ตอนที่ 85 ไม่มีความละอาย มีแต่ความไร้ยางอาย
หยุนลี่จงรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งจึงหันไปมองหยุนลี่เต๋อด้วยความขุ่นเคือง
เขาคือบัณฑิตที่ฉลาดและมากความสามารถจะให้ไปรับคำด่าทอเพื่อชดเชยค่าเสียหายได้อย่างไร? หากตระกูลหยูใช้ความรุนแรงเล่า?
หยุนลี่จงลอบขยิบตาให้แม่นางจ้าวอย่างลับ ๆ
“หากท่านพ่อจะให้ท่านพี่ไปจัดการเรื่องนี้… ข้าเกรงว่ามันจะไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ” แม่นางจ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ท่านพ่อของข้าซื่อบื้อ ท่านลุงมีความรู้มากและมีวาทศิลป์ ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครเหมาะสมกว่านี้แล้วเจ้าค่ะ”
หยุนเชวี่ยฉีกยิ้มกว้าง ทว่านางกลับลอบกลอกตาอยู่ในใจ พวกเขามักโยนเรื่องน่าละอายให้บิดาผู้เถรตรงของนางจัดการอยู่เสมอ!
“ในขณะที่ข้ากำลังจะถูกพาตัวไปสอบสวนที่สำนักงานใหญ่ แต่ท่านกลับเห็นแก่ตัวรึ?” หยุนชิ่วเอ๋อเหลือบมองแม่นางจ้าวด้วยสายตาโกรธเคืองพลางกล่าวตัดพ้อ “พวกท่านคิดอะไรอยู่ คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าท่านไม่แยแสข้าเลยสักนิด…”
“ชิ่วเอ๋อ!” ชายชราส่งเสียงคำรามทันที
“ชิ่วเอ๋อพูดอะไรน่ะ? เจ้าคือน้องสาวของท่านพี่ แล้วเหตุใดเขาจะไม่แยแสเจ้าเล่า” แม่นางจ้าวเกลี้ยกล่อม “นี่ไม่ใช่การเจรจาต่อรองหรอกหรือ? อย่ากังวลเลย ภายภาคหน้าเจ้าจะต้องได้แต่งงานกับตระกูลขุนนางและเจ้าจะได้พบกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งอย่างไม่รู้จบแน่”
“อืม พูดได้ดี ข้าจะไม่ยอมให้เงินเพียงยี่สิบตำลึงมาทำลายอนาคตแน่” หยุนชิ่วเอ๋อกล่าวอย่างไม่ยอมลดละ
นางรอวันที่จะได้ครอบครองทุกสิ่งอย่างแทบไม่ไหวแล้ว!
หยุนลี่เซี่ยวเหลือบมองใบหน้าของพี่ชาย “พี่ใหญ่ ท่านคิดอะไรอยู่หรือ?”
“นี่! ในหัวเขามีแต่การสอบในฤดูใบไม้ร่วงน่ะสิ เขาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องไหนได้อีกหรือ?” แม่นางจ้าวถอนหายใจก่อนปิดปากเงียบ
หยุนชิ่วเอ๋อจ้องมองนางอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” หยุนลี่เซี่ยวหัวเราะ “อย่าหลอกข้าให้ยากเลย ข้ารู้ว่าท่านสองคนคิดอะไรอยู่ มันคงไม่ใช่แค่เรื่องความมั่งคั่งของตระกูลเราใช่หรือไม่?”
“น้องสาม เจ้าคิดผิดแล้ว” แม่นางจ้าวกล่าวปฏิเสธ “เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ เจ้าจะกังวลอะไรอีก?”
“ฮ่าฮ่า ข้ารู้ดีแก่ใจว่าท่านทั้งสองคิดเรื่องไม่ดีแน่” หยุนลี่เซี่ยวเอนตัวพิงกำแพงราวกับไร้กระดูกสันหลังพลางเหยียดขา “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าและพี่ใหญ่ต่างเป็นลูกชาย ท่านต้องแบ่งทรัพย์สินของตระกูลให้ข้ากับเขาเท่า ๆ กัน ถ้าท่านแบ่งให้พี่ใหญ่ท่านก็ต้องแบ่งให้ข้าด้วย!”
หยุนลี่เซี่ยวกล่าวพลางตบหน้าอกอย่างมั่นใจ “กระดาษใบนี้ยังอุ่น ๆ อยู่เลย”
“ฮึ่ม” ทันใดนั้นแม่นางจูก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อเตรียมตัวพ่นคำด่าทอ
“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเดี๋ยวนี้!” ดวงตาของผู้เฒ่าหยุนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะจ้องมองไปที่ลูกชายด้วยความโมโห
แม่เฒ่าจูไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยวาจาออกมา
“ข้ายังไม่ตาย พวกเจ้าก็คิดจะแบ่งสมบัติกันแล้วรึ?!” ผู้เฒ่าหยุนใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะอย่างเต็มแรง
ช่างชั่วช้าเสียจริง!
หยุนลี่จงหลุบตาลงต่ำไม่เอ่ยวาจาใด เนื่องจากเขายังคงจมอยู่ในความเศร้าโศกและความโกรธที่ต้องเสียหน้าให้กับผู้อื่น
กรามของหยุนลี่เซี่ยวอ้าค้าง ตกตะลึงจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใด เขาจ้องมองไปที่พี่ชายพลางส่งสายตาเป็นนัยว่าพี่ชายจะต้องแบ่งทุกอย่างให้แก่ตนด้วย
หลังจากสิ้นเสียงคำราม ผู้เฒ่าหยุนก็จับขอบโต๊ะแน่นขณะหอบหายใจอย่างหนัก
“ท่านพ่อ” หยุนลี่เต๋อก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าว “ท่านนอนพักผ่อนก่อนเถิด”
“อย่ามายุ่งกับข้า” ชายชราโบกมือปฏิเสธ
ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง ไม่มีใครกล้าปริปากพูดคำใด
ในที่สุดหยุนชิ่วเอ๋อก็โวยวายออกมา “ไม่นานพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ข้าควรทำอย่างไรดี?!”
ทุกคนต่างปิดปากเงียบ
“พี่ใหญ่ พูดอะไรหน่อยสิ!” สายตาเฉียบคมของหยุนชิ่วเอ๋อมองไปที่หยุนลี่จงราวกับต้องการแทงร่างของเขาให้พรุน
“ข้าว่า…” หยุนลี่จงหลุดออกจากห้วงความคิดพลางเหลือบมองบิดา “ท่านพ่อ… หรือเราจะ… ละทิ้งความมั่งคั่งแล้วจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องร้ายแรง…”
ประการแรกเขากลัวว่าหยุนชิ่วเอ๋อจะรีบร้อนจนทำให้เขาต้องจ่ายเงินหนึ่งร้อยเหรียญให้กับน้องสาม ส่วนประการที่สองเขากลัวว่าตนจะต้องไปที่บ้านตระกูลหยูโดยไม่มีอะไรติดมือไปเลย
“แล้วใครจะเป็นคนจ่ายเงินเล่า?” หยุนลี่เซี่ยวเอ่ยถาม
หยุนลี่จงลอบมองหยุนลี่เต๋อ
“พ่อของข้ายอมเป็นแพะรับบาปให้ท่านลุงใหญ่ ดังนั้นครานี้ถึงคราวท่านตอบแทนบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ?”
อย่างไรก็ตาม คำพูดเหล่านี้ชัดเจนแล้วว่าหยุนเชวี่ยไม่มีความเกรงกลัวใดและกล้าที่จะพูดสิ่งที่คิดออกมาตามตรง
หยุนลี่จงนิ่งเงียบไม่ตอบโต้
“เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กน้อยอย่างเจ้าอย่าแส่” แม่นางจ้าวกล่าวตำหนิเสียงแผ่ว
หยุนเชวี่ยเอ๋อนิ่งเงียบ
“เชวี่ยเอ๋อ”
ขณะที่เหยุนเชวี่ยกำลังจะโต้ตอบ หยุนลี่เต๋อก็ใช้มือหยาบกระด้างลูบศีรษะของนางเสียก่อน
“ข้าจะโน้มน้าวให้ท่านลุงจ่ายเงินเอง” หยุนเชวี่ยโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยพลางทำท่าทาง
ใบหน้าของหยุนลี่จงยิ่งบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
เมื่อมีคนบอกให้เด็กทำอะไร เด็กย่อมทำตาม! เจ้ารองต้องเป่าหูนางแน่!
“ตระกูลเรามีเงินไม่มากนัก…” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายก่อนลุกยืนขึ้นและแบมือไปตรงหน้าของแม่เฒ่าจู “กุญแจ”
“ท่านจะทำอะไร?”
“กุญแจ” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น
จากนั้นแม่เฒ่าจูจึงดึงเชือกสีแดงที่ห้อยคอของนางออกมาด้วยความไม่เต็มใจ ทันใดนั้นกุญแจทองเหลืองพลันห้อยลงมาจากเชือก
“ไอ้พวกทวงหนี้มันสูบเลือดสูบเนื้อของข้าไป!” แม่เฒ่าจูด่าทอด้วยความขมขื่น
ชายชราเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียงก่อนหยิบห่อผ้าสีแดงขึ้นมาก่อนเปิดออกเผยให้เห็นกล่องไม้อีกหนึ่งกล่อง
“นั่นเป็นสินเดิมที่ท่านแม่เก็บไว้ให้ข้านี่เจ้าคะ!” ดวงตาของหยุนชิ่วเอ๋อเบิกกว้างขณะอุทานด้วยความเสียใจ
“แล้วเจ้าจะทำอะไรได้!” ผู้เฒ่าหยุนคำรามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
หยุนชิ่วเอ๋อขมวดคิ้วพร้อมกำมือแน่น
ภายในกล่องมีสร้อยข้อมือ ต่างหู และปิ่นปักผมล้วนเป็นสิ่งที่นางโปรดปราน!
“ชิ่วเอ๋อ ท่านพ่อบอกว่าตระกูลเรามีเงินไม่มากนัก อีกทั้งสินสอดทองหมั้นยังเก็บได้ช้า หากพี่ใหญ่ของเจ้าได้เป็นข้าราชการระดับสูง เจ้าจะมีทั้งเงินทองและเครื่องประดับล้ำค่ามากมาย แล้วเจ้าจะสนใจของเก่าแก่เช่นนี้ไปเพื่ออะไร…” แม่นางจ้าวกล่าวเกลี้ยกล่อม
หยุนชิ่วเอ๋อเหลือบมองแม่นางจ้าว “มันไม่ใช่ของท่านก็พูดได้สิ! แล้วเหตุใดท่านถึงไม่มอบปิ่นปักผมสีทองของท่านให้ข้าเล่า?”
แม่นางจ้าวนิ่งอึ้ง
“สะใภ้ใหญ่ ถ้าเจ้ายังพูดจาทำร้ายจิตใจชิ่วเอ๋ออีกก็ยกปิ่นปักผมนั่นให้นางเสีย” แม่เฒ่าจูกะพริบตาพลางกล่าวเสียงแผ่ว
“ท่านแม่…”
“มีอะไร สะใภ้ใหญ่ไม่เต็มใจมอบให้น้องหรือ?”
หยุนลี่จงรีบแตะแขนแม่นางจ้าวเพื่อห้ามปราม ก่อนจะกล่าวแทรก “ท่านแม่คิดอย่างนั้นได้อย่างไรขอรับ? นางเป็นน้องสาวของข้า หากข้าไม่ใส่ใจนาง แล้วจะให้ข้าใส่ใจใครเล่า?”
หญิงชราบ่นอุบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดีแต่ปาก”
แม่นางจ้าวก้มหน้าลงพร้อมกำหมัดแน่น นางอยากกระโดดเข้าไปบีบคอหยุนชิ่วเอ๋อให้ตายตกไปเสีย!
“จุ๊ ๆ ๆ เหตุใดท่านแม่ถึงเก็บเงินสินเดิมให้ชิ่วเอ๋อมากมายถึงเพียงนี้? จุ๊ ๆ” หยุนลี่เซี่ยวชะโงกหน้ามองเข้าไปในกล่องไม้ “หญิงสาวที่แต่งงานออกเรือนแล้วยังต้องการเงินทองมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?”
“เจ้าจะรู้เรื่องอะไร! หากมีสินเดิมมาก ครอบครัวของสามีจะให้ความเคารพอย่างไรล่ะ” แม่เฒ่าจูกล่าวตำหนิ “ดูอย่างผู้หญิงยากจนที่เจ้าแต่งงานด้วยสิ นางมีสินเดิมเพียงผ้าห่มผืนบาง ๆ สองผืนและมีสารรูปไม่ต่างจากขอทาน นางสมควรแล้วที่จะถูกให้ไปทำงานในคอกม้าและคอกวัว!”
หยุนชิ่วเอ๋อเยาะเย้ย “ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ!”
หยุนเชวี่ยตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ตระกูลนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ… ทัศนคติของพวกเขาขัดกับปรัชญาสามทัศน์ทุกข้อ!
ไร้ยางอาย… ช่างไร้ยางอายกันเสียจริง!