ตอนที่ 242 เจรจาแลกเปลี่ยน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

วันที่สามหลังจากนายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้เสียชีวิต ตระกูลกู้ก็เริ่มแจ้งข่าวเสียชีวิตไปยังจวนต่างๆ บรรดานายท่านผู้เฒ่าและนายท่านของตระกูลกู้ก็ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้นแล้ว จึงเริ่มแบ่งกันไปจัดเตรียมเรื่องต่างๆ ของแต่ละจวน เฉิงฉือถึงพอจะปลีกตัวออกมาได้บ้าง นั่งคุยกับอู๋ซิ่วผู้เป็นเจ้าเมืองจินหลิงอยู่ในห้องหนังสือ “…ใต้เท้าอู๋ดำรงตำแหน่งครบสามปีแล้ว ผลงานก็ได้รับการประเมินจากราชสำนักว่า ‘โดดเด่น’ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้วางแผนอย่างไรบ้าง”

 

 

รับราชการอย่างมือสะอาดมาสามปี เมื่อถูกระบบสินบนกลืนกิน ก็เริ่มบังเกิดความโลภ โดยเฉพาะเมืองจินหลิงซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่ขาดแคลนความร่ำรวยแห่งนี้

 

 

ยามอยู่ต่อหน้านายท่านสี่ของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูผู้ที่ทำให้ตนเกือบจะต้องยกตำแหน่งเจ้าเมืองให้ผู้อื่นไปแล้วผู้นี้ อู๋ซิ่วไม่กล้าวางมาดเจ้าเมืองได้จริงๆ เขากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ข้าจะมีแผนอะไรได้ หากมิใช่กระทำตามที่ราชสำนักจัดเตรียมเอาไว้ให้?”

 

 

“อ้อ!” เฉิงฉือยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ คำหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ความจริงแล้วใต้เท้าอู๋อยู่เมืองจินหลิงก็อำนวยความสะดวกให้ตระกูลเฉิงของพวกข้ามาไม่น้อย นี่หากว่าเปลี่ยนพ่อเมืองคนใหม่…ก็คงจะยุ่งยากจริงๆ เสียแล้ว!”

 

 

อู๋ซิ่วได้ยินก็แล้วใจกระตุก รีบกล่าวขึ้นว่า “ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่อยากจากไป! แต่บางครั้งชีวิตข้าราชการก็ลำบาก เป็นเรื่องที่เลือกไม่ได้!”

 

 

เฉิงฉือพยักหน้า กล่าวขึ้นอย่างเห็นด้วยว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้!”

 

 

อู๋ซิ่วได้ยินแล้วก็อดค่อนแคะอยู่ในใจไม่ได้

 

 

คิดในใจว่าท่านต้องการอะไรก็กล่าวออกมาตามตรงเถิด มิใช่ว่าข้าต้องกระทำตามนั้นหรืออย่างไร ข้าทำตามที่ตระกูลเฉิงของพวกท่านต้องการยังมากไม่พอหรืออย่างไร ท่านมาแสร้งทำเป็นร้อนใจต่อหน้าข้าเพื่ออันใด! ยังจะเอาตำแหน่งเจ้าเมืองจินหลิงมาข่มขู่ข้าอีก! ข้า…ข้า…

 

 

เขารำพึงคำว่า ‘ข้า’ ไปกว่าครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำไม่สุภาพออกมาสักประโยค คิดอยากจะต่อรองกับเฉิงฉืออีกสักสองสามกระบวนท่า สร้างความรำคาญให้เฉิงฉืออีกสักหน่อย ทว่ามีพ่อบ้านของตระกูลกู้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่ นายท่านผู้เฒ่าใหญ่ของพวกข้าเชิญท่านไปคุยด้วยขอรับ บอกว่านายท่านหกของตระกูลฟางแห่งเมืองซูเฉิงเดินทางมา เชิญนายท่านสี่ไปอยู่เป็นเพื่อนขอรับ”

 

 

อู๋ซิ่วลอบร้องอยู่ในใจว่า ‘แย่แล้ว’ แล้วก็กล่าวบริภาษอยู่ในใจไปอีกหนึ่งประโยค

 

 

หากรู้เนิ่นๆ ว่าเฉิงฉือจะยุ่งขนาดนี้เขาคงไม่ทำตัวไร้เหตุผล คงจะพูดกับเฉิงฉือไปตรงๆ แล้วว่าเขายังอยากจะเป็นเจ้าเมืองของจินหลิงต่อไปอยู่

 

 

แย่แล้ว หากเฉิงฉือจากไปเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะมีโอกาสได้คุยกับเฉิงฉือตามลำพังเช่นนี้อีก

 

 

หากเฉิงฉือคิดว่าเขากำลังอวดเก่ง คิดอยากจะต่อรองเงื่อนไขกับตระกูลเฉิง แล้วเกิดความคิดจะหาลูกศิษย์ลูกหาหรือสหายเก่าแก่ของตระกูลเฉิงมาเป็นเจ้าเมืองจินหลิงแทน ถึงตอนนั้นแม้อยากจะร้องไห้ก็คงไม่มีที่ให้เขาได้ร้องไห้แล้ว!

 

 

เขาพลันลุกขึ้นอย่างร้อนรน กำลังคิดจะถามว่านายท่านหกของตระกูลฟางแห่งซูเฉิงผู้นั้นคือใครอยู่นั้น ก็ได้ยินเฉิงฉือเอ่ยขึ้นก่อนว่า “นายท่านหกของตระกูลฟางแห่งซูเฉิง…คือฟางต้าเซี่ยนหรือ”

 

 

ฟางเฉิง มีอีกนามว่าต้าเซี่ยน เป็นจ้วงหยวนประจำปีการสอบปิ่งซวีรัชศกจื้อเต๋อปีที่เก้า เคยดำรงตำแหน่งเจ้ากรมตรวจตราของกรมการตรวจตรา หลังจากฟ้องร้องว่านถงผู้เป็นขันทีสนองพระโอษฐ์ในตอนนั้นจนถูกองค์ฮ่องเต้สั่งย้ายไปเป็นราชครูราชบัณฑิตที่สำนักฮั่นหลินแล้ว เขาก็ลาออกจากราชสำนักแล้วไปใช้ชีวิตเยี่ยงผู้เฒ่าเถาที่ซูเฉิง มีชื่อเสียงในหมู่บัณฑิตเป็นอย่างมาก

 

 

พ่อบ้านผู้นั้นรีบกล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ความจำดียิ่ง เป็นใต้เท้าฟาง ฟางต้าเซี่ยงผู้ที่ต้องออกจากราชการด้วยเรื่องฟ้องร้องผู้นั้นขอรับ” ท่าทางกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก

 

 

เป็นเขาจริงๆ ด้วย!

 

 

อู๋ซิ่วตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ

 

 

นี่หากว่าได้คุยกับฟางต้าเซี่ยงสักสองสามประโยค ต่อไปยังจะมีใครกล้าดูถูกเขาอีก

 

 

เหตุใดเมื่อครู่นี้เขาถึงคิดไม่ถึงกันนะ

 

 

ตนควรจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรแล้วตามเฉิงฉือไปด้วยดีหรือไม่

 

 

ขณะที่อู๋ซิ่วกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเฉิงฉือร้อง “เอ๋” ออกมาคำหนึ่งพร้อมกับลุกขึ้น เดินออกไปยังด้านนอกไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “เขามาได้อย่างไร จากซูเฉิงมาที่นี่ต้องใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งเดือนมิใช่หรือ”

 

 

พ่อบ้านรีบก้าวเท้าตามทว่าก็ยังรักษาความเร็วให้ช้ากว่าเฉิงฉือครึ่งก้าวและเว้นระยะห่างจากเฉิงฉืออยู่ครึ่งก้าว กล่าวขึ้นว่า “นายท่านหกฟางเป็นสหายของนายท่านเก้าของพวกข้า ครอบครัวน้องสาวของเขาสู่ขอสะใภ้ เขาและหลานชายสองคนมาร่วมงานเลี้ยงด้วย ใครจะรู้ว่าพอมาถึงเจิ้นเจียงก็ได้ข่าวว่านายหญิงผู้เฒ่าของพวกข้าเสียชีวิต จึงเร่งเดินทางมาจากเจิ้นเจียงทั้งคืนเพื่อมาเคารพศพ นายท่านเก้าของพวกข้าวันที่สองเดือนสองถึงจะเร่งกลับมาถึง ในบ้านไม่มีผู้ใดพอจะไปอยู่เป็นคู่สนทนากับนายท่านหกฟางได้ขอรับ…”

 

 

เฉิงฉือนึกขึ้นได้

 

 

มิใช่ว่าน้องสาวของฟางต้าเซี่ยงก็คือสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียง แม่สามีของโจวชูจิ่นพี่สาวของโจวเสาจิ่นหรอกหรือ

 

 

โลกช่างกลมยิ่งนัก!

 

 

อย่างไรก็ตาม แวดวงของคนตระกูลอย่างพวกเขานี้โดยปกติก็มักจะแคบเช่นนี้ เดินไปเดินมาก็อาจจะได้พบกัน ดึงออกมาสักคนหนึ่งก็อาจพบว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันอยู่

 

 

เฉิงฉือและพ่อบ้านเดินไปที่ห้องรับรองแขกข้างๆ ทิ้งอู๋ซิ่วเอาไว้ตรงนั้น

 

 

อู๋ซิ่วจะตามไปด้วยก็ไม่ใช่ จะยืนอยู่ตรงนั้นต่อก็ไม่ใช่ โชคดีที่พ่อบ้านของตระกูลกู้ต่างล้วนมีไหวพริบ รีบเชิญเขาไปดื่มน้ำชาที่ห้องหนังสือเล็กที่อยู่ข้างๆ

 

 

“ไม่เป็นไร!” ในใจของเขายังเอาแต่คิดว่าต้องรีบไปคุยกับเฉิงฉือให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นหากปล่อยเอาไว้นานก็ยิ่งฟุ้งซ่าน เขาเกรงว่าคืนนี้อาจจะหลับตาลงไม่ได้ อู๋ซิ่วบอกพ่อบ้านผู้นั้นว่า “หากนายท่านสี่ตระกูลเฉิงออกมาแล้วให้ไปบอกข้าด้วย ข้ามีเรื่องต้องการคุยกับนายท่านสี่ตระกูลเฉิง” จากนั้นตกเงินรางวัลให้บ่าวชายผู้นั้นเป็นเศษเงินไปสองก้อน

 

 

บ่าวชายไม่กล้ารับเงินเอาไว้ ใช้มือตบหน้าอกเป็นการรับประกันว่าหากเฉิงฉือออกมาจากห้องรับรองแขกแล้วจะรีบไปบอกอู๋ซิ่ว นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าห้องหนังสือเล็กข้างๆ นี้เป็นห้องสำหรับเขาเพียงผู้เดียว พ่อบ้านชี้แจงว่านี่เป็นความตั้งใจของนายท่านผู้เฒ่าใหญ่ของพวกเขาที่กำชับลงมาว่าให้ใช้เป็นสถานที่รับรองเขาโดยเฉพาะ ในใจของอู๋ซิ่วถึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขานั่งดื่มชาอยู่ในห้องหนังสือเล็กจนแน่นท้อง กระทั่งถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว เฉิงฉือก็ยังไม่ปรากฏกายออกมา เขาเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา สั่งคนข้างกายว่า “เจ้าไปดูสักหน่อยว่านายท่านสี่ของตระกูลเฉิงกำลังทำอะไรอยู่ ไม่น่าจะคุยกับฟางต้าเซี่ยงทั้งเช้าหรอกกระมัง ข้าอุตส่าห์ทิ้งงานที่สำนักงานมาเพื่อมานั่งซังกะตายอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ”

 

 

บ่าวข้างกายไม่กล้าชักช้า รีบวิ่งไปที่ห้องรับรองแขกอย่างรวดเร็ว

 

 

ไม่นาน บ่าวข้างกายก็กลับมา กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “หลังจากนายท่านสี่ตระกูลเฉิงออกมาจากห้องรับรองแขกก็ถูกนายท่านผู้เฒ่าสามของตระกูลกู้ดึงตัวไปที่ห้องหนังสือด้านหน้า บอกว่าเซินชิงอวิ๋นมา กระทั่งนายท่านสี่ตระกูลเฉินออกมาจากห้องหนังสือแล้ว ระหว่างทางได้พบกับหลินเจี้ยวอวี้ นายท่านสี่เฉิงกับหลินเจี้ยวอวี้ยืนคุยกันที่ข้างทางกว่าครึ่งค่อนวันแล้ว…”

 

 

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น บ่าวชายผู้หนึ่งของตระกูลกู้ก็วิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้า หลินเจี้ยวอวี้มาขอพบขอรับ!”

 

 

มิใช่ว่าหลินเจี้ยวอวี้กำลังคุยกับเฉิงฉืออยู่หรอกหรือ

 

 

อู๋ซิ่วประหลาดใจพลางกล่าว “เชิญเขาเข้ามา!”

 

 

บ่าวชายรีบไปเชิญหลินเจี้ยวอวี้เข้ามา

 

 

ทั้งสองคนสนทนาอยู่ในห้องหนังสือเล็กไปกว่าครึ่งค่อนวัน กระทั่งตอนที่บ่าวชายของตระกูลกู้มาเชิญพวกเขาไปรับประทานอาหารนั้น สีหน้าของทั้งสองคนต่างดูไม่ค่อยดีเล็กน้อย

 

 

บ่าวชายไม่กล้ากล่าวอะไรมาก เดินนำทั้งสองคนไปที่ห้องโถงอย่างระมัดระวัง

 

 

เพียงมองอู๋ซิ่วก็เห็นเฉิงฉือที่กำลังยืนคุยกับบุรุษชราผอมสูงสีหน้าเหลืองผู้หนึ่งอยู่

 

 

คนผู้นั้นคงจะเป็นฟางต้าเซี่ยงกระมัง

 

 

ไม่รู้ว่าเฉิงเซียงชิงผู้นั้นไปทำอะไรให้เฉิงฉือไม่พอใจ ทั้งที่เป็นหลานชายของตัวเอง แต่ก็ยังต้องการตัดอนาคตของเฉิงเซียงชิง โดยไม่กลัวว่าด้วยเหตุนี้จะทำให้ตระกูลเฉิงขาดแขนขาไปคู่หนึ่ง นี่ก็ออกจะ…รุนแรงเกินไปหน่อยกระมัง!

 

 

ยังมีหลินเจี้ยวอวี้อีก ปกติดูเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ใครจะรู้ว่ากลับเป็นอาวุธในคราบผู้ทรงคุณธรรมผู้หนึ่ง ไม่ขอพูดถึงเรื่องที่เขาร่วมมือกับเฉิงฉือ ยังมากล่าวอะไรทำนองว่า ‘บัณฑิตถูกทำลาย ก็เพราะความเก่งกาจอยู่เหนือคุณธรรม’ ออกมาอย่างหน้าไม่อาย กล่าวเสียประหนึ่งว่าเขามีคุณธรรมสูงส่งอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วก็เพียงต้องการประจบประแจงซอยจิ่วหรูก็เท่านั้น!

 

 

อู๋ซิ่วยิ้มเย็นอย่างดูแคลนอยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มยินดีประหนึ่งสายลมยามวสันต์ขณะเดินไปหาเฉิงฉือ

 

 

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เดินเข้าไปใกล้ ก็มีบ่าวชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่า “คุณชายหกกลับมาแล้วขอรับ!”

 

 

เฉิงฉือรีบลุกขึ้น กล่าว “ขออภัย” ฟางต้าเซี่ยงเสียงหนึ่ง กล่าวอีกว่า “ข้าเพิ่งส่งจิ่วเนี่ยออกนอกเมืองไปช่วงเช้า ตกกลางคืนนายหญิงผู้เฒ่าก็เสียชีวิต ตอนนั้นพวกข้าไม่ทันได้คิดเรื่องส่งคนไปตามตัวจิ่วเนี่ย…”

 

 

ฟางต้าเซี่ยงรีบกล่าว “รีบไปเถิดๆ!”

 

 

เฉิงฉือรีบออกจากห้องโถงไป

 

 

อู๋ซิ่วจำต้องรั้งอยู่รับประทานมื้อเที่ยงที่ตระกูลกู้

 

 

แต่กระทั่งจบมื้ออาหารเที่ยงไปแล้ว เขาก็ยังไม่ได้พบเฉิงฉือ

 

 

เขาถามบ่าวชายที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่าเฉิงฉือไปไหน บ่าวชายรีบวิ่งออกไปถามพ่อบ้าน แล้วกลับมารายงานเขาว่า “นายท่านสี่ถูกนายท่านผู้เฒ่าใหญ่เรียกตัวไป บอกว่าต้องการหารือเรื่องเชิญบรรดาไต้ซือของวัดจีหมิงมาประกอบพิธีทางศาสนาขอรับ”

 

 

เรื่องเช่นนี้ก็ต้องมาหาเฉิงฉือด้วยหรือ

 

 

เช่นนั้นคนของตระกูลกู้ทำอะไรกันอยู่

 

 

ไม่แปลกที่คนของตระกูลกู้จะไม่มีอะไรโดดเด่นเลย!

 

 

อู๋ซิ่ววิพากษ์อยู่ในใจ ได้แต่เดินไปหาเฉิงฉือด้วยตัวเอง

 

 

เนื่องจากเขาเป็นพ่อเมือง นายท่านผู้เฒ่าใหญ่ของตระกูลกู้จึงกล่าวทักทายเขาสองสามประโยคแล้วทิ้งห้องหนังสือให้เขากับเฉิงฉือ

 

 

อู๋ซิ่วเองก็ไม่อาจรักษาสีหน้าได้อีก กระซิบกล่าวกับเฉิงฉือว่า “ข้ากับหลินเจี้ยวอวี้ครุ่นคิดพิจารณากันกว่าครึ่งค่อนวัน คิดกันว่าปีนี้คงไม่ทันแล้ว การสอบของปีหน้า พวกเราค่อยคิดหาวิธีเลื่อนวันสอบเข้ามา ให้เขาพลาดการสอบก็แล้วกัน!”

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ผลการเรียนของเขาดีมากหรือ”

 

 

อู๋ซิ่วมองใบหน้าอบอุ่นและดวงตาสุกใสของเฉิงฉือนั่นแล้ว กล้ามเนื้อตากระตุกอย่างช่วยไม่ได้

 

 

นี่ต่างหากที่เป็นตัวร้ายผู้หนึ่ง

 

 

ด้วยเหตุนี้เขาถึงหาประโยชน์ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างว่านถงและหลีหย่งได้กระมัง

 

 

เขาหัวเราะสองครั้ง กล่าวขึ้นว่า “จื่อชวนกล่าวได้ถูกต้อง ข้าดูแล้วผลการเรียนของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร!”

 

 

เฉิงฉือหัวเราะออกมา

 

 

สีหน้าก็ยิ่งอบอุ่นมากยิ่งขึ้น

 

 

เขากล่าวเสียงเบาว่า “ถึงแม้จะกล่าวว่าเรื่องนี้ต้องให้หลินเจี้ยวอวี้ช่วยเหลือ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องรบกวนใต้เท้าอู๋อยู่ดี คงต้องขอให้ใต้เท้าอู๋ช่วยดูแลให้เป็นพิเศษ สามถึงห้าปีหลังจากนี้ ไม่ว่าใต้เท้าอู๋จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปอยู่ที่ไหนข้าก็วางใจลงได้แล้ว”

 

 

อู๋ซิ่วใจเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ โชคดีที่สีหน้ายังคงสงบเช่นเดิม กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นคงต้องให้เป็นไปตามคำอวยพรของจื่อชวนแล้ว!”

 

 

รอยยิ้มของเฉิงฉือกว้างมากยิ่งขึ้น

 

 

***

 

 

ส่วนโจวเสาจิ่นยืนอยู่นอกห้องชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลางยื่นศีรษะเข้าไปสอดส่องดู

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาร่างของเด็กสาวผมดำใบหน้าแดงเรื่อนั้นสะท้อนอยู่ในกระจก

 

 

นางหัวเราะร่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “เข้ามาเถิด! ไปยืนทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้นทำไม”

 

 

บรรดาสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ด้านในและด้านนอกต่างหัวเราะขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน

 

 

โจวเสาจิ่นเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากมาดูว่าอารมณ์ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะยื่นศีรษะเข้ามาก็ถูกท่านจับได้เสียแล้ว!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพร้อมกับมองสำรวจนางขึ้นลงครั้งหนึ่ง พยักหน้าพลางกล่าวว่า “อืม สีหน้าดูดีกว่าตอนที่เจอกันครั้งก่อนมาก แสดงว่าเจ้าอยู่ที่บ้านไม่ได้รับความลำบากอะไร”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า

 

 

ปัญหายากๆ ทั้งสองเรื่องยกให้ท่านน้าฉือช่วยจัดการแล้ว นางจึงกินอิ่มนอนหลับสบาย สีหน้าย่อมดูดีไปด้วย

 

 

นางคล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านเองก็ต้องทำใจยอมรับและผ่านความโศกเศร้านี้ไปให้ได้นะเจ้าคะ เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องปกติของคน พวกเราต่างก็เป็นห่วงสุขภาพของท่านเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า ถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ เพียงแต่ยากที่จะทำใจเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า อีกไม่กี่วันข้าก็จะดีขึ้นเอง”

 

 

ไม่มีคนคอยปลอบโยน ได้แต่ต้องจัดการกับอารมณ์ของตัวเองลำพัง…

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วกลับรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา

 

 

นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าเล่นไพ่ใบไม้เป็นเพื่อนท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ! ตอนนี้ข้าเก่งกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว ตอนอยู่บนเรือข้าขอคำแนะนำจากท่านน้าฉือเป็นพิเศษด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

“จริงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็เกิดความสนใจขึ้นมา

 

 

เจินจูและคนอื่นๆ รีบหยิบผ้ามาปูโต๊ะ

 

 

ตอนที่เฉิงฉือกลับมา ภายในเรือนหลักของเรือนหานปี้ซานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง

 

 

ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักลง

 

 

ซางมามารีบกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองมาหา กำลังเล่นไพ่ใบไม้เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าอยู่เจ้าค่ะ! บอกว่าผู้ใดแพ้ต้องปักศีรษะด้วยดอกไม้หนึ่งดอก ศีรษะของเจินจูล้วนเต็มไปด้วยดอกไม้ ฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูรองก็มีดอกไม้ปักอยู่ด้วยเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่ายอดเยี่ยมกว่าใคร มีดอกไม้ปักอยู่เพียงสองดอกเท่านั้น ส่วนคุณหนูรองงดงาม คนจึงงดงามกว่าดอกไม้ สงสารก็แต่เจินจูเท่านั้น เนื่องจากสวมชุดเพ่ยจื่อสีสันสดใสของสี่ฤดู ตอนนี้จึงเหมือนกับป้าดอกไม้ผู้หนึ่งก็ไม่ปาน…” ขณะที่กล่าว ป้าซางก็หัวเราะออกมาด้วย

 

 

…………………………….