ตอนที่ 244 เรื่องราวถูกเปิดเผย

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“เจ้าเด็กคนนี้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบิกดวงตาโต ไม่รู้จะกล่าวอะไรไปพักใหญ่

 

 

เฉิงฉือกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ หากท่านอาสะใภ้สี่ถูกใจเสาจิ่นมากขนาดนั้นจริงๆ แผนของข้าทั้งหมดเหล่านี้ก็เปล่าประโยชน์”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทอดถอนใจกล่าว “ทำไมเจ้าเป็นแบบนี้…การต้องตัดสินใจเลือกประเภทนี้เป็นเรื่องที่ทุกข์ที่สุด”

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ คนที่บอกให้หาคู่ครองที่ดีให้เสาจิ่นก็คือท่าน คนที่บอกว่าต้องการรักษาหน้าให้ท่านอาสะใภ้สี่ก็คือท่าน ตกลงท่านอยากให้ข้าช่วยอย่างไรท่านถึงจะพอใจขอรับ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าตะลึงงัน จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา กล่าวขึ้นว่า “เอาละๆ ข้าเถียงไม่ชนะเจ้า เจ้าว่าอย่างไรก็ทำตามนั้นก็แล้วกัน!”

 

 

เฉิงฉือหัวเราะพลางส่ายศีรษะ กล่าวขึ้นว่า “ท่านก็จริงๆ เลย ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ก็ยังจะใช้ประโยคนี้มาจัดการกับข้าอยู่อีก”

 

 

สองแม่ลูกพูดคุยเรื่องสัพเพเหระขึ้นมา บรรยากาศรื่นเริงยิ่งนัก

 

 

กระทั่งกู้ชิงเหอหรือนายท่านเก้าของตระกูลกู้กลับมา จึงยิ่งไม่มีอะไรให้เฉิงฉือต้องจัดการ กู้ชิงเหอจัดอาหารเจเลี้ยงรับรองเฉิงฉือที่เรือนหมิงเซียงของตัวเอง คำพูดเสมือนกระทำเพื่อเป็นการขอบคุณ ทว่าก็ดูโอหังเสียมากกว่า แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนพูดถึงว่าตอนนั้นข้ากับพี่ชายของเจ้าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เฉิงฉือแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ ไม่รอให้นำกับข้าวมาขึ้นโต๊ะจนเสร็จก็หาข้ออ้างเดินออกมาแล้ว

 

 

กู้ชิงเหอโกรธจนตาไม่กะพริบ แต่เมื่อนึกถึงความใส่ใจอย่างจริงใจของเฉิงจิงเมื่อตอนออกจากเมืองหลวงแล้ว ความขุ่นเคืองนั้นก็ค่อยๆ มลายหายไป

 

 

เฉิงฉือครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ไปหากู้จิ่วเนี่ย

 

 

ซ่างซื่อผู้เป็นภรรยาของกู้จิ่วเนี่ยเป็นคนรื่อจ้าวมณฑลซานตง ซ่างเป่าเจี้ยนผู้เป็นบิดาเป็นพ่อค้าใหญ่ของซานตง ซ่างเป่าเจี้ยนเคยช่วยชีวิตกู้ชิงไท่ผู้เป็นบิดาของกู้จิ่วเนี่ย ซ่างเป่าเจี้ยนมีบุตรยาก อายุสี่สิบกว่าปีแล้วถึงได้มีซ่างซื่อบุตรสาวผู้นี้ ตอนที่ซ่างเป่าเจี้ยนนอนป่วยติดเตียงลุกไม่ขึ้นนั้นซ่างซื่อเพิ่งจะอายุเก้าขวบเท่านั้น ซ่างเป่าเจี้ยนกลัวว่าบุตรสาวจะถูกคนในตระกูลรังแก ก่อนที่จะเสียชีวิตจึงมอบซ่างซื่อให้อยู่ในความดูแลของกู้ชิงไท่ กู้ชิงไท่เห็นว่าซ่างซื่อกับบุตรชายคนที่สามของตนอายุห่างกันไม่มาก จึงทำเรื่องหมั้นหมายระหว่างบุตรชายหญิงกับซ่างเป่าเจี้ยน ซ่างซื่อจึงแต่งเข้ามาตั้งแต่อายุสิบขวบ หลังจากนั้นหนึ่งเดือนซ่างเป่าเจี้ยนก็เสียชีวิต ซ่างซื่อเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาของกู้จิ่วเนี่ย อายุสิบเจ็ดถึงได้ร่วมหอกับกู้จิ่วเนี่ยอย่างสมบูรณ์ นางไม่เพียงมีรูปร่างหน้าตางดงาม ยังรักกับกู้จิ่วเนี่ยมาตั้งแต่เด็ก มีความคิดและเป้าหมายไปในทางเดียวกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงดียิ่ง

 

 

ซ่างซื่อได้ยินว่าเฉิงฉือมาหา รีบให้สาวใช้นำชาต้าหงเผาที่ผู้อื่นส่งมาให้กู้จิ่วเนี่ยช่วงเทศกาลปีใหม่มารับรองแขก

 

 

เฉิงฉือนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์แดง ดมกลิ่นหอมอวลของชา มองต้นไผ่สูงที่ส่ายไหวอยู่นอกหน้าต่าง ถอนหายใจกล่าวว่า “อย่างเจ้านี่ต่างหากถึงถือว่าเป็นชีวิตที่สงบสุข!”

 

 

กู้จิ่วเนี่ยกำลังจัดชั้นหนังสืออยู่ ได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “พูดอย่างกับว่าเจ้าอยู่ในน้ำลึกหรือกองไฟที่แผดเผาก็ไม่ปาน อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าพูดขึ้นมาแล้ว ข้าก็จะขอทำปากมากสักประโยค ตกลงว่าเจ้ามีแผนการอะไรกันแน่ ปีนี้เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่คิดจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาบ้างเลยหรือ ท่านป้าจะตามใจเจ้าไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือ”

 

 

ขณะที่เขากำลังกล่าวอยู่นั้น ซ่างซื่อพาสาวใช้ยกสำรับอาหารเข้ามาสองคน กล่าวต่อจากสามียิ้มๆ ว่า “ซูซูต้องการหาภรรยาแบบใดหรือ หากพอจะเชื่อถือสายตาของเส่าเซา ก็เผยความต้องการให้เส่าเซาทราบสักหน่อย ข้าเองก็จะได้ดูให้ซูซูอีกแรง จะได้ดื่มน้ำชาในฐานะแม่สื่อของซูซูสักจอกหนึ่ง!”

 

 

เฉิงฉือลุกขึ้น ยิ้มพลางกล่าวทักทายเสียงหนึ่งก่อนว่า “สะใภ้หก” จากนั้นกล่าวต่อว่า “สองปีนี้คงจะไม่ได้! ท่านก็ทราบ หลายปีก่อนหน้านี้ข้าท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก ติดหนี้เจียงหูอยู่จำนวนหนึ่ง หากมิได้ใช้หนี้จำนวนนี้ จะมีกะจิตกะใจสร้างครอบครัวได้อย่างไร รอให้ข้าต้องการจะแต่งงานเมื่อไร จะมาขอให้พี่สะใภ้ช่วยดูให้อย่างแน่นอน”

 

 

เนื่องจากซ่างซื่อได้รับความนับถือจากสามี อยู่ต่อหน้าสหายสนิทของสามีจึงเป็นที่เคารพอยู่บ้าง ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าหวาดหวั่นเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ เจ้าไปมีเรื่องกับกองโจรอันเลื่องชื่อเข้าให้หรืออย่างไร ทางการจัดการให้ไม่ได้หรือ”

 

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะบอกว่าเพราะต้องการรักษาชื่อเสียงของเฉิงจิงจึงไม่กล้าใช้อำนาจของทางการ แต่ตอนนี้เฉิงจิงได้เข้าสู่ราชสำนักแล้ว หากเฉิงฉือเปิดเผยออกมา ย่อมมีคนที่ต้องการประจบประแจงออกมาช่วยจัดการให้อย่างแน่นอน

 

 

เฉิงฉือเข้าใจสิ่งที่ซ่างซื่อต้องการจะสื่อดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากไม่ได้ผลจริงๆ ค่อยไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายใหญ่ของข้าก็ยังไม่สาย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เขาคิดว่าข้าไม่เอาการเอางาน”

 

 

นี่นับเป็นเรื่องระหว่างพี่น้องตระกูลเฉิง คนนอกอื่นๆ จึงไม่อาจถามให้มากความไปกว่านี้ได้

 

 

ซ่างซื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างชาญฉลาด กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าได้ยินว่าไม่รอให้จัดโต๊ะอาหารเสร็จเจ้าก็ออกมาจากเรือนของท่านอาที่เก้าแล้ว คิดว่าท่านต้องยังไม่ได้กินอะไรเป็นแน่ จึงให้คนยกสำรับเข้ามาให้สักสองสามอย่าง”

 

 

เฉิงฉือกล่าวขอบคุณซ้ำๆ แล้วก็ถือโอกาสถามถึงคุณหนูหลายๆ คนของตระกูลกู้ขึ้นมา “…นายหญิงผู้เฒ่าจากไปเช่นนี้ เกรงว่าเรื่องงานแต่งคงต้องหยุดเอาไว้ก่อนแล้วกระมัง”

 

 

เนื่องจากตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่จำนวนสมาชิกจึงมากตาม เวลาหญิงสาวแต่งงานออกเรือนคลังกองกลางออกค่าสินสอดให้เพียงสามร้อยเหลี่ยงเท่านั้น หากต้องการมีหน้ามีตา แต่ละจวนก็ต้องออกเงินเพิ่มให้เอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ง่ายนักที่หญิงสาวของตระกูลกู้จะได้แต่งงานออกเรือน

 

 

ซ่างซื่อถอนหายใจกล่าว “ที่ล่าช้าก็มีเพียงกูที่สิบเจ็ด กูที่สิบแปด และกูที่สิบเก้าเท่านั้น…พวกนางยังไม่ทันได้หมั้นหมายเลย ทว่าอายุกลับไม่น้อยแล้ว”

 

 

เฉิงฉือส่งเสียง “อ้อ” ไปอย่างส่งๆ ไม่ได้ถามอะไรอีก แล้วก็เริ่มรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าของจิ่วเนี่ย

 

 

ซ่างซื่อพาสาวใช้ถอยออกไป

 

 

“เหวยๆๆ!” กู้จิ่วเนี่ยรีบผลักหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะไปข้างๆ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร ระวังจะทำน้ำมันหยดใส่หนังสือของข้าได้”

 

 

เฉิงฉือพึมพำกล่าวว่า “ข้าไม่รังเกียจที่หนังสือของเจ้าเต็มไปด้วยฝุ่นแต่เจ้ากลับรังเกียจที่ข้ากินข้าวแล้วจะทำน้ำมันหยดใส่อย่างนั้นหรือ!”

 

 

กู้จิ่วเนี่ยหันมามองเขา สีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

เฉิงฉือถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นอะไร”

 

 

“ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้า!” กู้จิ่วเนี่ยถือหนังสืออยู่ในมือพลางเดินเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “เมื่อก่อนเวลาข้ากล่าวเช่นนี้ เจ้ามักจะทำสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่ใส่ใจ เหตุใดวันนี้ถึงมาต่อล้อต่อเถียงกับข้าได้ นี่ต่างหากที่ไม่เหมือนกับเป็นเจ้าในยามปกติ!”

 

 

เฉิงฉือตะลึงงัน

 

 

ไหวซานมาขอพบ

 

 

เฉิงฉือให้เขาเข้ามา

 

 

เขาเห็นกู้จิ่วเนี่ยแล้วก็ลังเลที่จะกล่าว

 

 

กู้จิ่วเนี่ยวางหนังสือในมือลง กล่าวขึ้นว่า “ข้าออกไปก็ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องขู่เข็ญข้าเช่นนั้นก็ได้!”

 

 

นัยน์ตาของไหวซานเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

เฉิงฉือกลับรอให้กู้จิ่วเนี่ยออกไปอย่างไม่เกรงใจแล้วถึงได้พยักหน้าให้ไหวซาน

 

 

ไหวซานขยับเข้ามาสองสามก้าว กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ มีข่าวมาจากจิงเฉิง แจ้งว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับใต้เท้ามู่ผู้เป็นเจ้าหน้าที่เรียบเรียงเอกสารกรมตรวจตราที่ซอยหูซ่างซูถนนซุ่ยอี้ผู้นั้นขอรับ!”

 

 

เฉิงฉือนิ่งสงบ ถามเสียงขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

ไหวซานกล่าว “เดือนเก้าปีที่แล้ว นายท่านใหญ่ย้ายไปดำรงตำแหน่งที่กรมพิธีการ เดือนสิบมีข่าวว่ามีคนจากกรมพิธีการเปิดเผยข้อสอบการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูประจำปีการสอบเจี๋ยอู่ เนื่องจากก่อนหน้านี้กรมพิธีการเป็นเจ้ากรมจางกง นายท่านใหญ่จึงสั่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ ปลายปี นายท่านใหญ่เขียนฎีกาถวายต่อองค์ฮ่องเต้ องค์ฮ่องเต้รับไว้แต่ยังไม่ได้สั่งการ รอจนกระทั่งผ่านเทศกาลโคมไฟแล้ว คนที่รับผิดชอบการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูประจำปีการสอบเจี๋ยอู่ในปีนั้นล้วนถูกจับกุมทั้งหมดทุกคน ใต้เท้ามู่ผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นขอรับ”

 

 

เฉิงฉือสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้ามู่เคยดำรงตำแหน่งอะไรในกรมพิธีการหรือ”

 

 

ไหวซานกล่าว “เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกองกิจการบวงสรวงขอรับ”

 

 

“เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกองกิจการบวงสรวงเป็นขุนนางยศผิ่นขั้นหกเจิ้น ส่วนเจ้าหน้าที่เรียบเรียงเอกสารกรมตรวจตรากลับเป็นขุนนางยศผิ่นขั้นเจ็ดเจิ้ง”

 

 

“ด้วยเหตุนี้ใต้เท้ามู่จึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลัก” ไหวซานกล่าว “จากคำให้การของบรรดาคนในกรมพิธีการในปีนั้น เดิมทีก็มีคนฟ้องร้องเช่นกัน แต่จางกงเห็นว่าเรื่องนี้จะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่โต จึงแอบปิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข ทั้งหมดถูกโยกย้ายออกจากกรมพิธีการ คนที่ได้รับผลการประเมินว่า ‘แย่’ ในปีนั้น คนอื่นๆ ล้วนถูกโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่มีระดับยศเท่าเดิม มีแต่ใต้เท้ามู่ผู้นี้เท่านั้นที่ถูกลดตำแหน่งลง ดังนั้น…”

 

 

ในใจของเฉิงฉือประหนึ่งลมเหนือพัดผ่าน ปั่นป่วนยิ่งนัก ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่อาจคลายความยุ่งเหยิงได้

 

 

ตกลงว่าตระกูลหลินและตระกูลมู่ทั้งสองตระกูลมีความเกี่ยวข้องกับเสาจิ่นหรือไม่

 

 

นางคาดการณ์ได้ว่าจะมีเรื่องเกิดกับตระกูลมู่ตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่

 

 

จริงๆ แล้วฝานฉีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยบังเอิญหรือทำตามคำสั่งของนางกันแน่

 

 

ถ้าเสาจิ่นไม่รู้เรื่องอะไรเลย เช่นนั้นนางขอให้จี๋อิ๋งส่งฝานฉีไปจิงเฉิงเพื่ออะไรกันแน่ แต่หากเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนของเสาจิ่น เช่น…เช่นนั้นการที่นางเข้าใกล้มารดา เข้าใกล้เขา ก็เพราะมีจุดประสงค์บางอย่างใช่หรือไม่

 

 

แล้วจุดประสงค์ของนางคืออะไรนะ

 

 

เฉิงฉือครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกราวกับว่าในใจถูกกดทับด้วยอะไรบางอย่างเอาไว้ก็ไม่ปาน รู้สึกหายใจไม่ออก

 

 

เหมือนกับตอนที่เขารู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงต้องมาดูแลกิจการของซอยจิ่วหรูในปีนั้น…สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเพียงว่าตนคือคนที่โง่งมที่สุดในใต้หล้า…

 

 

ไหวซานเห็นสีหน้าของเฉิงฉือไม่ปกติ ร้องเรียก “นายท่านสี่” ไม่หยุด เฉิงฉือถึงได้สติกลับมา

 

 

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง สีหน้ากลับมาดูอบอุ่นใจดีเหมือนปกติอีกครั้ง แต่คนที่รู้จักเขาดีเพียงแค่มองดวงตาที่เปล่งแสงเย็นชาไปรอบด้านคู่นั้นของเขา ก็รู้แล้วว่าตอนนี้เขากำลังโกรธมากเพียงใด

 

 

ไหวซานรีบก้มหน้าลง

 

 

เฉิงฉือกล่าว “เจ้าไปตรวจสอบให้ชัดเจนว่าฝานฉีไปจิงเฉิงด้วยเหตุอันใด แล้วเพราะอะไรถึงต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องงานแต่งของตระกูลหลินและตระกูลมู่ด้วย” กล่าวจบ เสียงเขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “ไม่ต้องทำร้ายฝานฉี เผื่อว่าพวกเราจะเข้าใจผิด ถึงเวลาไม่รู้จะอธิบายกับคุณหนูรองอย่างไร!”

 

 

ไหวซานประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด

 

 

นายท่านสี่มีอะไรให้ต้องอธิบายกับคุณหนูรองด้วย…

 

 

เขารีบขานรับ แล้วออกจากห้องหนังสือของตระกูลกู้ไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เฉิงฉือพลันใจลอยเล็กน้อย

 

 

หากโจวเสาจิ่นเข้าหาเขาเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างจริงๆ แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี

 

 

ในห้วงความคิดของเขาปรากฏดวงตากระจ่างใสที่สะท้อนเงาของตัวเองของนางคู่นั้น ปรากฏรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ทว่าก็ไม่ขาดความงดงามของนางรอยยิ้มนั้น ปรากฏท่าทางตะลึงงันของนางยามที่ถูกตนตั้งคำถาม…ถ้าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงการหลอกลวง เช่นนั้นโจวเสาจิ่นก็เสแสร้งเก่งเกินไปแล้ว!

 

 

โดนคนเช่นนี้ลวงหลอก เช่นนั้นเขาก็คงได้แต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

 

 

แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงเรื่องหนึ่งเท่านั้นจริงๆ หรือ

 

 

แล้วนางต้องการอะไรจากตนหรือจากมารดากันเล่า

 

 

แต่ถ้านางมีความสามารถนี้จริงๆ ด้วยความสามารถของนางจะมีอะไรที่นางหาไม่ได้บ้าง แล้วจะต้องมาเสียเวลากับเขาและมารดานานเพียงนี้เพื่ออันใด

 

 

เสียงหัวเราะอ่อนหวานของโจวเสาจิ่นดังขึ้นข้างหูของตน

 

 

ภาพนางที่ย่ำเท้าเปล่าอยู่บนหาดทรายของแม่น้ำเฉียนถังยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ…

 

 

เฉิงฉือนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนอย่างไม่อาจขยับเขยื้อน

 

 

นาฬิกาทรายในห้องหนังสือส่งเสียงไหลลงมาซ่าๆ เฉิงฉือรู้สึกว่าเข่าของตนสั่นไม่หยุด

 

 

กู้จิ่วเนี่ยเดินเข้ามา

 

 

เห็นเฉิงฉือนั่งอยู่ในนั้นลำพัง สีหน้าซีดเผือด กล่าวยิ้มๆ ว่า “เอ๋ เจ้าเป็นคนกล่าวเอาไว้ว่า หากคนผู้หนึ่งแม้แต่อารมณ์ของตัวเองก็ยังควบคุมเอาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะมาพูดเรื่องกลยุทธ์ใดๆ มิใช่หรือ แล้วเหตุใดวันนี้เจ้าถึงไม่มีความโอหังนั่นแล้วเล่า หรือว่าเตรียมจะถอดหน้ากากต่อหน้าข้าแล้วหรือ”

 

 

เฉิงฉือไม่ตอบอะไรกว่าครู่ใหญ่

 

 

รอยยิ้มของกู้จิ่วเนี่ยค่อยๆ เลือนหาย กำลังคิดจะเอ่ยถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาก็ลุกขึ้นมาเสียก่อน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ใช่ท่อนไม้ท่อนอิฐ วางท่วงท่าหนึ่งนานแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้างเป็นธรรมดา จริงด้วย เมื่อครู่ไหวซานมาหาข้าบอกว่าที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย ข้าคงต้องกลับก่อนแล้ว รอให้ถึงวันที่เจ็ดของพิธีศพข้าค่อยมาอีกครั้ง”

 

 

“ได้!” กู้จิ่วเนี่ยเข้าใจเขา รู้สึกอยู่รางๆ ว่าน่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น กล่าวอย่างจริงจังว่า “หากมีอะไรที่ข้าช่วยได้ ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากบอก!”

 

 

เฉิงฉือตบบ่าเขาเบาๆ แล้วเดินตรงออกไปด้านนอก

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน

 

 

นางถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง พนมมือขึ้น หันไปไหว้ทางทิศตะวันตกเงียบๆ สามครั้ง จากนั้นจุดธูปสามดอกถวายแด่องค์กวนอิมที่ตนสักการะนับถือ นั่งคุกเข่าลงบนเบาะ หลับตาลงพลางกล่าวพึมพำว่า “คุณชายหลิน บุญคุณของท่านข้าตอบแทนแล้ว หวังว่าต่อจากนี้ท่านกับคุณหนูมู่จะได้ครองคู่กันจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง”

 

 

……………………………….