ลูกเพียงแค่อยากอ้างพระนามในการเข้าพบนาง ใครจะคิดว่านางออกไปข้างนอก” หงซวี่พูดอย่างหมดหนทาง
“นั่นสิ เสด็จพ่อ ข้ายังอยากให้หลิวหลีแนะนำเรื่องการปรุงยากับข้า เสด็จพ่อรู้หรือไม่ ประสิทธิภาพของยาที่ใช้ฟื้นฟูพลังที่หลิวหลีปรุงนั้นดีขนาดไหน ข้าอยากจะขอความรู้จากนาง” มู่หยางก็พูดขึ้นอย่างหมดหนทาง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาขอร้องเสด็จพ่อของพวกเขา
“พ่อก็หมดหนทาง จะให้คนไปจับหลิวหลีมาก็ไม่ได้จริงไหม ต่อไปพวกเจ้าก็ทำความสนิทสนมกับนางเอาไว้ นังหนูคนนั้นเป็นผู้มีบุญ อยู่กับนางไปจะได้รับความโชคดีมาจากนาง จะส่งผลดีต่อตัวพวกเจ้าทั้งสองคน” จักรพรรดิตรัส
“ลูกเข้าใจ ถ้าเช่นนั้น พวกเราไม่รบกวนเสด็จพ่อแล้ว” หงซวี่กล่าว หลิวหลีไม่อยู่ รบกวนจักรพรรดิต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แน่นอนว่าหลิวหลีไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น นางพรางพลังบำเพ็ญเพียรให้อยู่ในขั้นเทพเสวียนเซียน บนหน้าผากมีสัญลักษณ์สีเงิน ผ่านไปไม่นานนางก็พบว่ามีหลายคนที่แต่งตัวแบบหลิวหลี เพราะว่า ‘หลิวหลี’ เยอะแยะนี้ ทำให้นางไปตะลอนได้อย่างสบายใจ บนโลกนี้มีตัวเองตั้งหลายคน ใครจะไปรู้ว่านางออกมาเถลไถล นางโบกพัดไปมาเดินอยู่บนถนน เดินผ่านคนที่แต่งตัวเหมือนนางคนแล้วคนเล่า แต่ก็ยังคงมีผู้บำเพ็ญหญิงบางคนที่เห็นหลิวหลีแล้วหน้าแดง แต่ก็นางไม่ได้สนใจ จนกระทั่งนางหยุดอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โลกเซียนมีโรงเตี๊ยมด้วยหรือ นางพับพัดในมือ และตัดสินใจเข้าไปชิม ไม่รู้ว่าฝีมือจะเป็นอย่างไรบ้าง
นางสั่งเนื้อไปหนึ่งถ้วย สุราหนึ่งกา ถั่วลิสงหนึ่งจาน หลิวหลีหาที่นั่งติดหน้าต่างแล้วนั่งลง แล้วทอดสายตามองถนน โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคน
………………….