ตอนที่ 86 หญิงชราผู้ขาดคุณธรรม

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 86 หญิงชราผู้ขาดคุณธรรม

หยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อเหลือบมองบิดาของตน

แม่เฒ่าจู หญิงชราผู้ขาดคุณธรรมมาตลอดชีวิตสามารถเลี้ยงลูกชายให้เป็นคนซื่อสัตย์เช่นนี้ได้อย่างไร?

หยุนชิ่วเอ๋อเลือกเครื่องประดับในกล่องไม้ด้วยความเจ็บปวดใจ นางหยิบตุ้มหูออกมาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นแตะปิ่นปักผมก่อนเลื่อนมือผ่านไป

นางแทบจะทนข่มความรู้สึกไว้ไม่ได้

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงกัดฟันหยิบกำไลข้อมือเงินคู่หนึ่งพลางเผยสีหน้าโศกเศร้าราวกับจะร้องไห้

กำไลอันนี้ใส่เพียงไม่กี่ครั้ง และมันยังใหม่อยู่!

ชายชรายื่นมือรับก่อนใช้มือเปล่าชั่งน้ำหนักและคาดการณ์ว่ากำไลคู่นี้น่าจะขายได้ประมาณสามตำลึง

“ข้ารักษามันอย่างดีมาตลอดชีวิต…” หยุนชิ่วเอ๋อสะอื้นไห้พลางหยิบปิ่นปักผมอันเล็กออกมา

แม่นางจ้าวเม้มริมฝีปากริมฝีปากแน่น เจ็บใจรึ? สมควรแล้วล่ะ!

เหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไป ในที่สุดแม่เฒ่าจูก็เริ่มแผดเสียงด่าทออีกครั้งก่อนหยิบเหรียญเงินสี่เหรียญซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับสิบตำลึงออกมาจากกล่อง

“ทั้งหมดนี้… เจ้าลองไปพูดคุยกับตระกูลหยูอีกครั้ง” ชายชราห่อเครื่องประดับด้วยผ้าก่อนยื่นให้หยุนลี่จง

หยุนลี่จงหลุบตาลงพร้อมแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้

ชายชราถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนยื่นห่อผ้าให้หยุนลี่เต๋อแทน

หยุนลี่เต๋อพยักหน้าพลางเก็บห่อผ้าไว้ในอ้อมแขน

หยุนชิ่วเอ๋อหลังน้ำตาขณะถือกล่องสินเดิมพร้อมสาปแช่งตระกูลหยูด้วยถ้อยคำหยาบคาย

“พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ หากมืดค่ำแล้วเราจะกลับบ้านไม่ได้”

หยุนลี่เต๋อบอกกล่าว จากนั้นหยุนลี่จงจึงเอ่ยตอบ “อืม”

จากนั้นหยุนลี่จงลุกยืนขึ้นช้า ๆ พร้อมส่ายศีรษะก่อนหันไปพูดกับแม่นางจ้าวว่า “เดี๋ยวข้าไปเอาหมวกบัณฑิตเอง”

หมวกบัณฑิตเป็นหมวกสี่เหลี่ยม ผิวสัมผัสนุ่มนวล ซึ่งเป็นหมวกที่บัณฑิตนิยมสวมใส่พร้อมกับเสื้อคลุมและพัด นอกจากนี้การแต่งกายของบัณฑิตยังสามารถแสดงถึงตัวตนของบุคคลนั้นด้วย

เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว หยุนลี่จงจึงเดินออกมาจากห้อง

หยุนเชวี่ยเกรงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นระหว่างทาง ดังนั้นนางจึงรีบเข้าไปในบ้านบริเวณปีกตะวันตกเพื่อกล่าวลาแม่นางเหลียนและตามบิดาออกไป

“เจ้าจะทำอะไร?” หยุนลี่จงเอ่ยถาม

“เข้าเมืองเจ้าค่ะ”

“ข้ากับพ่อของเจ้าจะไปทำธุระ ไม่ได้ไปเล่นสนุก”

“ข้าจะไม่สร้างปัญหาเจ้าค่ะ”

“นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก!”

หยุนเชวี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางใช้นิ้วแคะหู

หยุนลี่จงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวสั่งสอนหลานสาวจนลำคอแห้งผาก

“พี่ใหญ่ เรารีบออกเดินทางกันเถอะ” หยุนลี่เต๋อรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยเมื่อเห็นลูกสาวถูกอบรม

“ทำตัวเจ้ากี้เจ้าการอยู่ได้…” บัณฑิตเฒ่ายืดตัวตรงก่อนก้าวไปด้านหน้าพลางกระชับเสื้อคลุมด้วยความไม่พอใจ

“พี่ใหญ่ สุภาพหน่อยขอรับ” หยุนลี่เต๋อเกรงว่าพี่ชายจะทำตัวไม่สมกับเป็นบัณฑิต

“บัณฑิตเช่นข้าไปเยี่ยมเยียนถึงหน้าบ้าน พวกมันต้องปฏิบัติตนสุภาพกับข้าสิ” หยุนลี่จงคลี่พัดพลางขยับพัดสองสามครั้ง “ข้าเป็นคนมีชื่อเสียงมากถึงขนาดไปศาลยังไม่ต้องคุกเข่าให้ผู้พิพากษา”

หยุนเชวี่ยเหลือบมองเขา

หยุนลี่จงคล้ายสุนัขบ้านที่ทำตัวราวกับหมาป่าทันทีที่ออกมาข้างนอก เหตุใดคนที่มีนิสัยเช่นนี้ถึงไม่หมดไปเสียที!

หยุนลี่จงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“มองลำนำฉีสุ่ย ริมตลิ่งเต็มไปด้วยป่าไผ่เขียวขจี สุภาพชนผู้สูงส่งร่ำเรียนความรู้ ฝึกวินัยอันดี มีความเคร่งขรึม จิตใจกว้างขวาง ทรงอำนาจน่าเกรงขาม สุภาพชนผู้สูงส่ง เห็นเพียงคราเดียวสลักซึ้งตรึงใจ”

“มองลำนำฉีสุ่ย ริมตลิ่งเต็มไปด้วยป่าไผ่เขียวขจี สุภาพชนผู้สูงส่ง เป็นเหมือนหยกงาม พร่างพราวดุจดารา จิตใจกว้างขวาง ทรงอำนาจน่าเกรงขาม สุภาพชนผู้สูงส่ง เห็นเพียงคราเดียวสลักซึ้งตรึงใจ”

“มองลำนำฉีสุ่ย ริมตลิ่งเต็มไปด้วยป่าไผ่เขียวขจี สุภาพชนผู้สูงส่ง เป็นเหมือนทอง เหมือนศิลา เหมือนป้ายหยก เหมือนลูกปัดหยก จิตใจเอื้อเฟื้อ ทรงอำนาจน่าเกรงขาม สง่าผ่าเผย ไม่ข่มเหงผู้ใด”

หยุนลี่จงเดินเชิดหน้าขึ้นพลางขยับพัดและท่องบทกลอนไปตลอดทาง นอกจากนี้ยังเหลือบมองหยุนลี่เต๋อด้วยหางตาเป็นระยะ ๆ

หลังจากผ่านไปประมาณสองนาที ไม่รู้ว่าหมึกในท้องของเขาหมดลงหรืออย่างไร หยุนลี่จงเก็บพัดก่อนใช้มันเคาะฝ่ามือสองครั้งพร้อมเอ่ยถาม “เจ้ารอง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าส่งเสี่ยวอู่ไปเรียนตำรากับเฟิงสือยวินรึ?”

เหล่าบัณฑิตมักดูแคลนกันเอง หยุนลี่จงถือตนว่าอาวุโสและสูงส่งกว่า ดังนั้นเมื่อพูดถึงเฟิงซิ่วไฉแล้ว หยุนลี่จงจึงมักเรียกเขาด้วยชื่อจริงเสมอ

“ขอรับ” หยุนลี่เต๋อพยักหน้า

“ท่านลุงยังไม่รู้เรื่องหรือเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงพูดถึงเรื่องนี้

“เฟิงสือยวินยังมีประสบการณ์ไม่มาก แล้วเขาจะสอนเรื่องอะไรได้?” หยุนลี่จงแสยะยิ้มอย่างเหยียดหยาม

“เขาสอนเรื่องต่าง ๆ มากมายเลยเจ้าค่ะ กลอนที่ท่านลุงเพิ่งท่องมาจาก ‘ซือจิง บรรพกลอนเฟิง*’ ในกลอนมีคำว่า ‘ลำนำฉีสุ่ย’ อีกทั้ง ‘เจิ้งเฟิง บรรพกลอนเฟิง’ ในกลอนมีคำว่า ‘บรรพตฝูซู’ เสี่ยวอู่ล้วนเรียนมาแล้วเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวเพื่อให้เขาเสียหน้า “คำว่า ‘บรรพตฝูซู’ ในกลอนหมายถึงการปฏิบัติตนที่ไม่เหมาะสมระหว่างบุรุษและสตรี ซึ่งเฟิงซิ่วไฉกล่าวว่าเสี่ยวอู่อายุยังน้อยจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจในเรื่องนี้”

*กลอนพื้นบ้านชนิดหนึ่ง

หยุนลี่จงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง

หยุนลี่เต๋อไม่กล่าวคำใด ทว่ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เนื่องจากวัน ๆ เขาแทบไม่เห็นเชวี่ยเอ๋ออ่านหนังสือเลย เหตุใดนางถึงรู้มากเพียงนี้?

“ฮ่าฮ่า ‘บรรพกลอน’ แบ่งออกเป็น ‘เฟิง’ ‘หยา’ และ ‘ซ่ง’ สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดมาอยู่ในหมวด ‘เฟิง’ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมพื้นบ้านและประเพณี อย่าอวดฉลาดไปหน่อยเลย” หยุนลี่จงพยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีของตนเอง

หยุนเชวี่ยอยากตบหน้าของลุงใหญ่ให้แรงกว่าที่เคย

“ถูกต้องเจ้าค่ะ ‘หยา’ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเพลงและดนตรีที่ใช้ในราชสำนักและการประชุมราชสำนัก ซึ่งแบ่งออกเป็น ‘ต้าหยา’ สามสิบเอ็ดบท ‘เสี่ยวหยา’ เจ็ดสิบสี่บท ส่วนใหญ่มักเป็นผลงานของคนชนชั้นสูง”

“และสุดท้าย ‘ซ่ง’ เป็นบทกวีเกี่ยวกับพิธีบวงสรวงเพื่อสรรเสริญความสำเร็จของบรรพบุรุษ แบ่งออกเป็น ‘โจวซ่ง’ สามสิบเอ็ดบท ‘หลู่ซ่ง’ สี่บท และ ‘ชางซ่ง’ ห้าบท”

“ท่านลุง สิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมดนั้น เฟิงซิ่วไฉสอนเสี่ยวอู่แล้วเจ้าค่ะ”

หยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นมองพลางส่งสายตาจริงจังขณะ เมื่อสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ของหยุนลี่จง นางจึงมีความสุขขึ้นมา อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณคุณครูสอนภาษาจีนที่สอน ‘บรรพกลอน’ ให้นางตอนเรียนมัธยมปลาย

ทั้งหมดคือความรู้ทางวัฒนธรรม ยอดเยี่ยม!

ใบหน้าของหยุนลี่จงบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ทว่าเขายังคงแสร้งทำตัวปกติพลางกล่าวดูถูก “เรื่องเหล่านั้นไม่สำคัญ”

“ท่านลุงพูดถูกเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยพยักหน้า “นอกจากนี้เฟิงซิ่วไฉบอกว่าเขาจะสอน ‘ต้าเสวี๋ย’ ‘จงยง’ ‘หลุนอวี่’ ‘เมิ่งจื่อ’ ‘ช่างชู’ ‘หลี่จี้’ ‘โจวอี่’ และ ‘ชุนชิว’ ให้เสี่ยวอู่ในอนาคต เนื่องจากสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการวางรากฐานให้มั่นคง”

หยุนลี่จงตกตะลึงอีกครั้ง

“ท่านบอกว่าเฟิงสือยวินอายุยังน้อยจึงมีความสามารถไม่มากพอที่จะสอนหนังสือ ข้าเกรงว่าท่านลุงคงเข้าใจผิดแล้วล่ะ… อย่าดูถูกคนอายุน้อยกว่าสิเจ้าคะ!”

“แม้แต่หวังหลี่เจิ้งยังยกยอเขาว่าเป็นอัจฉริยะด้านวรรณกรรมที่มีความรู้ทางวรรณกรรมที่โดดเด่น วิสัยทัศน์กว้างไกล มีวาทศิลป์ และการกระทำที่สูงส่ง ในภายภาคหน้าเขาต้องกลายเป็นบัณฑิตที่เก่งที่สุดและมีโอกาสดี ๆ มากมายรอเขาอยู่แน่นอนเจ้าค่ะ”

หยุนลี่จงรู้สึกโมโหพลางส่ายศีรษะไปมา “หวังหลี่เจิ้งเป็นเพียงบัณฑิตเฒ่าที่ไม่ผ่านการทดสอบ เขาจะรู้เรื่องอะไร!”

“ท่านลุง ท่านก็สอบไม่ผ่านเช่นกัน…” หยุนเชวี่ยเลิกคิ้วขณะจงใจพูดยั่วโมโหอีกฝ่าย ก่อนแสร้งทำทีเป็นหลุดปากพูดก่อนใช้มือปิดปากแน่น

ท่านเองก็เป็นบัณฑิตผู้ที่พยายามสอบเป็นขุนนางมานานแล้วไม่ใช่รึ ห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะร้อยก้าว* ทุกคนเท่าเทียมและมีความแข็งแกร่งเท่ากัน

*ห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะร้อยก้าว หมายถึง คนที่มีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดน้อยกว่าหัวเราะเยาะคนที่มีความผิดพลาดมากกว่า

“เจ้ารอง!” ใบหน้าเหี่ยวย่นของหยุนลี่จงแปรเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีเขียวพลางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ลูกสาวของเจ้าจงใจต่อต้านข้า!”