เล่มที่ 9 บทที่ 250 ชิงลงมือ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

สายตาของเหล่าพระญาติเปี่ยมไปด้วยความกระวนกระวาย

สถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่เคารพบรรพบุรุษ หากถูกไฟเผาขึ้นมา เช่นนั้นพวกเขาที่เป็นลูกหลานคงต้องหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด

หลินเมิ้งหยากลับไปยังที่นั่งของตนเอง แต่กลับได้เห็นพี่ชายและฉินมั่วที่แอบกลับเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจเข้า หรือว่า….ไม่มีทาง!

โชคดีที่เหตุการณ์ในเวลานี้ค่อนข้างวุ่นวาย แม้แต่ฮองเฮาและไท่จื่อเองก็ไม่ทันเห็นท่าทางมีลับลมคมในของพี่ชายและฉินมั่ว หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงยกมือทาบอก

เสียงแผดร้องด้านนอกเงียบลงแล้ว โชคดีที่ข้างตำหนักเจาเหอมีสระน้ำถูกขุดเอาไว้ แม้ไฟจะลุกลามแต่ไม่นานก็สามารถดับลงได้

ไม่นาน หลงเทียนอวี้เดินกลับเข้ามาด้วยใบหน้าขึงขัง ในมือถือของบางอย่างเอาไว้

“เหตุการณ์ด้านนอกเป็นเช่นไร?”

ฮองเฮาเป็นผู้เอ่ยถาม บางทีนางเองก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในตำหนักเจาเหอมีความสำคัญต่อราชวงศ์แห่งต้าจิ้นเช่นไร ดังนั้นน้ำเสียงจึงเจือไว้ซึ่งความกังวล

“สามารถคุมเพลิงได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่…เหตุการณ์ไฟไหม้ตำหนักเจาเหอในคราวนี้เห็นจะมิใช่เรื่องบังเอิญ”

ความสนใจของทุกคนตกอยู่ที่หลงเทียนอวี้ เขาแบมือออก หลินเมิ้งหยาเห็นเหล็กสีดำสนิทชิ้นหนึ่งในฝ่ามือของหลงเทียนอวี้

“นี่มันอะไร?” ฮองเฮาและไท่จื่อเองก็เกิดความสงสัยไม่ต่างอะไรจากหลินเมิ้งหยา ทว่าหลงเทียนอวี้กลับหันไปทางองค์ชายห้า ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา

“นี่เป็นหัวลูกศรที่มีสัญลักษณ์ประจำตัวติดอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกชโลมไปด้วยน้ำมันและไฟ อิงฉู่ ตกลงเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ก่อนนั้นยิงธนูพลาดเป้าไปทางชายาของข้า ตอนนี้ยังคิดวางเพลิงเผาตำหนักเจาเหอ หรือเจ้ากำลังจะก่อกบฏ!”

คำพูดของหลงเทียนอวี้ทำให้องค์ชายห้าตกตะลึงเสมือนคนโง่

แม้แต่ไท่จื่อและฮองเฮาเองก็ไม่เข้าใจ เหตุใดหลงเทียนอวี้จึงเอ่ยเช่นนี้

“หลงเทียนอวี้ เจ้าพูดออกมาให้ชัดเจน! เหตุใดหัวลูกศรนี้จึงกลายเป็นของข้าเล่า? ทั้งที่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เหตุใดเจ้าจึงกล้าใส่ร้ายข้า หรือเจ้าคิดจะรังแกข้ากันแน่”

ดวงตาขององค์ชายห้าถลึงใส่หลงเทียนอวี้ด้วยความเกลียดชัง ทว่าหลงเทียนอวี้กลับแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะชูลูกศรในมือขึ้น

“หัวลูกศรอันนี้หาใช่หัวลูกศรธรรมดาทั่วไป แต่มันคือหัวลูกศรที่พวกเราใช้ยิงเพื่อขอพรในวันนี้ ปกติแล้วจะต้องเข้าไปดึงออกมาแล้วเก็บไว้กับตัวหนึ่งร้อยวัน เช่นนั้น…หัวลูกศรของเจ้าอยู่ที่ใดเล่า?”

สีหน้าของหลงอิงฉู่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าตามกฎแล้วต้องทำดังที่หลงเทียนอวี้เอ่ย แต่เพราะตอนนั้นเขากำลังแสดงท่าทีหยิ่งผยอง จึงมิได้เก็บมันกลับมา

“นั่นสิ หากองค์ชายห้าเก็บไว้กับตัวแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเอาออกมาให้พวกเราดูหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ตอนนี้เหล่าพระญาติต่างเริ่มส่งเสียงแข็งขัน สีหน้าขององค์ชายห้าจึงยิ่งไม่น่ามอง

ฝ่ามือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้ของชิ้นนั้นถูกเขาทิ้งไว้ที่ไหน แล้วจะให้เขาเอาออกมาได้อย่างไร?

“บางทีน้องห้าคงคิดไม่รอบคอบจึงไม่รู้ว่าโยนทิ้งไปไว้ที่ใด”

อยู่ๆ ไท่จื่อก็เอ่ยออกมาเรียกความสนใจจากทุกคน

“ใช่ ถูกต้อง ข้า…ข้าก็แค่ทิ้งไปโดยไม่ทันระวัง ยิ่งไปกว่านั้น นั่นก็เป็นเพียงหัวลูกศร ต้าจิ้นของข้าจะล่มสลายลงเพียงเพราะสิ่งนี้ได้เช่นไร?”

คำพูดของหลงอิงฉู่ทำให้ดวงตาของฮองเฮาวาวโรจน์ระคนเย็นชา ขณะที่ไท่จื่อคิดจะช่วยหลงอิงฉู่แก้ตัว นางกลับจับตัวไท่จื่อเอาไว้

นางมองออกอย่างชัดเจน นี่คือกลอุบายโจมตีหลงอิงฉู่ ไม่ว่าหัวลูกศรจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตำหนักเจาเหอลุกไหม้หรือไม่ แต่ตอนนี้หลงอิงฉู่ไม่มีทางเอาตัวรอดได้แล้ว

สกุลเฉินใกล้จะล่มสลายเต็มที ต่อให้เก็บเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเก็บหลงอิงฉู่เอาไว้แล้ว

ตอนนี้ควรป้องกันไท่จื่อมิให้ตกเป็นผู้สงสัยจะดีกว่า

ผลปรากฏว่า หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“การขอพรเพื่อชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งฮองเฮาและไท่จื่อล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่องค์ชายห้ากลับเพิกเฉย ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เช่นนี้จะทำให้ราษฎรรู้สึกเลื่อมใสได้เช่นไร”

เพียงประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา องค์ชายห้ามิต่างอันใดจากปลาติดตาข่าย

แม้จะพิสูจน์ได้ว่าองค์ชายห้าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่คำพูดไร้ยางอายของเขาเลวร้ายเสียยิ่งกว่าหัวลูกศรที่หายไป

เกรงว่าเหล่าคนในราชวงศ์คงมิอาจสนับสนุนเขาได้อีกต่อไปแล้ว

“เจ้า…เจ้าหยุดราดน้ำมันลงกองไฟได้แล้ว! ฮึ พวกเจ้าสองผัวเมียเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก พวกเจ้าคิดจะใส่ร้ายข้า! ข้าควรยิงเจ้าให้ตายตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานพิธี!”

โทสะขององค์ชายห้าระเบิดออกมา ดังนั้นเขาจึงหลุดพูดเรื่องธนูที่หมายมั่นจะยิงหลินเมิ้งหยาออกมาต่อหน้าทุกคน

กว่าเขาจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว ทุกคนมองเขาด้วยสายตาของคนแปลกหน้า สายตาของหลงอิงฉู่เผยความกระวนกระวายออกมาอย่างเห็นได้ชัด เหตุเพราะสกุลเฉินที่คอยสนับสนุนเขาและฮองเฮากับไท่จื่อล้วนเงียบกริบ

สถานการณ์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาถูกทอดทิ้ง

“ไม่เคารพบรรพบุรุษ ไม่แม้แต่เคารพญาติพี่น้อง แม้เมิ้งหยาจะเป็นเพียงคนนอก แต่ก็เป็นพระชายาที่ฮ่องเต้เลือก หม่อมฉันยอมตายโดยไม่เสียดายชีวิต แต่คงมิอาจคิดคดต่อบรรพบุรุษได้ เมิ้งหยาขอร้องฮองเฮา ไท่จื่อและพระญาติได้โปรดออกหน้าแทนเมิ้งหยาด้วย”

อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ทรุดตัวลงบนพื้น แค่นเสียงออกมาทีละคำ

เรื่องที่ตำหนักเจาเหอถูกไฟไหม้เป็นเพียงจุดเรียกร้องความสนใจเท่านั้น แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่รู้ว่าใครทำ แต่ถึงกระนั้นนางก็สามารถหยิบยกเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ได้

ส่วนเรื่องยิงธนูหมายเอาชีวิตนาง องค์ชายห้าเป็นผู้เอ่ยปากยอมรับเอง ฉะนั้นขอเพียงนางแสร้งทำตัวเป็นเหยื่อ ไม่ว่าไท่จื่อหรือสกุลเฉินก็มิอาจปกป้องหลงอิงฉู่ได้

“ข้า…”

ยังไม่ทันที่หลงอิงฉู่จะแก้ตัว เสียงตะคอกอย่างเย็นชาของฮองเฮาพลันดังขึ้น

“บังอาจ ! เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ”

“เพล้ง” เสียงดังขึ้น แก้วในมือของฮองเฮาพลันร่วงหล่นกระทบพื้น

ดวงตาคมกริบจ้องหลงอิงฉู่เขม็ง

“หมู่โฮ่ว กระหม่อม…”

สายตาร้อนรน ที่เขาทำเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาก็เพราะเขาคิดว่าฮองเฮาและสกุลเฉินไม่มีวันหักหลังเขา

ดังนั้นเมื่อไท่จื่อบอกให้เขาสร้างความอับอายให้แก่หลินเมิ้งหยา เขาจึงตกปากรับคำทันที

คิดไม่ถึงเลยว่าพอเรื่องแดงขึ้นมา ไท่จื่อจะทำเหมือนเขาเป็นคนอื่น ไม่แม้แต่จะดูดำดูดี

“หุบปาก! เจ้าคิดจะทำอะไร? ก่อกบฏอย่างนั้นหรือ? เสด็จพ่อของเจ้ายังประชวรติดเตียง แต่เจ้ากับก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากแม่ของเจ้ายังอยู่ นางคงตรอมใจตายเพราะเจ้า! เปิ่นกงเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเปิ่นกงและพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงเอ็นดูมากเป็นพิเศษ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าจะบังอาจก่อเรื่องนี้ขึ้นมา เปิ่นกงคงมิอาจช่วยเจ้าได้แล้ว เข้ามา นำตัวองค์ชายห้าไปขังไว้ที่คุกเทียนเหลา เปิ่นกงขอถอดยศองค์ชายห้าและลงโทษในฐานะกบฏ!”

บทลงโทษที่ฮองเฮาประกาศเป็นเหมือนการปลอบประโลมเหล่าพระญาติที่กำลังโกรธเกรี้ยว

องค์ชายห้าเบิกตากว้าง ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายของสุภาษิตที่ว่าข้ามแม่น้ำได้แล้วจึงรื้อสะพานอย่างชัดแจ้ง

“ไม่! พวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้ ไท่จื่อ…ไท่จื่อเป็นคนบอกให้ข้าทำเรื่องนี้”

เมื่อตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก องค์ชายห้าไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก เขารู้เพียงแค่ว่าจะต้องลากไท่จื่อดำดิ่งลงหุบเหวไปด้วยกัน แต่ฮองเฮาจะปล่อยให้เขาสมหวังได้เช่นไร

“บังอาจ ที่ผ่านไท่จื่อปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีกระนั้นหรือ คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้ว เจ้าจะไม่สนใจแม้แต่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างญาติพี่น้อง ไม่รู้จักความกตัญญูรู้คุณ แล้วแบบนี้จะให้เปิ่นกงปล่อยเจ้าไปอีกหรือ”

องค์ชายห้ายังคงตะโกนและก่นด่า แต่ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา

หลงเทียนอวี้ประคองหลินเมิ้งหยาขึ้นมา สบตากันเล็กน้อย ทั้งสองเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ในทันที

งานเลี้ยงฉลองในวันนี้ทำให้ไท่จื่อต้องกำจัดองค์ชายห้าทิ้ง แต่คำสารภาพขององค์ชายห้าเมื่อครู่ เกรงว่าจะไม่ใช่เพียงการพูดจาเลื่อนลอยแต่เพียงเท่านั้น

ดูเหมือนพวกเขาจะสามารถเดินหน้าได้อีกหนึ่งก้าว แต่ถึงกระนั้นก้ยังมิอาจรีบร้อน เหตุเพราะอาจได้ไม่คุ้มเสีย

“ชายาอวี้ เจ้าจงมาที่นี่”

ในที่สุดฮองเฮาก็นึกถึงหลินเมิ้งหยาขึ้นมาได้ นางที่ได้ชื่อว่าแม่สามีของหลินเมิ้งหยาควรจะปลอบใจลูกสะใภ้สักเล็กน้อย

“เพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียง”

หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปหาฮองเฮาด้วยกิริยาว่านอนสอนง่ายระคนโศกเศร้าเล็กน้อย

“เจ้าต้องเสียใจแล้ว คำสั่งสอนของเปิ่นกงไร้ประโยชน์ยิ่งนัก อีกเพียงนิดเดียวเจ้าก็เกือบจะได้รับบาดเจ็บ นี่คือกำไลหยกที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้กับเปิ่นกง บนกำไลหยกมีบทสวดมนต์แกะสลักเอาไว้ เปิ่นกงหวังว่าพระพุทธองค์จะปกป้องเจ้าให้มีชีวิตสงบสุขตลอดไป”

ขณะที่พูด ฮองเฮาถอดกำไลหยกที่ข้อมือของตนเองออก

“ไม่เพคะ นี่…นี่มันมีราคามากเกินไป หม่อมฉันรับไว้ไม่ได้หรอกเพคะ”

หลินเมิ้งหยาคิดอยากปฏิเสธ ทว่าฮองเฮากลับลุกขึ้นแล้วสวมกำไลหยกเข้าที่ข้อมือของนางด้วยตนเอง

“ชายาอวี้เป็นคนมีความสามารถ ดังนั้นเปิ่นกงต้องตบรางวัลให้อย่างงาม”

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ฮองเฮาแย้มยิ้มและจ้องมองหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางอ่อนโยน

มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ดีว่าคำพูดของฮองเฮามิต่างอะไรจากการเปิดศึกกับนาง

“ขอบพระทัยให้ความหวังดีของฮองเฮา หม่อมฉันคงมิอาจปฏิเสธความหวังดีของพระองค์ได้ หากทำให้ฮองเฮาต้องเจ็บช้ำน้ำใจ เกรงว่าจะมิใช่เรื่องดีเลยเพคะ”

หลินเมิ้งหยาแสร้งยิ้มเขินอาย

ทั้งสองสบตากัน ทว่าเพียงชั่ววินาทีที่สายตาบรรจบ ดวงตาของทั้งคู่วาวโรจน์ดั่งเปลวเพลิงก่อนจะดับไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเป็นเด็กรู้ความ ไปเถิด ต่อจากนี้ไปเปิ่นกงจะพยายามชดเชยให้เจ้าอย่างดี”

เมื่อได้สบตากับหลินเมิ้งหยา ฮองเฮารู้สึกเสมือนกำลังจ้องมองตนเองในอดีต ตอนที่นางเพิ่งถวายตัวเข้าวังมา นางกับพระสวามีรักใคร่และให้เกียรติซึ่งกันและกัน

ฉะนั้นนางจึงพยายามจัดการเรื่องฝ่ายในของตนเองให้ดี ผันตัวเองให้เป็นภรรยาผู้เพียบพร้อมและโดดเด่นงดงาม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่ฮ่องเต้ตอบแทนนางจะกลายเป็นการปันใจให้หญิงอื่น

หลินเมิ้งหยา…แม้จะเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่ถึงกระนั้นนางก็มิต่างอันใดจากตนเองในอดีตเลย ทว่าเมื่อเทียบกับตนเองในอดีตแล้ว หลินเมิ้งหยากลับมีความสุขกว่ามาก

ต้าจิ้นไม่ต้องการหญิงสาวฉลาดเฉลียวถึงสองคน ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจะต้องหายไปจากโลกใบนี้

ถวายคำนับก่อนจะกลับออกไป กำไลในมือของหลินเมิ้งหยาทั้งอบอุ่นและเย็นเฉียบ แต่ความรู้สึกส่วนใหญ่คือความรังเกียจ

บางทีอาจเพราะนี่เป็นของที่ฮองเฮาประทานให้กระมัง