ตอนที่ 83 เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ทำผิด
ลูกชายคนคนโตเป็นถึงบัณฑิต อีกทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษซึ่งต่างจากลูกคนที่สองที่ชื่นชอบการเตะต่อยและใช้กำลัง ผู้เฒ่าหยุนทำได้เพียงปลอบใจตนเอง
ในเมื่อเรื่องเลยเถิดมาถึงจุดนี้แล้ว เขาจะถอยไม่ได้ต้องกัดฟันเดินหน้าต่อไป
“เฮ้อ…” ผู้เฒ่าหยุนถอนหายใจ เขาจะอับจนหนทางหรือหมดหวังไม่ได้
ข้าจะทำอย่างไรได้บ้าง?
เรียกเจ้ารองมาที่นี่!
เมื่อเป็นเช่นนั้น หยุนลี่เต๋อจึงถูกเรียกตัวไปยังห้องชั้นบนอีกครั้ง
ครานี้หยุนเชวี่ยเอ่ยปากขอติดตามไปด้วย นางไม่กลัวพวกเขาตำหนิแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสียท่านปู่ก็รู้สึกรำคาญนางมานานแล้ว
เพียงแต่ว่าผมของนางไหม้… หยุนเชวี่ยลูบผมหน้าม้าให้เข้าทรง ทว่ามันยังคงยุ่งเหยิงดังเดิม
“ท่านพ่อ… ท่านแม่”
“ท่านปู่… ท่านย่า”
บิดาและลูกสาวยืนเคียงข้างกันกลางห้องชั้นบน ด้านหน้าของพวกเขาคือสามีภรรยาสูงอายุ ถัดไปทางซ้ายมือคือหยุนลี่จง ส่วนทางขวามือคือหยุนชิ่วเอ๋อและแม่นางจ้าว
ผู้เฒ่าหยุนเหลือบมองไปทางด้านข้างของลูกชายพลางขมวดคิ้วแน่น
เมื่อวานนี้แม่นางจ้าวไปหาสะใภ้รองที่บ้านก่อนกลับมารายงานว่าผิวพรรณของนางเปล่งปลั่งซึ่งผิดกับคนป่วย อีกทั้งยังบอกว่านางต้องแสร้งป่วยแน่นอน
“เจ้ารอง เจ้าคิดว่าตระกูลหยูจะฟ้องร้องพวกเราหรือไม่?” ผู้เฒ่าหยุนเอ่ยถาม
“เอ่อ… ข้าคิดว่าไม่ขอรับ” หยุนลี่เต๋อตอบอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วถ้าพวกมันต้องการฟ้องร้องชิ่วเอ๋อจริง ๆ เล่า?”
“ท่านพ่อ เราตอบตกลงแต่งงานแล้ว อีกทั้งยังมีแม่สื่อเป็นพยาน เรื่องนี้…”
พวกเขาคืนของมงคลไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงถือว่าครอบครัวของเขาไม่มีอะไรติดค้างกับตระกูลหยูอีกต่อไป ทว่าการแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากมันเกิดปัญหาขึ้นจริง เขาคงเพิกเฉยไม่ได้
หยุนชิ่วเอ๋อยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางจึงตะโกนเสียงดังว่า “หากตระกูลหยูต้องการเงินยี่สิบตำลึงก็จ่ายให้พวกมันเสีย ท่านพ่อยังสามารถจ่ายหนี้จำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงให้พี่ใหญ่ได้เลย แต่เหตุใดท่านถึงทำเพื่อข้าไม่ได้?!”
ทันทีที่หยุนชิ่วเอ๋อพูดจบ หยุนลี่จงรู้สึกราวกับถูกกระชากหน้ากากในที่สาธารณะ ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีเขียวอย่างน่าประหลาดใจ
“ชิ่วเอ๋อ เรื่องนั้นมันเกี่ยวกับอนาคตของพี่ใหญ่ของเจ้า หากคำนึงถึงศักดิ์ศรีและความมั่งคั่งของตระกูลเรา เจ้าอย่าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้อีก” แม่นางจ้าวกล่าวตำหนิ
“ข้ากำลังจะถูกนำตัวขึ้นศาล ศักดิ์ศรีและความมั่งคั่งแบบใดกันที่ท่านพูดถึง!” หยุนชิ่วเอ๋อกล่าวด้วยความรำคาญก่อนสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของแม่นางจ้าว “ท่านพ่อจะลำเอียงรักแต่พี่ใหญ่ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“เจ้าจะตะโกนอะไรนักหนา!” ผู้เฒ่าหยุนตบลงบนโต๊ะอย่างเต็มแรง “อยากให้ชาวบ้านแห่กันมาดูละครปาหี่รึ?!”
“ท่านพ่อ!”
“หุบปาก!”
ผู้เฒ่าหยุนใช้ฝ่ามือฟาดเข้าที่ใบหน้าของหยุนชิ่วเอ๋ออย่างเต็มรักจนดัง “เพี๊ยะ” ก่อนที่นางจะล้มลงไปกองกับพื้น
หยุนชิ่วเอ๋อตัวสั่นสะท้านพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง
นางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหยุน อีกทั้งยังเป็นลูกรักของแม่เฒ่าจูด้วย ดังนั้นจึงไม่เคยถูกดุด่าและถูกทำร้ายร่างกายเช่นนี้
“ท่านแม่… ข้าไม่อยากอยู่แล้ว ท่านพ่อไม่เคยรักข้าเลย เงินแค่ยี่สิบตำลึงก็ให้ข้าไม่ได้ ฮือ ๆ ๆ”
เมื่อเห็นหยุนชิ่วเอ๋อร้องไห้ปานจะขาดใจ แม่นางจูจึงตบต้นขาและก่นด่าทันที “โอ้! ลูกเนรคุณ! ลูกทรพี! เงินเก็บมีตั้งมากมายแต่ไม่ยอมแบ่งให้ข้าสักเหรียญ! ต้องเห็นข้าตายก่อนรึ! หัวใจของข้าเจ็บปวดเหลือเกิน! ลูกชิ่วเอ๋อผู้น่าสงสารของแม่…”
แม่เฒ่าจูไม่ได้ด่าทอสวรรค์ ผืนดิน หรือหยุนลี่จงผู้ที่ผลาญทุกสิ่งอย่างของนาง แต่กลับตำหนิลูกชายคนที่สองผู้ซื่อสัตย์
หยุนเชวี่ยกระตุกแขนเสื้อของหยุนลี่เต๋อเบา ๆ อย่างทุกข์ใจ ขณะนี้ทั้งสองคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“น้องรอง เจ้ามีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่งไม่ใช่หรือ แบ่งเงินมาช่วยท่านพ่อหน่อยเถิด อย่าทำให้ท่านอับอายมากกว่านี้เลย” แม่นางจ้าวแสดงท่าที ‘เข้าอกเข้าใจผู้อื่น’
“น้องรอง ข้าเป็นพี่ใหญ่ย่อมห่วงใยครอบครัว พี่ใหญ่สาบานว่าในวันหน้าจะดูแลครอบครัวของเจ้าเป็นอย่างดี” หยุนลี่จงก้มศีรษะลงและละอายใจจนไม่กล้าสบตาของหยุนลี่เต๋อ “หรือว่าเจ้าจะช่วยเพียงครึ่งเดียวก็ย่อมได้ ช่วยท่านพ่อของเราเถิด เรื่องนี้มันจำเป็นจริง ๆ”
หยุนลี่เต๋อนิ่งอึ้ง
“เพียงแค่ครั้งเดียว ข้ารู้ว่าน้องรองมีเมตตา…” แม่นางจ้าวหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งเพื่อบีบบังคับอีกฝ่าย
สายตาของทุกคนภายในห้องรวมถึงผู้เฒ่าหยุนต่างจ้องมองไปยังหยุนลี่เต๋อเป็นตาเดียวกัน
“พี่ใหญ่ ท่านพ่อ…” หยุนลี่เต๋อกลืนน้ำลายก่อนกัดฟันกล่าวคำสามคำอย่างยากลำบาก “ข้าไม่มีเงิน”
อย่าว่าแต่เงินสิบตำลึง ต่อให้นับเงินจากการฆ่าหมูครั้งล่าสุดก็ยังไม่ถึงสองตำลึง แม้แต่ภรรยาของเขาป่วยทำงานไม่ไหว เขายังไม่มีเงินจ้างหมอมารักษาเลย
“หึ! ข้าเลี้ยงเจ้าปีศาจตนนี้มาจนโตได้อย่างไร! ข้าน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากเจ้าให้ตายตั้งแต่ยังเล็ก! เติบใหญ่แล้วกลับปฏิบัติกับข้าเช่นขอทาน!” แม่เฒ่าจูทุบหน้าอกพลางด่าทอเสียงดังลั่นบ้าน
“พี่รอง ข้าขอให้ท่านช่วยจ่ายเพียงครึ่งเดียว ท่านยังต้องการอะไรอีก!” หยุนชิ่วเอ๋อชี้ไปที่หยุนลี่เต๋อพลางกระทืบเท้า “ท่านพี่ไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือข้าใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่มีเงินจริง ๆ” หยุนลี่เต๋อเงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าหยุนด้วยสายตาแน่วแน่และสงบนิ่ง ไม่อ่อนไหวต่อเสียงโหยหวนของแม่เฒ่าจู
“ท่านพ่อ หากข้ามีเงิน ข้าจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจแน่นอนขอรับ แต่… ครอบครัวข้าขัดสนถึงขนาดที่เมียของข้าป่วย ข้ายังไม่มีเงินไปจ้างหมอให้มารักษา อีกทั้งลูก ๆ ของข้าสวมชุดเก่าซอมซ่อมาสองสามปีแล้ว แม้กระทั่งอุปกรณ์ในการเรียนตำราของเสี่ยวอู่ ข้าก็ยังไม่ได้ซื้อให้เขาเลย…” ดวงตาของหยุนลี่เต๋อแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
เหยุนลี่เต๋อไม่เคยพูดมากขนาดนี้มาก่อน ทว่าเวลานี้เขาต้องการสื่อสารทุกความรู้สึกที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ริมฝีปากของผู้เฒ่าหยุนขยับเล็กน้อย
ผู้เฒ่าหยุนยังไม่ทันเปล่งเสียงพูด หยุนลี่เซี่ยวก็ทุบประตูจากด้านนอกอย่างแรงจนประตูสั่นไหว “ปัง ปัง ปัง”
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้…”
“กลับไปซะ อย่ามายุ่งกับข้า!” ผู้เฒ่าหยุนคำรามเสียงดังด้วยความโกรธจัด
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่” หยุนลี่เซี่ยวไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ข้าได้ยินทุกอย่างที่พวกท่านพูดแล้ว เปิดประตูให้ข้าเสียที”
ใบหน้าของผู้เฒ่าหยุน หยุนลี่จง และแม่นางจ้าวพลันถอดสีในขณะที่ตัวแข็งทื่อเพราะความตกใจ
บุตรชายคนที่สามของตระกูลหยุนมีนิสัยอันธพาล แม้จะมีประตูกั้น เขาก็ยังรู้เรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ทุกอย่าง แล้วคิดหรือว่าเขาจะไม่รู้อุปนิสัยของคนในครอบครัว?
“เสียงตะโกนของเขาดังดีเสียจริง!” แม่นางจ้าวอดไม่ได้ที่จะจ้องมองหยุนชิ่วเอ๋อ “ถ้าอนาคตของพี่ใหญ่ของเจ้าพังทลาย ก็อย่าคิดถึงความมั่งคั่งและชีวิตที่ดีเลย มีหวังได้จมปลักอยู่ที่บ้านนอกตลอดชีวิตเป็นแน่!”
“ขะ… ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ข้างนอก” หยุนชิ่วเอ๋องุนงงไม่แพ้กัน
ทุกวันนี้นางถูกแม่นางจ้าวข่มตนจนแทบจะทนไม่ไหว และยังรู้สึกว่านางต้องการคุมอำนาจในบ้านหลังนี้อีกด้วย การแต่งงานของตระกูลหยูก็มีแต่ความบาดหมาง หากสุดท้ายแล้วเรื่องทั้งหมดนี้จบลงไม่สวยนางจะทำอย่างไร!
“เจ้าสาม เจ้าได้ยินอะไรบ้าง?” ผู้เฒ่าหยุนยืดตัวตรงพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หึหึ ท่านพ่อวัดใจข้าหรือ? อยากให้ข้าพูดจริง ๆ ใช่หรือไม่?” หยุนลี่จงหัวเราะอย่างในลำคอ “ได้ ข้าจะพูด… อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีคนนอก”
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นเจ้าของหนี้พนันหนึ่งร้อยสิบตำลึงใช่หรือไม่? เหตุใดท่านถึงไม่โกรธเคืองพี่รองเลยเล่า? ข้าคิดว่าท่านจะเป็นบัณฑิตที่รู้จักผิดชอบชั่วดีเสียอีก? พี่รอง… ท่านบอกว่าไม่ได้เป็นคนทำ แต่เหตุใดถึงยอมเป็นแพะรับบาปอย่างง่ายดาย สุดท้ายนี้ข้าขอเตือนท่านพ่อเอาไว้ว่าหากวันใดพี่ใหญ่ได้ทุกอย่างสมดังใจหวังแล้ว ระวังเขาจะเฉดหัวพวกเราทุกคนออกจากบ้าน…”