ตอนที่ 82 สมกับเป็นแม่คน

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 82 สมกับเป็นแม่คน

เมื่อชายแปลกหน้าจากไป หยุนลี่เต๋อก็ปิดประตูลานบ้านและลงกลอนทันที ไม่นานเสียงก่นด่าของแม่เฒ่าจูพลันดังลั่นราวกับฟ้าร้อง

“โอ้… เหตุใดชีวิตของข้าถึงลำเค็ญเพียงนี้! ชีวิตของข้าจะไม่มีความสุขไปจนตายเลยรึ! หรือว่าชีวิตคนแก่เช่นข้ามีราคาเพียงยี่สิบตำลึงเท่านั้น! เห็นแบบนี้แล้วเจ้าลูกทรพีคงพอใจยิ่ง!”

เสียงเล็กแหลมแสบแก้วหูของหยุนชิ่วเอ๋อดังขึ้น

“ตระกูลหยูต้องนำเรื่องของข้าไปฟ้องร้องที่สำนักงานบริหารแน่ ข้าอยากตาย! ฮือ ๆ ๆ”

แม่นางจ้าวเดินกรุยกรายออกมาจากปีกตะวันตกของบ้าน และมองเข้าไปในห้องโถงก่อนเดินกลับ

“ท่านพี่ผิดอะไร! หน้าของท่านบวมฉึ่งจนดูไม่ได้แล้ว ท่านถูกกระทำเพียงนี้…” แม่นางเฉินร้องไห้คร่ำครวญขณะนั่งบนธรณีประตูพลางตบต้นขาของตนเอง

ผู้เฒ่าหยุนนั่งนิ่งใบหน้าของเขาดำคล้ำด้วยความโกรธ ในขณะที่มือทั้งสองข้างสั่นเทา

“หึ น่าละอายเสียจริง!” หยุนลี่จงกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกขณะจ้องมองไปยังลานบ้าน

ทันใดนั้นหยุนลี่เต๋อก็หันหลังเดินออกไป

“น้องรอง เจ้ากำลังจะไปไหน?”

“กลับบ้านขอรับ เมียข้าป่วยอยู่”

“มานี่สิ ท่านพ่อมีเรื่องจะพูดด้วย”

หยุนลี่เต๋อเดินเข้าไปในห้องโถงพลางเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ท่านพ่อ”

“เขาพูดว่าอะไร?” ผู้เฒ่าหยุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

หยุนลี่จงรีบรินน้ำชาให้บิดา “ท่านพ่อดื่มชาก่อนขอรับ”

“ข้าไม่มีอะไรจะพูดขอรับ ไปกันเถอะ” หยุนลี่เต๋อตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ข้ากำลังจะให้เหตุผลกับเขา แต่ว่า…” หยุนลี่จงกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เหตุใดท่านพ่อไม่หยุดเขาเล่า? ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าบัณฑิตอย่างข้าต้องโน้มน้าวคนพาล”

หยุนเชวี่ยยืนหันหลังพิงกำแพงพลางเยาะเย้ยในใจว่า ‘การกระทำที่ไม่ทันกาล’ ก่อนกล่าวออก “ท่านลุงควรเป็นคนไปเจรจากับตระกูลหยูนะเจ้าคะ!”

หยุนลี่จงผงะ

“ท่านลุงมีความรู้และมีวาทศิลป์ หากท่านลุงไปเจรจา ตระกูลหยูจะต้องเชื่อมั่นในคำพูดของท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”

หยุนเชวี่ยยืนอยู่ด้านนอกห้องโถงพร้อมกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาเกินไปเพื่อให้ทุกคนในห้องได้ยิน

หยุนลี่จงเผยสีหน้าอับอายขณะตกตะลึงจนกล่าวไม่ออก จากนั้นชี้นิ้วไปยังหยุนลี่เต๋ออีกครั้ง “น้องรอง เจ้าไม่สั่งสอนลูกสาวหรือ! ช่างดีเสียนี่กระไร!”

หยุนลี่เต๋อไม่สนใจคำพูดของพี่ชาย

ผู้เฒ่าหยุนถอนหายใจ

“ท่านพ่อ ข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”

“เจ้ารอง…”

หยุนลี่เต๋อก้าวไปข้างหน้าสองก้าวก่อนหันกลับมา “ขอรับท่านพ่อ?”

“ไม่มีอะไร กลับไปเถิด” ผู้เฒ่าหยุนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

หยุนลี่จงกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็เก็บงำเอาไว้

หยุนเยี่ยนนั่งยอง ๆ เพื่อก่อไฟและล้างจานชามอยู่ด้านนอกปีกตะวันตกของบ้าน

ขณะนี้เสี่ยวอู่กลับมาแล้ว มือเล็ก ๆ และบอบบางของเขาถือมีดทำครัวเอาไว้เพื่อหั่นถั่วฝักยาว ด้านข้างมีแตงกวาที่ล้างเรียบร้อยแล้วอยู่ในชามกระเบื้องใบใหญ่

หยุนเชวี่ยหยิบแตงกวาขึ้นมาสะบัดน้ำออกก่อนกัดกิน “เจ้าเป็นคนเก็บผักหรือ?”

เสี่ยวอู่พยักหน้า

“รู้หรือไม่ว่าพี่สาวคนนี้ชอบถั่วฝักยาวและแตงกวา?”

เสี่ยวอู่พยักหน้าอีกครั้ง

หยุนเชวี่ยเผยสีหน้าดีใจ “เจ้าหนูต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน!”

มีความห่วงใยตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งหน้าตายังหล่อเหลาไม่เบา หากโตกว่านี้เขาจะไม่ถูกรายล้อมไปด้วยหญิงสาวหรือ?

เสี่ยวอู่เอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อหลบฝ่ามือของพี่สาว

สีหน้ามีความสุขของหยุนเชวี่ยพลันจางหายไปทันที “หืม เจ้าไม่ชอบพี่สาวแล้วหรือ?”

เสี่ยวอู่นิ่งเงียบ ทว่าส่งสายตาแทนคำตอบ

“อ้อ ข้าเคยเห็นเจ้าเปลือยกายล่อนจ้อนตอนเด็ก ๆ ด้วยล่ะ” หยุนเชวี่ยใช้แตงกวาที่เหลืออยู่ครึ่งลูกเคาะหน้าผากของน้องชาย

ใบหน้าของเสี่ยวอู่แดงก่ำทันที เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าพี่สาว

“ฮ่าฮ่าฮ่า” หยุนเชวี่ยแหงนหน้าขึ้นฟ้าพร้อมหัวเราะอย่างมีชัย

หยุนเยี่ยนที่อยู่ข้างเตาไฟอดไม่ได้จึงกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงชอบหยอกล้อน้องเล็กนัก มาช่วยข้าจุดไฟเร็วเข้า”

“อืม” หยุนเชวี่ยตอบพลางพับแขนเสื้อก่อนหักกิ่งไม้แล้วโยนเข้ากองไฟ “วันนี้เสี่ยวอู่เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง?”

เสี่ยวอู่เพิกเฉยต่อคำถามของนาง

“พี่สาวเพียงแค่หยอกล้อ แต่เหตุใดเจ้าถึงคิดเล็กคิดน้อยและโกรธข้าเล่า”

เสี่ยวอู่ขยับตัวหันหลังให้พี่สาว

หยุนเยี่ยนกล่าวเย้าแหย่ “เจ้ามักแกล้งน้องเสมอ สมควรโดนเขาเมินเฉยแล้วล่ะ”

หยุนเชวี่ยแลบลิ้นออกมา ก่อนอ้าปากสูดลมเข้าเต็มปอดและเป่าลมไปทางเตาไฟอย่างเต็มกำลัง

“อย่า…”

หยุนเยี่ยนพูดยังไม่ทันจบ กองไฟในเตาก็ปะทุลุกโชนออกมา

“โอ้… พี่สาว ผมของข้าถูกเผา!”

กลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งในอากาศ…

ขณะรับประทานอาหารกลางวัน ทั้งห้าคนนั่งเป็นวงกลมรอบโต๊ะไม้เล็ก ๆ

หยุนเชวี่ยถือชามข้าวในมือพลางเบะปากด้วยความขุ่นเคือง

“ทำหน้าดี ๆ หน่อยสิ เดี๋ยวผมก็ยาวแล้ว ไม่เป็นไรหรอก…”

แม่นางเหลียนยื่นมือออกไปลูบผมหน้าม้าของลูกสาว จนในที่สุดนางก็อดกลั้นไม่ไหวจึงระเบิดหัวเราะออกมา

เมื่อเห็นมารดาระเบิดหัวเราะ หยุนเยี่ยนจึงหัวเราะตาม

หยุนลี่เต๋อก็หัวเราะ

แม้แต่เสี่ยวอู่ยังหัวเราะเลย!

หยุนเชวี่ยแทบน้ำตาไหล “ท่านแม่…”

“เอาล่ะ ๆ มันจะยาวเหมือนเดิมภายในอีกสองสามเดือน” แม่นางเหลียนไม่อยากกล่าวปลอบโยนเพื่อเอาใจลูกสาว

สองสามเดือน!

หยุนเชวี่ยคิดว่าผมของนางน่าเกลียด… มันจบแล้ว นางไม่มีหน้าไปเจอคนอื่น และเหอยาโถวจะต้องหัวเราะนางจนขาดใจตายอย่างแน่นอน

“แม่สาวน้อย บางครั้งก็ฉลาดมาก แต่เหตุใดบางครั้งเจ้ากลับโง่งมถึงเพียงนี้?” หยุนลี่เต๋อลูบศีรษะของลูกสาวด้วยความเอ็นดู

“ห้ามบอกคนอื่นนะ…”

“แม้ไม่พูด แต่คนอื่นก็เห็นอยู่ดี” หยุนเยี่ยนกล่าวอย่างจริงใจ

“พี่สาว…”

“พอ ๆ หยุดพูดแล้วกินข้าวเถิด…”

ภายในบ้านมีกระจกทองเหลืองขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งเป็นสินสอดของแม่นางเหลียน

หยุนเชวี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง นางหันด้านที่เป็นทองเหลืองเข้าหาตนเองก่อนมองเข้าไปในกระจกและหัวซ้ายขวา ก่อนขยี้ผมจนยุ่งเหยิงด้วยความเศร้าสร้อย

“ท่านแม่ ข้าน่าเกลียดมาก!”

แม่นางเหลียนตอบกลับ “ไม่หรอก อีกสองสามวันเจ้าจะชินกับมันเอง”

หยุนเชวี่ย..

สมกับเป็นแม่คนเสียจริง!

ภายในห้องโถงใหญ่

แม่นางจ้าวถือแบบปักผ้าสองสามแบบแล้วเปรียบเทียบกับผ้าซาตินสีเหลืองอ่อน “ชิ่วเอ๋อ เจ้าอยากได้ลายเป็ดยวนยางเล่นน้ำ*หรือว่าลายผีเสื้อและดอกไม้เล่า?”

*เป็ดยวนยางเล่นน้ำ แปลตรงตัวว่า เป็ดแมนดารินเล่นน้ำ สื่อถึงคู่รัก การพลอดรัก และงานมงคลสมรส มักใช้เป็นสัญลักษณ์มงคลในงานแต่งงาน

“หน้าสิ่วหน้าขวาน พี่สะใภ้ใหญ่ยังอยากปักผ้าอีกหรือเจ้าคะ!” หยุนชิ่วเอ๋อมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า

เดิมทีแม่นางจ้าวต้องการเอาใจหยุนชิ่วเอ๋อ แต่ใครจะรู้เล่าว่าการทำเช่นนั้นมันน่าเบื่อเกินทน นางจึงหันหน้าหนีด้วยความโกรธเคือง

“ท่านพ่อ หากพรุ่งนี้ตระกูลหยูไปฟ้องร้องที่สำนักงานบริหารจริงจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ?” หยุนชิ่วเอ๋อเอ่ยถามพลางเผยสีหน้าบูดบึ้งก่อนคว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา

“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าคิดว่าการฟ้องร้องที่สำนักงานบริหารนั้นง่ายหรือ? มันกำลังปั่นหัวเรา เพราะต้องการให้พวกเราหลงกล” หยุนลี่จงแสดงท่าทีวิเคราะห์ราวกับมีความรู้มากมาย

“ไม่มีอะไรอย่างนั้นรึ? ท่านรับประกันได้หรือไม่เล่า?”

“คนทั่วไปมักกลัวการถูกฟ้องร้อง…”

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากชีวิตของข้าถูกทำลาย?” หยุนชิ่วเอ๋อจ้องไปที่พี่ชายด้วยสายตาโกรธเคือง “หากข้าโดนฟ้อง ท่านก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นขุนนาง!”

หยุนลี่จงนิ่งอึ้ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านทันทีที่ได้ยิน

“ท่านพ่อพูดอะไรสักอย่างสิเจ้าคะ พวกเราควรทำอย่างไรดี?” หยุนชิ่วเอ๋อกระทืบเท้าด้วยความกังวล

“ถูกต้องขอรับท่านพ่อ” หยุนลี่จงกล่าวเห็นด้วย “ข้าควรทำอย่างไร?”

ผู้เฒ่าหยุนนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้า ๆ เขาจ้องมองลูกชายคนโตผู้ขี้ขลาดด้วยความผิดหวังอย่างสุดจะพรรณนา

ด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัว ตลอดยี่สิบปีมานี้หยุนลี่จงจึงไม่ต้องทำงานและทำเพียงอ่านตำราของบัณฑิต แต่ไม่นานมานี้ความจริงกลับถูกเปิดเผยว่าเขาเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ…

“ท่านพ่อขอรับ?” เมื่อเห็นว่าชายชรานั่งนิ่ง หยุนลี่จงจึงเอ่ยเรียกบิดาเบา ๆ อีกครั้งพลางเผยแววตาไร้เดียงสาราวกับเด็ก