ตอนที่ 84 ร่วมหัวจมท้าย
หยุนลี่เซี่ยวไม่เพียงแต่เปิดเผยความลับของหยุนลี่จงเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหยุนลี่เต๋ออีกด้วย
ขาของหยุนลี่จงพลันอ่อนแรง เขารู้สึกตื่นตระหนกอย่ามากจึงจับแขนของบิดาพร้อมกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านจะจัดการอย่างไร? ท่านจะปล่อยให้เขาพล่ามเรื่องไร้สาระอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้!”
“ให้เจ้าสามเข้ามา!” ผู้เฒ่าหยุนสั่งให้เปิดประตู เขาหายใจติดขัดราวกับถูกหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้
เมื่อหยุนเชวี่ยเปิดประตู หยุนลี่เซี่ยวก็เบ้ปากพลางเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ หยุนลี่จง
“หึหึ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงหน้าซีดเซียวเพียงนี้?”
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าต้องรับมือกับพี่ใหญ่ด้วยวิธีใด อีกทั้งยังไม่เกรงกลัวว่าตนจะถูกบิดาไล่ออกจากบ้าน
“เจ้าสาม พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน หากวันไหนพี่ใหญ่ได้ดี มีหรือที่จะไม่แบ่งปันให้เจ้า…” ตอนนี้ท่าทีหยุนลี่จงขลาดเขลาเกินไปจนไม่เหลือคราบของบัณฑิตแล้ว
“ครอบครัว… เหตุใดเวลาที่ท่านพูดจาว่าร้ายให้ข้าถึงไม่บอกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันบ้างเล่า?”
บุตรคนที่สามของตระกูลหยุนรู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่งที่ครอบครัวของพี่ใหญ่ป้ายสีว่าเขาเป็นผู้ทำร้ายหยุนชิ่วเอ๋อ
“ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด น้องชาย… กระดูกหักแต่เส้นเอ็นยังเชื่อมโยง* ไม่มีปัญหาใดคลี่คลายไม่ได้ เจ้าเคยพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?” หยุนลี่จงกล่าวพลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
*กระดูกหักแต่เส้นเอ็นยังเชื่อมโยง หมายความว่า ครอบครัวเดียวกัน สายเลือดเดียวกัน อย่างไรก็ตัดไม่ขาด
“ใช่… หรือ?”
“น้องสาม เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“หึหึ” หยุนลี่เซี่ยวเหยียดยิ้ม “ใช่หรือไม่… ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพี่ใหญ่ตัดสินใจมิใช่หรือ?”
หยุนลี่จง…
“หากท่านปฏิบัติกับข้าฉันพี่น้อง ข้าก็จะไม่ทำร้ายท่าน แต่หากท่านหลงระเริงในอำนาจและเสวยสุขเพียงผู้เดียว ข้าจะทำให้ท่านรู้จักนรกบนดินแน่” หยุนลี่เซี่ยวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ ข้าไม่ทำอย่างแน่นอน” หยุนลี่จงพยักหน้าพลางส่ายศีรษะอย่างเร่งรีบ เนื่องจากไม่รู้ว่าต้องแสดงออกอย่างไรดี
“เจ้าสาม!” ผู้เฒ่าหยุนเรียกบุตรชายด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“แหะ ๆ ท่านพ่อมีอะไรหรือขอรับ?” หยุนลี่เซี่ยวส่ายขา
“เรื่องที่จะให้พี่ชายของเจ้าเป็นขุนนางคือความต้องการของข้า และยังเป็นความต้องการของบรรพบุรุษตระกูลหยุนของเราอีกด้วย ดังนั้นเจ้าอย่าพูดจาพล่อย ๆ ล่ะ”
ผู้เฒ่าหยุนไม่ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวและเข้มงวดเหมือนเดิม แต่กลับใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเพื่อเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
หยุนลี่เซี่ยวยกยิ้ม “ตราบใดที่ท่านพ่อไม่โวยวายให้ข้าเป็นเวลาสามวัน ข้าก็จะปล่อยเรื่องนี้ไป!”
หางตาของผู้เฒ่าหยุนกระตุกเล็กน้อย
แม่นางจ้าวกลอกตาสองสามครั้งก่อนเดินไปหาหยุนลี่จงพลางใช้มือป้องปากเพื่อกระซิบกระซาบ
หยุนลี่เซี่ยวหันมองด้านข้าง “พี่สะใภ้ใหญ่มีเรื่องอันใดต้องปิดบังรึ? พวกเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรอกหรือ?”
“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หยุนลี่จงรีบแก้ตัวพร้อมเหยียดยิ้ม “น้องสาม เจ้ารู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ เมื่อกลับไปแล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกเมียเจ้าล่ะ”
ปากของแม่นางเฉินหลวมกว่าเอวกางเกงผ้าฝ้ายเสียอีก นางชอบเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อนินทาทั้งวัน หากนางรู้เรื่องไหนเข้า พรุ่งนี้เรื่องนั้นก็จะแพร่กระจายไปทั่วแน่
หยุนลี่เซี่ยวหรี่ตาและแตะคางอย่างอับอาย “พี่ใหญ่ ข้ากับนางนอนเตียงเดียวกัน หากวันไหนข้าเผลอหลุดปากเล่า?”
“อย่าทำอย่างนั้นเลย! น้องสาม… พี่ใหญ่ขอร้องล่ะ!” หยุนลี่จงคว้าแขนของเขาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
บุตรชายคนที่สามของตระกูลหยุนมีนิสัยอันธพาลไม่โง่เขลาเหมือนบุตรชายคนที่สอง ดังนั้นมันจึงไม่ง่ายเลยที่จะจัดการเขา
หยุนลี่เซี่ยวทำทีหูทวนลม
“น้องสาม พี่ใหญ่ขอสาบาน” หยุนลี่จงใช้ลูกไม้เดิม ๆ โดยลุกยืนขึ้นพลางชูสามนิ้วขึ้นฟ้าด้วยความจริงจัง “หากในภายภาคหน้าพี่ใหญ่ได้เป็นขุนนาง ข้าจะแบ่งผลประโยชน์ทุกอย่างให้เจ้าด้วย”
“คำพูดเชื่อถือได้ด้วยหรือ?” บุตรชายคนที่สามเลิกคิ้ว
“เชื่อถือได้สิ!”
“ไม่เป็นไร เรามาทำสัญญาปันผลประโยชน์เป็นลายลักษณ์อักษรและพิมพ์ลายนิ้วมือลงไปกันเถิด”
รอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าของหยุนลี่จงแข็งค้างทันที “นั่น…”
หยุนลี่จงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยุนลี่เซี่ยวจึงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามอย่างหมดความอดทน “มีอะไร? ไม่กล้าหรือ?”
หยุนลี่จงนิ่งเงียบ
“น้องสามี เจ้ามีชีวิตรอดได้ถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร…” แม่นางจ้าวพึมพำพร้อมยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปาก
“พี่ชาย เราต้องทำหนังสือสัญญาให้ชัดเจนสิ! ท่านพ่อคิดเห็นว่าอย่างไรขอรับ?”
หยุนลี่เซี่ยวส่งยิ้มให้กับบิดา
ชายชรานิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด
“ท่านพ่อขอรับ?” หยุนลี่จงมองบิดาด้วยสายตาคาดหวัง
“การจัดทำสัญญาคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี” ไม่นานผู้เฒ่าหยุนก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่อรอง “เจ้าสาม เรื่องที่พี่ใหญ่ของเจ้าพูดนั้นพ่อจะเป็นพยานให้เองเพื่อป้องกันไม่ให้เขากลับคำ”
ทว่าหยุนลี่เซี่ยวไม่หลงกล “ไม่ได้ผลหรอกขอรับ คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าท่านพ่อกำลังเข้าข้างพี่ใหญ่อยู่”
ชายชรานิ่งอึ้งอีกครั้ง
หยุนลี่เซี่ยวพลันตบโต๊ะอย่างแรงจนเสียงดังลั่น “พี่ใหญ่ ท่านตัดสินใจเสียทีสิว่าจะทำสัญญาหรือไม่”
“ทำสิ ๆ” หยุนลี่จงตกใจกลัวพลางพยักหน้าอย่างขี้ขลาดและไม่เต็มใจ
แม่นางจ้าวลุกขึ้นหยิบพู่กัน หมึก และกางกระดาษซวน* ทันที
*กระดาษที่มีส่วนผสมของกัญชงและเส้นใยไหม ใช้สำหรับการเขียนและการวาดภาพ
ใบหน้าของหยุนลี่จงซีดเผือด มือของเขาสั่นระริกพลางกัดฟันขณะเขียนหนังสือสัญญา
“ลายนิ้วมือ” บุตรชายคนที่สามกล่าวเตือน
หยุนลี่จงหาวิธีรับมือกับอีกฝ่ายไม่ได้จึงต้องทำตามที่เขาบอกอย่างเชื่อฟัง
หยุนลี่เซี่ยวหยิบกระดาษขึ้นมามองอย่างภาคภูมิใจพลางเป่าหมึกให้แห้ง “พี่ใหญ่คงคิดว่าข้าอ่านไม่ออกสินะ”
หยุนลี่จงฉีกยิ้มอย่างขมขื่น
เขาไม่กล้าใช้เล่ห์กลกับน้องชายคนเล็ก เนื่องจากน้องชายอาจเข้าไปในเมืองและขอให้ใครสักคนอ่านหนังสือสัญญาฉบับนี้ให้ฟัง หากหยุนลี่เซี่ยวรู้ความจริงเข้า เขาต้องอาละวาดแน่นอน
คนเท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า* และไม่กลัวการยั่วยุใด ๆ
*คนเท้าเปล่าไม่กลัวการใส่รองเท้า หมายถึง คนที่ไม่มีอะไรให้เสียแล้ว ย่อมไม่กลัวอะไร
“คราวนี้น้องสามพอใจหรือยัง?” แม่นางจ้าวเอ่ยถามเสียงเรียบขณะทำความสะอาดจานหมึกและพู่กัน
หยุนลี่เซี่ยวพับหนังสือสัญญารับผลประโยชน์พลางกอดไว้ในอ้อมแขนก่อนกล่าวอย่างร่าเริง “พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าต่อไปนี้เราจะร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง ย่อมเป็นเช่นนั้น” หยุนลี่จงรีบพยักหน้าทันที “หนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์* พี่น้องรักใคร่!”
*หนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ หมายถึง เมื่อคนหนึ่งโดนทำลายจนพ่ายแพ้ คนอื่นก็แพ้ตามไปด้วย เมื่อคนหนึ่งเจริญขึ้น คนอื่นก็เจริญขึ้นด้วย
คนสองคนที่เพิ่งสงสัยในตัวกันและกันกลับจับมือคืนดีพูดคุยด้วยกันอย่างเป็นมิตรภายในพริบตา
หยุนเชวี่ยงอขาข้างที่เป็นตะคริวเล็กน้อยก่อนกวาดสายตามองทั้งสองคนก่อนครุ่นคิดภายในใจ
โอ้ ช่างมีความสุขกันเสียจริง
“พี่ใหญ่ ท่านสัญญาว่าจะปันผลประโยชน์ให้พี่สาม แต่ท่านกลับปล่อยให้ข้าต้องเผชิญปัญหาอยู่คนเดียว!”
หยุนลี่จงทำให้หยุนลี่เซี่ยวมั่นใจในตัวเขามากขึ้น เมื่อเห็นดังนั้นหยุนชิ่วเอ๋อจึงรู้สึกเสียใจจึงส่งเสียงโวยวาย
“ท่านพ่อ แล้วชิ่วเอ๋อเล่า?”
ผู้เฒ่าหยุนรู้สึกเคร่งเครียดอย่างมากเมื่อได้ยินคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ‘จะทำอย่างไรดี’ และ ‘ต้องทำอย่างไร’
“ทำอะไรได้เล่า? ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?!”
หยุนลี่จงคำรามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทว่าเขากลับยืนห่อไหล่และก้มศีรษะลงอย่างน่าสมเพชราวกับคนเขลา
ผู้เฒ่าหยุนถอนหายใจ เขาคิดว่าลูกชายคนโตจะมีพรสวรรค์และน่าเกรงขามเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นมากกว่านี้เสียอีก
เมื่อคิดเช่นนั้น เขาจึงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “หรือว่าเจ้าใหญ่จะไปเจรจาที่บ้านตระกูลหยูกับเจ้ารอง”
“ข้า…” หยุนลี่จงเงยหน้าขึ้นด้วยความขุ่นเคือง
“เจ้าเป็นถึงบัณฑิต ตระกูลหยูอาจจะเห็นแก่เจ้าแล้วยอมรามือก็เป็นได้” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวอย่างอับจนหนทาง
ตระกูลกำลังจะเสียเงินก้อนใหญ่ แต่กลับห่วงเพียงชื่อเสียงของตนเอง
“แต่ว่า… ท่านพ่อ…” หยุนลี่จงเผยสีหน้าลังเล ร่างกายของเขาสั่นเทา เขาไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวคำว่า ‘ไม่’