ตอนที่ 245 สงสัย

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นนั่งคุกเข่าเงียบๆ อยู่บนเบาะไปครู่ใหญ่ ถึงได้ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องข้างไป

 

 

ฝานหลิวซื่อรอนางอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นนางออกมาก็กล่าวรายงานว่า “ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านป้าใหญ่มาทำอะไรหรือ”

 

 

ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูใหญ่ใกล้จะออกเรือนแล้ว จะเชิญแขกจำนวนเท่าไร จัดโต๊ะจำนวนเท่าไร ยามให้การต้อนรับญาติมิตรตอนเดินทางมาต้องใช้เส้นทางไหน ตอนเดินทางกลับออกไปต้องใช้เส้นทางไหน…เรื่องพวกนี้ล้วนต้องหารือกับตระกูลเลี่ยว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจะไม่มาได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะ เปลี่ยนชุดแล้วไปที่ห้องของหลี่ซื่อ

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่ได้เจอโจวเสาจิ่นมาหลายสิบวันแล้ว พอเห็นโจวเสาจิ่นจึงอดไม่ได้ที่จะจับมือนางเอาไว้แล้วสอบถามเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที

 

 

โจวเสาจิ่นยืนตอบคำถามอยู่ข้างๆ อย่างอ่อนน้อมและเชื่อฟัง

 

 

หลี่ซื่อมองแล้วก็เม้มปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่เลี้ยงดูคุณหนูรองประหนึ่งเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ไม่ปานเลยเจ้าค่ะ”

 

 

อาจเป็นเพราะมีใจจะเก็บโจวเสาจิ่นเอาไว้ที่บ้าน ยามนี้ยิ่งได้มองโจวเสาจิ่นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ยิ่งชื่นชอบมากยิ่งขึ้น ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่มีบุตรสาว พวกนางสองพี่น้องจึงเป็นมากยิ่งกว่าบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก ต่อให้ต่อไปข้าจะสู่ขอบุตรสะใภ้มาแล้ว ก็ยังคงจะให้พวกนางเป็นดังบุตรสาวแท้ๆ เช่นเดิม” ขณะที่กล่าว ก็ยังมองไปที่โจวเสาจิ่นด้วยอีกครั้งหนึ่ง

 

 

หลี่ซื่อได้ยินแล้วใจเต้นเล็กน้อย กล่าวหยั่งเชิงขึ้นว่า “เช่นนั้นคุณหนูของตระกูลเหอก็มีวาสนายิ่งแล้ว!”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มน้อยๆ ดึงมือของโจวเสาจิ่นไปตบเบาๆ

 

 

โจวเสาจิ่นรีบหาข้ออ้างลุกขึ้นกล่าวขอตัว

 

 

นางกลัวว่าการแสดงออกที่ชัดเจนมากเกินไปของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจะถูกหลี่ซื่อสังเกตเห็นแล้วไปบอกบิดา แล้วจะนำความวุ่นวายตามมา

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนผิดหวังเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้ายังคิดว่าเมื่อถึงเวลาจะให้เจ้าช่วยจดเรื่องที่สำคัญๆ ให้พวกข้า!”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านกับฮูหยินหารือกันให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วข้าค่อยมาใหม่ก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่มีทางเลือก ได้แต่ปล่อยให้โจวเสาจิ่นเดินออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

 

 

แต่เฉิงฉือในขณะนี้กลับยืนอยู่ในทางเดินแคบๆ ของห้องลับอันมืดสลัวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองฝานฉีที่ถูกทิ้งให้นอนหมดสติอยู่บนกองฟางพลางถามฉินจื่ออันว่า “พวกเจ้าทำอะไรกับเขาไปแล้วบ้าง”

 

 

ฉินจื่ออันขมวดคิ้วน้อยๆ

 

 

ก็เป็นเพียงบ่าวชายผู้หนึ่งเท่านั้น

 

 

ต่อให้ตายไปแล้วอย่างไร

 

 

อย่างมากเขาก็แค่หาวิธีทำให้เรื่องนี้เงียบหายไป

 

 

แต่น้ำเสียงของนายท่านสี่กลับเหมือนกลัวว่าเขาจะตายอย่างไรอย่างนั้น

 

 

แต่เขาไม่กล้าเผยความไม่ปกติออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวทำตามที่ท่านสั่ง ดังนั้นจึงเชิญตงถิงมาร่ายมนตร์สะกดจิตเขาขอรับ”

 

 

เฉิงฉือพยักหน้าเบาๆ พลางกล่าว “เขาพูดอะไรบ้าง”

 

 

ฉินจื่ออันกล่าว “เขาไม่รู้อะไรเลยขอรับ”

 

 

เฉิงฉือหันกลับมามองฉินจื่ออัน

 

 

นัยน์ตาสุกสว่างภายใต้ทางเดินคับแคบอันมืดสลัวแห่งนี้ดูเสมือนกับดวงดาราพร่างพรายกลางท้องนภายามค่ำคืนก็ไม่ปาน

 

 

ฉินจื่ออันกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “จากคำพูดของเขา เขาได้รับคำสั่งจากคุณหนูรองให้ไปที่จิงเฉิง คนที่คุ้มกันเขาไปจิงเฉิงคือคนที่คุณหนูรองหามาให้ สถานที่พักก็เป็นคุณหนูรองที่บอกเขา หาตระกูลหลินและตระกูลมู่เจอได้อย่างไรนั้นก็ทำตามที่คุณหนูรองแนะนำ มีสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือเรื่องงานแต่งระหว่างตระกูลหลินและตระกูลมู่เท่านั้น คุณหนูรองให้เขาคิดวิธีหานักพรตพเนจรผู้หนึ่งปลอมตัวไปหลอกตระกูลมู่ แต่เขาพักอยู่ที่อารามซ่างชิงหลายวันแล้วก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ สุดท้ายจำต้องเสี่ยงไปหาพระอาวุโสจอมตะกละผู้ชื่นชอบการกินดื่ม ผู้ที่เคยทำหน้าที่ต้อนรับแขกทว่ากระทำผิดจนถูกลดขั้นไปอยู่ที่โรงครัวผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเรื่องนี้กลับสำเร็จลุล่วงลงไปได้อย่างง่ายดาย…

 

 

…ที่ให้เขาไปสืบข่าวคราวของตระกูลหลินและตระกูลมู่ที่จิงเฉิงหลังปีใหม่อีกครั้งก็เป็นแผนของคุณหนูรอง…

 

 

…ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดคุณหนูรองถึงต้องการให้เขาหาวิธีให้ตระกูลหลินกับตระกูลมู่ได้ดองกันเร็วขึ้น เรื่องที่ว่าตกลงคุณหนูรองรู้จักตระกูลหลินและตระกูลมู่ทั้งสองตระกูลหรือไม่นั้น…เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยขอรับ”

 

 

สีหน้าของเฉิงฉือเคร่งขรึมลงไปอีกหลายส่วน

 

 

เขานึกถึงเรื่องที่ว่าเฉิงจิงผู้เป็นพี่ชายมานั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการ ที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งเหวินหวาได้อย่างไรขึ้นมา!

 

 

หากมิได้คำเตือนล่วงหน้าของโจวเสาจิ่น พี่ชายใหญ่ต้องเข้าใจว่าหยวนเหวยชางจะสนับสนุนเขา และฝากความหวังไว้ที่หยวนเหวยชางเป็นแน่ แล้วสุดท้ายก็จะพ่ายแพ้ให้กับหวงหลี่ไปโดยไม่ได้ตั้งตัว

 

 

แต่ตอนนี้ เรื่องอื้อฉาวของการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูประจำปีการสอบเจี๋ยอู่ถูกเปิดเผยออกมา อั้นโส่วอย่างใต้เท้ามู่ถูกจับกุม ทว่าเนื่องจากบุตรสาวคนโตของใต้เท้ามู่แต่งออกให้ตระกูลหลินที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็กเร็วกว่ากำหนดโดยบังเอิญ ไม่เพียงตัวนางที่แคล้วคลาดจากหายนะ ด้วยเหตุนี้ยังทำให้ตระกูลหลินมีเหตุผลนำเงินไปไถ่ถอนตัวของฮูหยินมู่และคุณหนูรองกับคุณหนูสามของตระกูลมู่ออกมาได้อีกด้วย

 

 

นี่ก็เป็นเพียงความบังเอิญหนึ่งเท่านั้นจริงๆ หรือ

 

 

เช่นนั้นนี่ก็ออกจะบังเอิญเกินไปแล้วกระมัง!

 

 

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฉิงฉือก็ยืนนิ่งต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

 

 

เขาสั่งการฉินจื่ออัน “ส่งฝานฉีกลับไป อย่าให้ฝานฉีรู้ว่าตัวเองเคยถูกจับตัวมาก่อน จากนั้นให้คนเฝ้าจับตาดูเขาเอาไว้ หากมีความเคลื่อนไหวอะไรก็ให้มาแจ้งข้า”

 

 

ฉินจื่ออันพยักหน้ารับ

 

 

เฉิงฉือออกจากทางเดินคับแคบของห้องลับไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ฉินจื่ออันย่นคิ้วขึ้น กดปุ่มทางเชื่อมห้องลับ

 

 

เฉิงฉือเดินอย่างรีบร้อนไปตลอดทาง กระทั่งตอนที่เขาได้สติกลับมา ก็เดินมาถึงถนนใหญ่อันอึกทึกจอแจแล้ว

 

 

ไหวซานไล่ตามไปด้วยเหงื่อท่วมศีรษะ เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “นายท่านสี่ ต้องการให้เรียกเกี้ยวมาให้ท่านหรือไม่ขอรับ”

 

 

ที่ผ่านมาเฉิงฉือไม่ชอบนั่งเกี้ยวของด้านนอก แต่ใครจะรู้ว่าครั้งนี้กลับกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าไปเรียกเกี้ยวมาหลังหนึ่ง พวกเราจะไปถนนผิงเฉียว”

 

 

ไหวซานไม่กล้ากล่าวอะไรมาก รีบไปว่าจ้างเกี้ยวตรงมุมถนนมาหลังหนึ่ง เดินตามเกี้ยวที่โยกไปโยกมาไปยังถนนผิงเฉียว

 

 

เนื่องจากวันงานแต่งของโจวชูจิ่นใกล้เข้ามาแล้ว โจวเจิ้นไม่อยู่บ้าน ส่วนหลี่ซื่อก็ไม่ค่อยรู้จักเพื่อนบ้านเก่าแก่ของตระกูลโจวสักเท่าไร ดังนั้นผู้ที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูจึงเปลี่ยนเป็นหน้าที่ของหม่าชื่อผู้เป็นหลานชายของหม่าฟู่ซาน

 

 

เขารู้จักเฉิงฉือ

 

 

ดังนั้นตอนที่เขาเห็นเฉิงฉือเดินลงมาจากเกี้ยวรับจ้าง เขาก็ปากอ้าตาค้างไปกว่าครู่ใหญ่ถึงได้วิ่งเข้าไปหาอย่างรีบร้อน

 

 

“นายท่านสี่!” หม่าชื่อรีบทำความเคารพอย่างรวดเร็ว กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านมาได้อย่างไรหรือขอรับ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับฮูหยินกำลังหารือเรื่องงานแต่งของคุณหนูใหญ่อยู่ ท่านมาหาคุณหนูใหญ่หรือคุณหนูรองขอรับ…”

 

 

เฉิงฉือมองหม่าชื่อครั้งหนึ่ง เมื่อจำเขาได้แล้ว จึงกล่าวเสียงเคร่งว่า “ข้ามาหาคุณหนูรอง!”

 

 

“เช่นนั้นท่านไปรับน้ำชาที่ห้องรับรองก่อนนะขอรับ!” หม่าชื่อกล่าว พลางหันไปส่งสายตาให้บ่าวชายที่ตามมาด้วยครั้งหนึ่ง จากนั้นพาเฉิงฉือไปที่ห้องรับรองแขกอย่างกระตือรือร้น นำน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะให้ด้วยตัวเอง

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินว่าเฉิงฉือมาหานาง จึงเกล้าผมใหม่แล้วรีบออกไปพบ

 

 

ยังไม่ทันที่เท้าจะได้ก้าวเข้าไปในห้องรับรองใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานแล้ว

 

 

“ท่านน้าฉือ ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” นางก้าวเข้ามาในห้องรับรองแขกด้วยฝีเท้าแผ่วเบา

 

 

ต้นไม้ดอกไม้ของเดือนสามชุ่มฉ่ำและเขียวชอุ่ม กิ่งก้านใบไม้ล้วนงอกงามอุดมสมบูรณ์ สะท้อนให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเขียวขจี

 

 

โจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีเหลืองลูกห่านไร้ลวดลาย กระโปรงจีบสีขาว ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดของฤดูใบไม้ผลิ ประหนึ่งดอกไม้แห่งวสันตฤดูที่กำลังเบ่งบาน พัดพาเอาลมวสันต์อันบริสุทธิ์สดชื่นมาด้วยหลายส่วน

 

 

คนเช่นไรถึงจะแสดงได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ข้อตำหนิได้เพียงนี้?

 

 

เฉิงฉือหายใจติดขัดเล็กน้อย

 

 

บางที…อาจเป็นตนที่เข้าใจผิด!

 

 

เขาขยับเข้าใกล้สองสามก้าว

 

 

โจวเสาจิ่นมองเขายิ้มๆ ยิ้มตาหยีจนคิ้วและดวงตาโก่งโค้ง นุ่มนวลและอ่อนโยน

 

 

ต้องเป็นเขาที่เข้าใจผิดไปแน่ๆ

 

 

เฉิงฉือผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าตามข้ามา ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า!”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพลางเดินตามเขาออกจากห้องรับรองแขกไป แล้วไปยืนอยู่ตรงกลางลานบ้าน

 

 

เฉิงฉือมองตานาง พึมพำกล่าว “เจ้ารู้เรื่องที่ใต้เท้ามู่กระทำความผิดหรือไม่”

 

 

ท่านน้าฉือทราบได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นระทึกดั่งกลอง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป

 

 

นางรู้จริงๆ ด้วย…

 

 

ใจของเฉิงฉือค่อยๆ หนักอึ้งขึ้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น กล่าวเสียงเคร่งว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าจงอธิบายให้ข้าฟังอย่างละเอียด!”

 

 

อธิบายอย่างละเอียด!

 

 

นางจะอธิบายอย่างละเอียดได้อย่างไร

 

 

บอกว่านางกลับชาติมาอย่างนั้นหรือ

 

 

บอกว่านางรู้ว่าอีกสิบสองปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างอย่างนั้นหรือ

 

 

บอกว่านางเคยแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่ง หลินซื่อเซิ่งดูแลนางเป็นอย่างดี ชาตินี้นางจึงต้องตอบแทนหลินซื่อเซิ่งอย่างนั้นหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มปาก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

เฉิงฉือโกรธจนปอดคล้ายจะระเบิดออกมาได้

 

 

เจ้าเด็กน่าตายผู้นี้ ถึงกับกล้าปิดบังไม่ยอมบอกเขา!

 

 

น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหวงหลี่กับพี่ชายใหญ่ของข้ากำลังแก่งแย่งตำแหน่งกันอยู่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเซินหมิ่นจือกับหยวนเหวยชางทำข้อแลกเปลี่ยนกัน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคดีทุจริตการสอบของการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูประจำปีการสอบเจี๋ยอู่จะถูกเปิดเผยออกมาในเดือนสองของปีนี้ แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการช่วยตระกูลมู่”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่อาจให้คำตอบได้

 

 

นางก้มศีรษะลง นิ้วมือพันเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เฉิงฉือมองเส้นผมดำขลับเงางามดั่งเส้นไหมของนางแล้ว ความโกรธในใจก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

 

 

มิใช่ว่าเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขหรอกหรือ

 

 

มิใช่ว่าเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ หรอกหรือ

 

 

เหตุใดเมื่อถึงยามสำคัญแล้วกลับทำเสมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าไปได้

 

 

แม้แต่คำอธิบายสักประโยคก็ไม่มี!

 

 

เขาโกรธมากทว่าก็แค่นยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “ตกลงเจ้าจะพูดหรือไม่พูด!”

 

 

น้ำตาของโจวเสาจิ่นไหลออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

 

ความลับเหล่านี้นางเองก็ต้องแบกเอาไว้ในใจเพียงผู้เดียวอย่างยากลำบากมากเช่นกัน

 

 

จะให้นางพูดมันออกมาอย่างไร

 

 

เรื่องแปลกประหลาดเหนือจินตนาการเช่นนี้!

 

 

พระเต๋าแซ่หยางผู้นั้นไปบอกกับใต้เท้ามู่ว่าหากคุณหนูมู่ไม่รีบแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งให้เร็วขึ้นจะเกิดหายนะขึ้นได้ ใต้เท้ามู่ยังคิดว่าพระเต๋าแซ่หยางกล่าววาจาเหลวไหล แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ศึกษาตำรา ‘แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู’ อย่างท่านน้าฉือกัน!

 

 

แต่หากนางไม่พูด…ตอนนี้ท่านน้าฉือโกรธมากอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องโกรธมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

ไม่แน่ว่านับจากนี้เป็นต้นไปอาจจะไม่สนใจนางอีกแล้วก็เป็นได้!

 

 

ความคิดนี้เพิ่งจะแล่นผ่านห้วงความคิดของโจวเสาจิ่นไป โจวเสาจิ่นก็รู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจประหนึ่งตกลงไปในโพลงน้ำแข็งแล้วก็ไม่ปาน

 

 

หากท่านน้าฉือไม่สนใจนางแล้ว เช่นนั้นต่อไปยามนางมีปัญหาจะหาผู้ใดได้

 

 

จะมีผู้ใดที่ปกป้องนางอย่างไม่หวั่นเหมือนท่านน้าฉืออีก

 

 

นาง…นางควรจะทำอย่างไรดี

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก

 

 

ทว่าในใจของเฉิงฉือกลับรู้สึกประหนึ่งว่ามีพายุไต้ฝุ่นพัดผ่านก็ไม่ปาน

 

 

“ได้ๆๆ เจ้าไม่พูดใช่หรือไม่” เขายิ้มพลางกล่าว “เจ้าไม่พูดข้าก็ตรวจสอบเองได้”

 

 

เขาลอบมีน้ำโห หมุนกายมุ่งออกไปด้านนอก บรรยากาศราวกับถูกฉีกขาดออกมา

 

 

โจวเสาจิ่นหวาดกลัวยิ่ง รีบตะโกนเรียก “ท่านน้าฉือ”

 

 

เฉิงฉือหยุดฝีเท้าลง หันกลับมามองนาง

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี

 

 

ขอให้เขายกโทษให้?

 

 

ท่านน้าฉืออาจจะไม่ยกโทษให้นาง!

 

 

ขอให้เขาอย่าโกรธนาง?

 

 

นางจะเอาอะไรไปขอให้ท่านน้าฉืออย่าโกรธ!

 

 

โจวเสาจิ่นหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เปราะบางประหนึ่งจะล้มลงไปได้ในหนึ่งลมหายใจ

 

 

เนื่องจากยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง การที่เขาโกรธมีแต่จะทำให้นางหวาดกลัวแต่มิได้ทำให้นางเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้นเลย

 

 

เฉิงฉือลอบถอนหายใจอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้ ค่อยๆ เดินกลับมาอย่างช้าๆ ยืนอยู่เบื้องหน้านาง กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว บอกข้าว่าตกลงเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่กล้า

 

 

นางบอกพี่สาว พี่สาวล้วนไม่เชื่อ

 

 

แต่เพราะพี่สาวรักนาง ไว้เนื้อเชื่อใจนาง ด้วยเหตุนี้ถึงได้ถูกนางล่อหลอกได้

 

 

ถึงแม้ท่านน้าฉือจะดีกับนาง ทว่าก็ปฏิบัติกับนางเสมือนเป็นสัตว์เลี้ยง ที่ยามอารมณ์ดีก็เย้าแหย่นาง ยามอารมณ์ไม่ดีก็คร้านจะสนใจนางเท่านั้น

 

 

นางกลัวว่าท่านน้าฉือจะคิดว่านางเป็นสัตว์ประหลาด!

 

 

ลมพัดเข้ามาจนต้นไม้ดอกไม้ในสวนส่งเสียงดังซ่าๆ ทว่าโจวเสาจิ่นกลับยืนไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้นกว่าครู่ใหญ่ราวกับเป็นรูปปั้น

 

 

เฉิงฉือยิ้มเย็นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “จะพูดหรือไม่พูดก็แล้วแต่เจ้า อย่างไรก็ตาม ต่อจากไปนี้เจ้าไม่ต้องไปที่เรือนหานปี้ซานอีก เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ท่านแม่ของข้าทราบเรื่องแล้วจะเสียใจ!”

 

 

เขาออกจากตระกูลโจวไปอย่างรวดเร็ว

 

 

โจวเสาจิ่นมองเบื้องหลังเกี้ยวของเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไป มือกอดอก นั่งยองๆ ลงไปบนพื้นอย่างช้าๆ ฝังศีรษะลงตรงกลางเข่า แล้วร้องไห้โดยมิให้มีเสียงออกมา

 

 

…………………………….