ตอนที่ 243 กำจัดเชื้อไฟ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงฉือนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นแล้วก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

 

 

เขาถามเสียงเบาว่า “คุณหนูรองมาทำอะไร”

 

 

ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “บอกว่าท่านต้องไปช่วยงานที่ตระกูลกู้ กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะเหงา จึงมาอยู่สนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือพยักหน้า ไปเปลี่ยนชุดที่เรือนหลีอิน พูดถึงเรื่องของเซียวเจิ้นไห่กับไหวซานขึ้นมาว่า “…ท่าเรือของเขาสร้างไปถึงไหนแล้ว ดำเนินการไปแล้วหรือยัง”

 

 

“ดำเนินการแล้วขอรับ” ไหวซานจับตาดูทางโน้นมาโดยตลอด กล่าวอีกว่า “เมื่อสองวันก่อนเจี่ยงชิ่นเดินทางไปเทียนจินมาครั้งหนึ่ง เซียวเจิ้นไห่พาเขาไปเดินดูเป่ยถัง จากนั้นก็มีข่าวว่ากลุ่มเดินสมุทรสนใจท่าเรือเป่ยถังเป็นอย่างมากแพร่ออกมาขอรับ”

 

 

เฉิงฉือพึมพำกล่าว “แล้วทางด้านของสิบสามห้างไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรออกมาเลยหรือ”

 

 

ไหวซานส่ายศีรษะ

 

 

หลั่งเย่ว์เข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่ คุณหนูรองกำลังจะกลับแล้วขอรับ”

 

 

เฉิงฉือกล่าว “เจ้าไปบอกจื่ออัน ให้เขาส่งคนไปคุ้มกันคุณหนูรองกลับจวนสักสองคน” จากนั้นถามไหวซานว่า “ทางด้านของเจิ้งซื่อเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ช่วงเดือนแปดของปีที่แล้ว หลังจากที่คิดจะใช้ความสัมพันธ์ของตนที่มีกับราชสำนักมากดทับเจิ้งซื่อแต่ไม่สำเร็จ ฟางซินถงไม่มีทางเลือก จำต้องลดราคาลงแล้วขายยอดสั่งซื้อให้กับเจิ้งซื่อ

 

 

ไหวซานกล่าว “ยอดสั่งซื้อของเจิ้งซื่อภายในสองวันนี้ก็น่าจะแล้วเสร็จ แต่ทางด้านของฟางซินถง ดูเหมือนยังมีอีกหลายรายการที่ยังมีปัญหาอยู่อีกเล็กน้อย เกรงว่าอาจจะส่งมอบสินค้าไม่ได้ตรงตามเวลาขอรับ”

 

 

เฉิงฉือยิ้มเย็น กล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ฟางซินถงไม่กล้าไม่ส่งมอบ ถึงเวลาคงได้แต่ต้องหั่นราคาลงแล้วลงอีก แล้วขายยอดคำสั่งซื้อไปให้เจิ้งซื่อแทน อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ไป เกรงว่าเขาคงไม่อาจทำการค้าที่ข้องเกี่ยวกับผ้าต่างๆ ได้อีกแล้ว”

 

 

ไหวซานกล่าวอย่างลังเลว่า “เช่นนั้นพวกเราต้องส่งคนไปจับตาดูเขาหรือไม่ขอรับ”

 

 

“ไม่จำเป็น” เฉิงฉือกล่าว “ข้าเพียงต้องการสั่งสอนเขาครั้งหนึ่ง ให้เขาได้รู้จักดีชั่วก็เท่านั้น หากบีบคั้นเขาไม่ปล่อย รังแต่จะทำให้เขากับพวกเราอยู่ในภาวะที่หากปลาไม่ตายร่างแหก็ต้องขาด ไม่เกิดประโยชน์กับพวกเรา”

 

 

ไหวซานพยักหน้า

 

 

หลั่งเย่ว์วิ่งนำความออกไปบอกต่ออย่างรวดเร็วดั่งควันสายหนึ่ง

 

 

พอโจวเสาจิ่นรู้ว่าเฉิงฉือส่งคนมาคุ้มกันนางกลับบ้านเป็นการเฉพาะถึงสองคน นัยน์ตาจึงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กระทั่งเข้าประตู ถึงบ้าน และพบโจวชูจิ่นแล้ว ดวงหน้าก็ยังอาบไปด้วยความสุข

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องอะไรหรือถึงได้ดูมีความสุขขนาดนี้”

 

 

โจวเสาจิ่นจึงเล่าเรื่องที่ตนเล่นไพ่ใบไม้เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้พี่สาวฟัง

 

 

โจวชูจิ่นนึกภาพเหตุการณ์นั้นแล้วก็หัวเราะฮ่าดังลั่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวว่า “เจ้าคิดการละเล่นเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนเล่นไพ่พอดีเห็นว่าหม่าเหน่าทัดผมด้วยดอกโบตั๋นสีแดงดอกหนึ่ง จึงทราบว่าดอกไม้ที่เรือนดอกไม้ต่างเบ่งบานแล้ว คิดถึงเรื่องที่ว่าเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีสีสันเลยแม้แต่นิดเดียว จึงเสนอความคิดนี้ออกมา คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะตอบตกลงเจ้าค่ะ”

 

 

“ดอกไม้จำนวนมากขนาดนั้น มิใช่ว่าถูกเจ้าทำเสียของหมดเลยหรือ” โจวชูจิ่นกล่าวอย่างเคืองๆ

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะร่าพลางกล่าว “ก็ไม่ทั้งหมดหรอกเจ้าค่ะ หลังจากเล่นไพ่เสร็จแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าให้คนไปหาโถแก้วออกมาหลายใบ แล้วนำดอกไม้ปักลงไปในโถแก้ว ที่สำคัญก็คือ โถที่เต็มไปด้วยดอกซานฉานั้น ดูเสมือนกับลูกหนังดอกไม้กลมๆ ก็ไม่ปาน สวยงามยิ่งนัก ฮูหยินผู้เฒ่ายังให้ข้านำกลับมาให้ท่านสองดอกด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

ขณะที่นางกล่าว ชุนหว่านที่ตามเกี้ยวมาก็เข้ามา โจวเสาจิ่นให้นางนำดอกไม้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้เข้ามา

 

 

โจวชูจิ่นเห็นดอกไม้สีขาว ขนาดดอกใหญ่เท่าขอบชาม กลีบดอกแวววาวดุจหยก ตรงกลางเป็นสีแดงอ่อนๆ เผยให้เห็นความสดใสและความมีชีวิตชีวาหลายส่วนดอกนั้นแล้ว ก็กล่าวชมขึ้นว่า “ดอกไม้นี้งดงามเสียจริง! นี่มันพันธุ์อะไรหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นขยิบตาพลางกล่าว “ท่านลองทายดูสิเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าก็รู้ดีว่าข้าไม่ค่อยรู้เรื่องดอกไม้”

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ดอกซานฉากลีบสิบแปดชั้นเจ้าค่ะ!”

 

 

“ว่าอะไรนะ” โจวชูจิ่นเกือบจะกระโดดตัวโหยงขึ้นมา “มีดอกซานฉากลีบสิบแปดชั้นสีขาวด้วยหรือ”

 

 

“ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าพันธุ์หายากได้อย่างไรเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ยังมีพันธุ์สีขาวครึ่งหนึ่งสีแดงครึ่งหนึ่ง พันธุ์ที่แต่ละดอกมีหลายสี และพันธุ์สีแดงสดอีกด้วยเจ้าค่ะ…พันธุ์ที่สาขาหังโจวส่งมาให้ข้าก่อนหน้านี้ก็คือพันธุ์ดอกสีแดงสด เมื่อก่อนข้า…เอ่อ เคยเห็นพันธุ์สีขาวครึ่งหนึ่งสีแดงครึ่งหนึ่งมาก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าเรือนดอกไม้ของจวนหลักไม่เพียงมีพันธุ์สีแดงสดกับพันธุ์สีขาวครึ่งหนึ่งสีแดงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยังมีพันธุ์สีขาวล้วนอยู่ด้วย พันธุ์นี้หายากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้ว่าข้าชอบดอกไม้ ยังมอบว่านสิบแสงให้ข้าอีกหนึ่งกระถางด้วย ท่านพี่อยากไปดูหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นสนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ทั้งสองคนเดินไปที่เรือนดอกไม้

 

 

ทุกวันนี้เรือนดอกไม้ของตระกูลโจวควรค่าแก่การเที่ยวชมยิ่งนัก นอกจากดอกไม้ที่จวงซื่อเหลือทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีดอกไม้ที่โจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นเลี้ยงเอาไว้ และดอกไม้ที่สาขาหังโจวส่งมาให้ มีทั้งดอกไม้ทั่วๆ ไปอย่างดอกอวี้จาน และดอกมะลิ แล้วก็มีทั้งดอกกล้วยไม้ และดอกเบญจมาศสีหมึกอีกด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นชี้ไปที่กระถางขนาดเล็กกระถางหนึ่งที่อยู่ตรงกลางมีลักษณะคล้ายกับต้นตงชิง พลางกล่าว “ท่านพี่ดูนั่น ข้าคิดว่าจะส่งดอกไม้กระถางนี้ไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเจ้าค่ะ”

 

 

นั่นคือกระถางต้นประยงค์ ซึ่งจะมีดอกสีเหลืองขนาดเล็กเป็นจุดๆ กลิ่นหอมยิ่งนัก

 

 

โจวชูจิ่นนึกถึงเรือนหานปี้ซานที่มีแต่สีเขียวทั้งลานแล้ว รู้สึกว่าต้นนี้ช่างเหมาะสมยิ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าอยากจะเปลี่ยนกระถางใบใหม่หรือไม่ ข้าคิดว่าใช้กระถางสีขาวมันวาวน่าจะดูดีกว่า”

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นด้วย ทั้งสองพี่น้องจึงใช้ช่วงที่ไม่มีธุระอะไรมาช่วยกันเปลี่ยนกระถางใบใหม่ให้ต้นประยงค์ต้นนั้น

 

 

 

 

ณ เรือนหานปี้ซาน

 

 

เฉิงฉือเสร็จธุระแล้วก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหลัก

 

 

เห็นมีดอกซานฉาหลากหลายสีสันเสียบอยู่ในโถแก้ววางอยู่บนโต๊ะน้ำชาตรงตั่งหลัวฮั่นของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ยิ้มพลางมองสำรวจไปครั้งหนึ่ง ถึงได้ก้าวเข้าไปทำความเคารพมารดา

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเขาว่า “งานที่ตระกูลกู้เป็นอย่างไรแล้วบ้าง”

 

 

เฉิงฉือกล่าว “จิ่วเนี่ยกลับมาแล้ว ข้าก็เลยปลีกตัวออกมาได้ พรุ่งนี้ค่อยไปดูอีกสักหน่อย หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็จะรอให้ถึงวันที่เจ็ดแล้วค่อยไปดูใหม่อีกครั้งหนึ่งขอรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าเสาจิ่นมาหรือขอรับ”

 

 

ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงแย้มรอยยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “เด็กผู้นั้นช่างใส่ใจ กลัวว่าข้าอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะเหงา จึงมาเล่นไพ่ใบไม้เป็นเพื่อนข้า”

 

 

สายตาของเฉิงฉือชำเลืองมองไปที่ดอกซานฉาในโถแก้ว กล่าวขึ้นว่า “เรื่องงานแต่งของเสาจิ่น ข้ามีความคิดหนึ่ง…”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองปี้อวี้ที่กำลังค้อมตัวจัดจานผลไม้ให้พวกเขาอยู่ เอ่ยขึ้นว่า “ปี้อวี้ เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับนายท่านสี่”

 

 

ปี้อวี้ที่มีชนักติดหลังมือไม้สั่นไม่หยุด

 

 

ครั้งก่อนเป็นนางที่ไปแจ้งข่าวให้คุณหนูรอง

 

 

ครั้งนี้พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดถึงเรื่องงานแต่งของคุณหนูรองขึ้นมาก็ต้องการให้นางหลบออกไปก่อน

 

 

หรือว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะค้นพบอะไรบางอย่างเข้า?

 

 

นางรีบถอยออกไปอย่างร้อนรนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา

 

 

ความจริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ค้นพบอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ รู้สึกว่าการทำลายวาสนาครองคู่ของผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่ดี จึงหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้เกิดข้อสงสัยเอาไว้ก่อนดีกว่า

 

 

เมื่อเห็นว่าภายในห้องไม่มีผู้อื่นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าขยับกายเล็กน้อย ถึงได้กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้ามีความคิดอะไร”

 

 

เฉิงฉือกล่าว “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ของทั้งชีวิต การที่พวกเรามาตามหาคู่ครองที่เหมาะสมให้เสาจิ่นในเวลาอันจำกัดเช่นนี้ไม่ง่ายนัก ไม่สู้พวกเรากำจัดเชื้อไฟออกจากเตาเสียโดยการแนะนำหญิงสาวจากตระกูลที่จวนสี่ไม่อาจปฏิเสธได้ให้อี้เกอเอ๋อร์จะดีกว่า ให้ท่านอาสะใภ้ยกเลิกการหมั้นหมายด้วยตัวเอง เช่นนี้ไม่เพียงเป็นการช่วยเหลือเสาจิ่นเท่านั้น ยังทำให้จวนสี่รู้สึกผิดต่อเสาจิ่นด้วย ต่อไปไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะตำหนิเสาจิ่น แม้แต่คิดก็ยังอาจจะรู้สึกผิดต่อเสาจิ่นแล้ว ให้พวกเขาหนุนหลังเสาจิ่นต่อไป”

 

 

นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวสว่างวาบ รีบกล่าว “เจ้ามีคนในใจแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็รีบบอกข้ามา ว่าเจ้าถูกใจหญิงสาวของตระกูลใด”

 

 

เฉิงฉือกล่าว “ท่านคิดว่าหาจากตระกูลกู้สักคนเป็นอย่างไรขอรับ”

 

 

“ตระกูลกู้หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลกู้มากจนเกินไป ที่ผ่านมานางจึงไม่เคยคิดจะเกี่ยวดองกับตระกูลกู้มาก่อน ตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกู้ยังมีชีวิตอยู่นั้นเคยเอ่ยถึงเรื่องจะยกหญิงสาวของตระกูลกู้มาให้เฉิงฉือคนหนึ่ง แต่นางปฏิเสธไปโดยยกเรื่องความต่างระหว่างรุ่น แต่ตอนนี้กลับคิดจะสู่ขอหญิงสาวของตระกูลกู้เข้าตระกูล…

 

 

เฉิงฉือทราบความวิตกของมารดาดี กล่าวขึ้นว่า “หากตระกูลกู้ไม่มีคนที่เหมาะสม ตระกูลเซินก็ได้นี่ขอรับ! หากไม่ได้อีก ก็ยังมีหญิงสาวของตระกูลฟางที่ซูเฉิง”

 

 

กล่าวคือ หาหญิงสาวจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาให้เฉิงอี้สักคนหนึ่ง ต่อไปไม่ว่าเฉิงอี้จะศึกษาต่อหรือรับราชการก็ล้วนเป็นผลดีต่อเฉิงอี้ทั้งสิ้น ต้องรู้ว่า ตระกูลเฉิงอ่อนแอตรงที่จำนวนสมาชิกในตระกูลมีน้อย ฐานรากตื้นจนเกินไป

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอใจข้อเสนอของเฉิงฉือเป็นอย่างมาก ตัดสินใจว่า “เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน! แต่เจ้ากับพวกพี่ชายของเจ้าต่างก็ไม่อาจออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้เรื่องนี้ได้ อาสะใภ้ของเจ้าได้เผยเรื่องนี้กับข้าไปแล้ว หากพวกเราช่วยเป็นพ่อสื่อให้อี้เกอเอ๋อร์ล่ะก็ ต่อให้แผนนี้ของเจ้าไม่รั่วไหลออกไป ก็อาจจะทำให้จวนสี่เกิดข้อสงสัยขึ้นได้”

 

 

“เรื่องพวกนี้ข้าทราบดีขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “พ่อสื่อข้าคิดเอาไว้แล้วว่าจะเชิญฟางต้าเซี่ยงช่วยออกหน้าให้ขอรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ ต้องยกให้ฟางต้าเซียงจริงๆ แล้วขอรับ! สิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นที่สุดคือชื่อเสียงอันดีงาม ท่านลองคิดดู ท่านอาสะใภ้ครองตัวเป็นหม้ายมานานหลายปีขนาดนี้ เลี้ยงดูบุตรชายสองคนให้เติบใหญ่มาอย่างยากลำบาก ผู้หนึ่งเป็นจวี่เหริน อีกผู้หนึ่งเป็นถงจิ้นซื่อ และยังช่วยบุตรสาวที่เสียชีวิตไปแล้วเลี้ยงดูหลานสาวแท้ๆ หนึ่งคนและหลานสาวนอกสายเลือดอีกหนึ่งคนจนเติบใหญ่ ในสายตาของฟางต้าเซี่ยงแล้ว นี่ดูมีภาษีดียิ่งกว่าคนที่มาจากครอบครัวเก่าแก่และมีชื่อเสียงใดๆ มากนัก ขอเพียงข้าไปเอ่ยกับเขาว่าคู่ครองของอี้เกอเอ๋อร์หายากยิ่ง แน่นอนว่าเขาต้องเสนอตัวช่วยหาตระกูลที่เหมาะสมให้อี้เกอเอ๋อร์สักคนเป็นแน่ขอรับ!”

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้” ฟังคำของบุตรชายจบแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชื่อว่าฟางต้าเซี่ยงจะต้องตกหลุมพลางของเฉือฉืออย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่แล้ว นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อไปอย่าใช้อุบายเช่นนี้กับผู้เฒ่าฟางอีก เขาเป็นคนซื่อตรงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมผู้หนึ่ง คนเช่นนี้นับวันก็ยิ่งมีน้อยแล้ว”

 

 

เฉิงฉือไม่เห็นด้วย ทว่าก็ไม่อาจโต้แย้งคำของมารดาได้ ได้แต่ยิ้มพลางขานรับว่า “ขอรับ” แล้วหารือกับมารดาถึงเรื่องที่ว่ามีหญิงสาวกี่คนที่พอจะเลือกได้บ้าง

 

 

ส่วนปี้อวี้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกกลับกระวนกระวายใจยิ่งนัก

 

 

นายท่านสี่เป็นนายท่านที่ยิ่งใหญ่มีอำนาจมาก หากเขากล่าวว่ามีแผนแล้ว เช่นนั้นก็ย่อมต้องสำเร็จแน่

 

 

ไม่รู้ว่านายท่านสี่จะเสนอแผนอะไรให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

นางไม่กล้าไปแจ้งข่าวให้โจวเสาจิ่นอีก แต่ก็ไม่อาจไม่สนใจเรื่องนี้ได้

 

 

ต่อมานางพบว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเริ่มให้คนไปสืบเรื่องของเฉิงอี้

 

 

ถึงแม้จะบอกว่าเพื่อช่วยให้โจวเสาจิ่นได้เป็นอิสระฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ตัดสินใจจับคู่ให้เฉิงอี้ แต่หญิงสาวเหล่านั้นก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของบิดามารดาของพวกนางเช่นกัน อย่างไรก็ต้องหาคนที่ไม่ต่างกันมาก

 

 

ความจริงแล้ว เฉิงอี้นั้นนอกจากเรื่องดื้อรั้นเพียงเล็กน้อยแล้ว เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวกันหลายคนล้วนเคยกระทำผิดมาก่อนทั้งนั้น แต่เขากลับไม่กระทำผิดระเบียบ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่อบรมสั่งสอนบุตรหลานได้ดี กล่าวกับเฉิงฉือว่า “อุปนิสัยดี หน้าตาก็ดี กลัวก็แต่ว่าในภายภาคหน้าจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไรเท่านั้น”

 

 

เฉิงฉือกล่าว “จะมาเป็นสามีของเสาจิ่น แต่หากไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไรก็นับว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดแล้วขอรับ ท่านดูความขุ่นแค้นของจวงซื่อกับเฉิงไป่ในปีนั้น หรือท่านจะมองว่าไม่เป็นไรขอรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลุดหัวเราะ กล่าวว่า “เฉิงไป่ผู้นั้นเป็นเพียงญาติสายรองเท่านั้นมิใช่หรือ แต่จวนสี่ไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นสายตรง!”

 

 

“หากวันใดที่แยกตระกูลกันแล้ว จวนสี่ก็จะกลายเป็นเพียงญาติสายรองเหมือนกันขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบงันพูดไม่ออก

 

 

เฉิงฉือกลับกล่าวขึ้นอย่างสบายๆ ไม่รีบร้อนว่า “ข้าคิดว่าข้อนี้ก็ใช้เป็นเหตุผลได้ กล่าวคือ หากพวกเรากับจวนรองแยกตระกูลกัน เพื่อรักษาไว้ซึ่งจวนสี่ของตนแล้ว จวนสี่ต้องยินดีสู่ขอสะใภ้จากตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจรุ่งเรืองเป็นแน่ขอรับ”

 

 

…………………………..