เล่มที่ 9 บทที่ 251 มิอาจเปิดเผย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

แขนอบอุ่นข้างหนึ่งยื่นเข้ามาโอบร่างของหลินเมิ้งหยาเอาไว้ นางเอี้ยวหน้ามองก่อนจะได้เห็นสายตาเป็นห่วงของหลงเทียนอวี้

“เป็นอย่างไรบ้าง? ฮองเฮาทำให้เจ้าลำบากหรือไม่?” ถามเสียงเคร่งขรึมระคนเป็นห่วง หัวใจที่เคยเย็นเฉียบของหลินเมิ้งหยาอบอุ่นขึ้นมาก

ใช่แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผู้ชายคนนี้ก็มักจะยืนเคียงข้างนางเสมอ นางยังจะต้องกลัวสิ่งใดอีก ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเขาคอยค้ำจุนอยู่มิใช่หรือ?

นางส่ายหน้า ยกยิ้มปลอบโยนหลงเทียนอวี้

“ฮองเฮาเพียงแค่ให้กำไลหยกกับหม่อมฉันอันหนึ่งเท่านั้นเพคะ มิได้ทำอะไรหม่อมฉันเลยแม้แต่น้อย วันนี้มีพระญาติอยู่มากมาย อีกทั้งยังเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ฮองเฮาไม่มีทางทำอะไรหม่อมฉันแน่”

หลงเทียนอวี้จ้องตาหลินเมิ้งหยา ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดกลัวมิได้ว่าเมื่อต้องต่อกรกับผู้หญิงจอมเจ้าเล่ห์คนนั้นจริงๆ นางอาจจะพ่ายแพ้เอาได้

จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หากหลินเมิ้งหยาต้องเข้าไปอยู่ในวัง เช่นนั้นฮองเฮาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดหลินเมิ้งหยาอย่างแน่นอน

ทว่าอาการประชวรของเสด็จพ่อกำลังย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เขาก็ล้วนทุกข์ใจทั้งสิ้น

หลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมาย สุดท้ายงานเลี้ยงก็จบลง

เรื่องขององค์ชายห้ามีเหล่าผู้นำตระกูลเป็นผู้จัดการตัดสิน แต่เพราะฮ่องเต้ยังทรงพระประชวร สุดท้ายแล้วจะต้องได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ แต่หลินเมิ้งหยาคิดว่าฮองเฮาไม่มีทางปล่อยองค์ชายห้าไปอย่างแน่นอน

ไท่จื่อถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นฮองเอาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ไท่จื่อหลุดจากข้อกล่าวหา

มีเพียงวิธีเดียวนั่นก็คือทำให้คำพูดขององค์ชายห้าเป็นเพียงคำโป้ปดมดเท็จ ส่วนวิธีการจะเป็นเช่นไรนั้น หลินเมิ้งหยามิอาจรู้ได้ แต่ดูท่าแล้วองค์ชายห้าไม่มีทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ได้อย่างแน่นอน

ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นผลจากการกระทำของเขา เรื่องนี้คงมิอาจโทษใครได้

หากคิดจะถลกหนังเสือ เช่นนั้นก็ต้องพร้อมเสี่ยงโดนเสือจับกินด้วย

โดยเฉพาะ…องค์ชายห้าที่ดูจะไม่มีสมองเลยแม้แต่น้อย

บนถนนนอกพระราชวัง รถม้าของจวนอวี้ค่อยๆ เคลื่อนออกไป

ทว่ามันกลับหยุดลงบริเวณมุมมืดแห่งหนึ่ง

จู่ๆ ร่างบางของหญิงสาวพลันปรากฏตัวออกมา เมื่อกวาดสายตาดูแล้วไม่พบใครในบริเวณนั้น นางจึงรีบก้มศีรษะแล้วเข้าไปในรถม้าของหลินเมิ้งหยา

“นายหญิง ข้าแจ้งคุณชายใหญ่เรียบร้อยแล้ว เขาจะรอท่านที่ด้านหน้าและจะไม่ทำให้เป็นที่สังเกตตามคำสั่งของท่าน”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า นางวางใจเสมอเมื่อป๋ายซูเป็นผู้ไปจัดการงานให้

สาเหตุที่นางนัดพี่ชายออกมาก็เพราะอยากรู้ว่าเขาเป็นผู้วางเพลิงตำหนักเจาเหอใช่หรือไม่

หากเขาเป็นผู้กระทำ เช่นนั้นเขาก็ใจกล้าบ้าบิ่นจนเกินไป

เหล่าพระญาติและขุนนางเดินทางออกจากวังหลวง บ้างก็กลับไปยังบ้านของตนเอง บ้างก็พักภายในวังหลวง

ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงตั้งใจเลือกเดินทางบนถนนเล็กๆ ไม่เตะตาผู้คน นอกจากความมืดที่เป็นอุปสรรคเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวล

รถม้าแล่นฝ่าความมืด ไม่นานชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาก็โบกรถม้าของหลินเมิ้งหยาให้จอดลง

“คุณชายใหญ่มาถึงแล้ว นายหญิง…ด้านนอกคือคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”

ป๋ายจื่อที่เห็นหน้าหลินหนานเซิงพลันร้องบอก

“เชิญเข้ามาเถิด”

ในรถม้ามีเพียงคนสนิทของนาง ความลับจึงไม่มีทางถูกแพร่งพรายออกไป

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งพี่ชายและป๋ายซูล้วนมีวิชาการต่อสู้ขั้นยอดฝีมือ หากมีใครแอบฟัง เช่นนั้นพวกเขาจะต้องรู้สึกตัวอย่างแน่นอน

หลินหนานเซิงที่เข้ามาในรถม้ายกยิ้มเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเรื่องที่เขาทำอาจปกปิดทุกคนได้ แต่มิใช่กับหลินเมิ้งหยา

ฉะนั้นเขาจึงสารภาพกับนางโดยตรง

“ท่านพ่อรู้หรือไม่เจ้าคะ?”

มองพี่ชาย หลินเมิ้งหยากระซิบถาม ทว่าหลินหนานเซิงกลับส่ายหน้า

“ข้าไม่กล้าบอกท่านพ่อหรอก หากท่านพ่อรู้เรื่องนี้ ข้าคงถูกเลาะเนื้อเฉือนหนังเป็นแน่”

ทว่าหลินเมิ้งหยากลับกระตุกยิ้มเล็กน้อย นางมองพี่ชายตนเองอย่างสนใจ

“ท่านพ่อรู้อยู่ก่อนแล้วต่างหากเล่า ตอนที่พวกท่านออกไป ท่านพ่อเป็นผู้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เอง แม้ท่านพ่อจะเป็นขุนนางที่มีความซื่อสัตย์ แต่ก็หาใช่คนที่จะยอมให้ใครเข้ามากระตุกหนวดเสือได้ ท่านพี่คิดหรือว่าท่านพ่อจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่องค์ชายห้ายิงธนูหมายเอาชีวิตข้าในวันนี้?”

ตอนนี้หลินเมิ้งหยารู้แล้วว่าเพราะเหตุใดฮองเอาจึงเลือกท่านอ๋องทั้งสองมาโดยบังเอิญ คนหนึ่งคืออ๋องฉงซาน อีกคนคืออ๋องหลีซาน

แม้พวกเขาจะเป็นพระญาติที่มีความยุติธรรม แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังแอบมาคุยกับนางอย่างลับๆ

ในงานเลี้ยง แม้พวกเขาจะได้เจอกับท่านพ่อ แต่ก็ไม่ได้พูดคุยแสดงความคุ้นเคยต่อกัน แต่เพราะการกระทำบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้หลินเมิ้งหยาเข้าใจบางอย่าง

ขณะที่คนอื่นๆ กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับระบำนางฟ้า ทว่าคนทั้งสามกลับลอบส่งยิ้มให้กัน

รอยยิ้มนั้นหาใช่การชมเชย แต่เป็นรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความมีมารยาทและเคารพซึ่งกันและกัน

ตอนนั้นเองที่หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะกระจ่างว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุมของท่านพ่อ

นางและท่านพี่เป็นเพียงหมากตัวเล็กในกระดานเพียงเท่านั้น ท่านพ่อต่างหากที่แอบหนุนหลังอยู่เงียบๆ เขาไม่คิดปริปากหรือเผยสิ่งใดออกมา เกรงว่าแม้แต่ฮองเฮาก็คงไม่มีทางรู้ว่าคนที่เป็นศัตรูกับนางหาใช่หลินเมิ้งหยา แต่เป็นหลินมู่จือ

“เจ้ากำลังจะบอกว่าท่านพ่อรู้เรื่องที่พวกเราทำ อีกทั้งยังช่วยเหลือพวกเรา?”

หลินหนานเซิงไม่อยากจะเชื่อ เขาออกรบร่วมกับท่านพ่อมานานหลายปี เขาที่เป็นรองแม่ทัพจะไม่เข้าใจความคิดของท่านแม่ทัพได้อย่างไร

การจุดไฟเผาตำหนักเจาเหอในคราวนี้เป็นกลอุบายของเด็กหนุ่มสาวหัวสมัยใหม่ จะเป็นไปได้หรือที่คนหัวอย่างพ่อของตนเองจะเห็นด้วย?

เขาไม่อยากจะเชื่อ

“แน่นอนเจ้าค่ะ หากมิเป็นเช่นนั้น เหตุใดหัวลูกศรขององค์ชายห้าจึงหายไปได้? ข้าเดา…ท่านจะต้องให้เพื่อนองครักษ์ของฉินมั่วไปแอบขโมยออกมาใช่หรือไม่? แต่ท่านพี่อย่าลืมว่าเรื่องนี้มีคนดูแลเป็นพิเศษ แล้วเพราะเหตุใดองค์ชายห้าจึงไม่บอกว่าเก็บลูกศรกลับมาแล้ว อันที่จริงเขาลืมเรื่องนี้ไปเลยด้วยซ้ำ แต่คนที่หนุนหลังองค์ชายห้าจะลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร? จะไม่มีใครเตือนเขาเลยหรือ?”

คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้หลินหนานเซิงครุ่นคิดอีกครั้ง

ถูกต้อง เขาเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ราบรื่นจนเกินไป หากมิใช่เพราะท่านพ่อคอยช่วยเหลือเขา เช่นนั้นเรื่องนี้จะต้องแดงออกไปอย่างแน่นอน

อยู่ๆ ก็รู้สึกตกใจ ทั้งที่เคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันมานาน แต่เขากลับไม่เข้าใจความคิดของท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย

“ท่านพี่ อันที่จริงกลอุบายและวิธีการของท่านมิต่างอันใดจากท่านพ่อ เพียงแค่ท่านพี่ยังเด็กแต่เพียงเท่านั้น ตอนนั้นท่านพ่ออาจเก่งไม่เท่าท่านพี่เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายปี ดังนั้นท่านพ่อจึงมีความสุขุมรอบคอบมากขึ้น ข้าเชื่อว่าอีกหน่อย ท่านพี่จะต้องมีความสุขุมรอบคอบเหมือนอย่างท่านพ่อแน่นอน สู้ๆ นะเจ้าคะ”

หลินเมิ้งหยาเข้าใจความคิดของพี่ชายดี หัวใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย

อันที่จริง นางเองก็เพิ่งเข้าใจเรื่องเหล่านี้

ปฏิภาณไหวพริบบางอย่างมิอาจเกิดกับนางที่เคยเป็นผู้ถูกปกป้องตลอดมานางจำต้องเรียนรู้เรื่องความฉลาดเฉลียวและกล้าหาญจากท่านพ่อให้มากกว่านี้

“น้องสาว เจ้าทั้งฉลาดและมีความเด็ดขาด ข้าที่เป็นพี่ชายยังต้องเรียนรู้จากท่านพ่ออีกมาก”

ความฉลาดเฉลียวของสกุลหลินถ่ายทอดอยู่ในกระแสเลือด หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ขอเพียงท่านพี่เข้าใจก็ดีแล้ว

คาดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคราวนี้จะต้องทำให้องค์ชายห้าและตระกูลเฉินล่มสลายด้วยน้ำมือของฮองเฮาอย่างแน่นอน

แต่สกุลเฉินมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลซ่างกวนมิใช่หรือ? เหตุใดฮองเฮาจึงเพิกเฉยต่อสกุลเฉินแล้วเล่า?

“จริงสิน้องสาว เหตุใดคืนนี้ข้าจึงไม่เห็นคนของสกุลเยว่เลยเล่า? เมื่อวานข้าไปที่จวนเยว่ แต่ยามเฝ้าประตูกลับบอกว่าใต้เท้าเยว่พาครอบครัวกลับไปอยู่ที่บ้านแถบชานเมืองแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พอข้าถามถึงเยว่ถิง ยามเฝ้าประตูก็รีบไล่ข้า”

เมื่อพูดถึงเยว่ถิง หัวใจของหลินเมิ้งหยารู้สึกเสมือนถูกบีบรัด

ก้มหน้าลง มองดูปลายเท้าของตนเอง ดูเหมือนนางจะไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ได้อีกต่อไป นางจะพูดอย่างไรให้ท่านพี่ใจเย็นได้กันนะ?

“ท่านพี่ ข้ามีเรื่องอยากบอกท่าน”

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะเข้าไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของพี่ชายเหมือนสมัยยังเด็ก ทว่าคราวนี้นางเข้าไปกอดเขาไว้แน่น ซุกหน้าลงบนบ่าของพี่ชาย ยังไม่ทันจะพูดอะไร หยดน้ำตาพลันรินไหลพรั่งพรูจนเสื้อผ้าของหลินหนานเซิงเปียกชื้น

“เมื่อหลายเดือนก่อนฮ่องเต้หมิงแห่งซีฟานเสด็จมาเยือนต้าจิ้น เหล่าคนในราชวงศ์และขุนนางตามไท่จื่อกับฮ่องเต้หมิงออกไปล่าสัตว์ที่เขาหลิงจู ข้ากับพี่เยว่ถิงก็ไปด้วยเช่นเดียวกัน”

ทั้งที่เวลาผ่านไปหลายเดือนแล้ว ทว่าหลินเมิ้งหยายังคงจำทุกสิ่งทุกอย่างได้มิเคยลืมเลือน

ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามา หยดน้ำตารินไหลมิขาดสาย

ราวกับสาวใช้ทั้งสี่เองก็ถูกความเจ็บปวดครอบงำ เหตุเพราะเยว่ถิงคือคนที่จริงใจกับหลินเมิ้งหยาคนหนึ่งเช่นเดียวกัน

หากมิใช่เพราะการดูแลปกป้องของนาง เกรงว่านายหญิงคงหมดลมหายใจไปตั้งแต่ยังเด็กแล้ว

“ข้ารู้ เกิดเรื่องขึ้นกับเยว่ถิงใช่หรือไม่? นางตกจากหลังม้ากระนั้นหรือ? หรือว่า…หรือว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหน?”

หลินหนานเซิงลังเล เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศผิดปกติ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากถาม ทว่าหลินเมิ้งหยากลับกอดรัดพี่ชายของตนเองแน่นขึ้น

“องค์ชายรองของฮ่องเต้หมิงถูกใครบางคนยุแยงจึงคิดจะลักพาตัวข้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะสามารถพลิกสถานการณ์เอาตัวรอดมาได้หลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เขา…ทำร้ายพี่เยว่ถิง อีกทั้งยังมีคนจิตใจต่ำช้าว่ากล่าวทำร้ายพี่เยว่ถิง เพื่อไม่ทำให้ชื่อเสียงของท่านต้องด่างพร้อย ดังนั้นนางจึงกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย”