เล่มที่ 9 บทที่ 252 หัวใจแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

บรรยากาศเงียบกริบ ทว่าหยดน้ำตากลับไหลนองบนใบหน้านวลของหญิงสาว

หลินเมิ้งหยากอดพี่ชายของตนเองเอาไว้แน่น เหตุเพราะมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่สัมผัสได้ว่าร่างกายของพี่ชายกำลังแข็งทื่อ ลมหายใจเริ่มผิดปกติเพราะความโกรธเกรี้ยว

มือที่เคยเข่นฆ่าศัตรูมากมายกำเข้าหากันแน่น “กรอบ” เสียงกระดูกบดเข้าหากัน แสดงให้เห็นถึงโทสะที่โหมปะทุในหัวใจของหลินหนานเซิง

ใบหน้าหล่อเหลาแข็งทื่อ

“อึก…” เลือดสีแดงสดพ่นออกจากปากเปรอะเปื้อนชุดที่หลินเมิ้งหยาสวมใส่และพื้นของรถม้า

“ท่านพี่ ท่านพี่ อย่าเป็นเช่นนี้ ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงปิดบังท่าน? ข้ารู้ว่าท่านจะต้องทำร้ายตัวเองเช่นนี้ แม้พี่เยว่ถิงจะจากไปแล้ว แต่คนที่นางห่วงที่สุดยังคงเป็นท่าน”

หลินเมิ้งหยาตื่นตระหนก ความกระวนกระวายที่ไม่เคยเป็นมาก่อนบีบรัดหัวใจของนาง

นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านพี่จะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับพี่เยว่ถิงเช่นนี้ เลือดที่พวยพุ่งออกจากหัวใจเป็นคำตอบที่ชัดเจน

“ข้าอยากนำป้ายวิญญาณของนางไปสถิตไว้ที่สุสานบรรพชน นางคือภรรยาเพียงคนเดียวที่ข้าจะแต่งงานด้วยไปตลอดชีวิต ร่างกายของข้าจะฝังอยู่เคียงข้างนางเพียงคนเดียวเท่านั้น น้องสาวของข้า เจ้าช่วยทำให้ความปรารถนาของพี่สมหวังได้หรือไม่?”

หัวใจแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ดวงตาที่เคยเปล่งประกายด้วยความฉลาดเฉลียวของหลินหนานเซิงมืดดับลง

“ตึง” เสียงดังขึ้น ร่างกายของเขาล้มลง ฝันร้ายในคราวนี้หนักหนาสาหัสเกินไป แม้แต่ชายหนุ่มร่างกำยำอย่างหลินหนานเซิงก็มิอาจรับไหว

“ท่านพี่ ท่านอย่าได้คิดสั้นเป็นอันขาด แม้องค์ชายรองแห่งซีฟานจะตายไปแล้ว แต่ท่านต้องรู้ว่าคนที่คิดร้ายต่อพี่เยว่ถิงยังมีชีวิตอยู่ ท่านวางใจ ข้าได้ข่มขู่เหล่าผู้อาวุโสสกุลหลินไว้แล้ว ดังนั้นป้ายวิญญาณของพี่เยว่ถิงจึงสถิตอยู่ที่สุสานบรรพชนของสกุลหลินเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งข้ายังสั่งให้คนนำร่างของพี่เยว่ถิงกลับไปที่บ้านแถบชานเมืองของพวกเราแล้วด้วย”

ทุกคนล้วนรู้ว่าสกุลหลินเป็นสกุลของนักรบที่มีความกล้าหาญ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสกุลหลินเป็นคนหนักแน่นในความรัก

ตอนที่ท่านแม่จากไป ท่านพ่อแทบจะฆ่าตัวตายตาม หากมิใช่เพราะท่านปู่ท่านย่าพยายามโน้มน้าวเขาแล้วล่ะก็ ป่านนี้เขาคงจะจากลูกๆ ผู้ไร้เดียงสาไปนานแล้ว กว่าท่านพ่อจะกลับมาเข้มแข็งดังเดิม เขาร้องไห้นานถึงสามวันสามคืน

แม้นางจะรู้สึกว่าการยึดติดเช่นนี้มิใช่สิ่งที่วีรบุรุษควรมี แต่เพราะความหนักแน่นของท่านพ่อ เขาจึงสามารถเอาชนะใจแม่ทัพใหญ่ได้

ต่อให้มีเงินทองมากขนาดไหนก็มิอาจซื้อใจคนได้ มิเช่นนั้นสกุลหลินจะสามารถปกป้องเจียงซานได้ยาวนานถึงร้อยกว่าปีได้อย่างไร

“ใคร?”

ราวกับว่ากระบี่แหลมคมได้กลายเป็นกริชที่พร้อมจะทะลวงสังหาร

หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่นี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่นางกังวล

แต่สุดท้ายนางไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงใช้ความแค้นกระตุ้นให้ท่านพี่มีชีวิตอยู่ต่อ

“ไท่จื่อ…เขาอาจได้รับคำสั่งจากฮองเฮา แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้สังหารองค์ชายรอง แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกันอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้กำจัดองค์หญิงหมิงเยว่ไปแล้ว ท่านพี่ พวกเราสองพี่น้องต้องร่วมมือกันจึงจะสามารถแก้แค้นให้พี่เยว่ถิงได้ ฉะนั้น ท่านจะต้องกลับมายืนหยัดอีกครั้ง”

อันที่จริง สกุลหลินไม่คิดฝักใฝ่ฝ่ายใดในศึกชิงราชบัลลังก์

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สกุลหลินไม่เคยเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งท่านพ่อและท่านพี่ล้วนคิดเพียงเรื่องปกป้องบ้านเมืองและเหล่าราษฎร

แต่เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ดังนั้นสกุลหลินจำต้องเลือกข้าง หากต้องทำเพื่อไท่จื่อและฮองเฮาที่เห็นแก่ตัว เช่นนั้นสู้เลือกฝั่งที่ฉลาดและมากไหวพริบน่าจะดีกว่า

“ได้”

หลินหนานเซิงพยายามลุกขึ้นจากพื้นของรถม้า ป๋ายซูเป็นคนสายตาว่องไวและมีปฏิกิริยาค่อนข้างรวดเร็ว นางรีบเข้าไปกดจุดตามร่างกายของเขา

“นายหญิง! แย่แล้ว ความโกรธของคุณชายใหญ่ทำให้ธาตุไฟกัดกินหัวใจจนได้รับความเสียหาย หากยังปล่อยไว้เขาอาจเสียสติได้ ข้าเคยได้ยินว่าวิทยายุทธ์ของสกุลหลินแก่กล้ามาก หากยังไม่รีบรักษาแล้วล่ะก็ เขาอาจจะกลายเป็นคนพิการนะเจ้าคะ”

คำพูดของป๋ายซูทำให้เหงื่อผุดท่วมตัวหลินเมิ้งหยา

ทำอย่างไรดี? นางสามารถรักษาบาดแผลภายนอกได้ แต่นางมิอาจรักษาแผลภายในได้

“ท่านพี่ ท่านรอข้าก่อน ข้าจะรีบไปพาท่านพ่อมาช่วยท่านเดี๋ยวนี้”

นางสูญเสียพี่เยว่ถิงไปคนหนึ่งแล้ว ดังนั้นนางจะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องอันใดกับพี่ชายเป็นอันขาด หากเขากลายเป็นคนพิการขึ้นมา เขาคงเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตาย

เพียงเปิดประตูรถม้าออก นางก็เห็นหลงเทียนอวี้ที่กำลังเร่งรีบเข้ามาหา ความรีบร้อนของหลินเมิ้งหยาทำให้นางเกือบตกจากรถม้า แต่โชคดีที่หลงเทียนอวี้พุ่งตัวเข้ามารับนางเอาไว้ในอ้อมกอดได้ทันเวลา

“ระวังหน่อย”

กลิ่นเลือดจางๆ เตะจมูก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน หรือนางจะได้รับบาดเจ็บ?

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้มตัวลงสำรวจ เสียงสะอื้นไห้ของหลินเมิ้งหยาพลันดังขึ้น

“หลงเทียนอวี้ พี่ชายของหม่อมฉันกำลังจะตาย ท่านรีบไปตามท่านพ่อมาได้หรือไม่?”

ตกใจจนแทบขาดสติ ตั้งแต่รู้จักหลินเมิ้งหยามา เขาไม่เคยเห็นนางร้องไห้อย่างน่าสงสารเช่นนี้มาก่อน

ใบหน้านวลขาวอมชมพูบัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา แม้หลงเทียนอวี้จะรู้สึกเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นเขารู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้ค่อนข้างหนักหนาสาหัส

“เกิดเหตุอันใดขึ้นกับพี่ชายของเจ้า? ใจเย็นลงก่อน ค่อยๆ เล่าให้ข้าฟัง บางทีข้าอาจช่วยพี่ชายเจ้าได้”

อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลงเทียนอวี้เองก็มีวิทยายุทธ์ระดับสูง นางรีบคว้ามือของเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย

“หม่อมฉันผิดเอง หม่อมฉันควรจะค่อยๆ เล่าเรื่องพี่เยว่ถิงให้พี่ชายฟัง หม่อมฉันคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตื่นตระหนกถึงเพียงนี้ ป๋ายซูบอกว่าท่านพี่กำลังถูกธาตุไฟกัดกินหัวใจ หากรักษาไม่ทัน เขาอาจจะกลายเป็นคนพิการเพคะ”

หลินเมิ้งหยาโทษแต่เพียงตนเอง แต่นางก็รู้ดีว่ามันมิช่วยอะไร

แม้นางจะไม่พูดออกไปในตอนนี้ แต่สักวันหนึ่งพี่ชายก็ต้องรู้อยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นพี่ชายอาจจะแย่ยิ่งกว่านี้ก็ได้

“ได้ ไม่ไกลจากที่นี่มีโรงเตี๊ยมอยู่ พวกเราไปที่นั่นกันเถิด ข้าจะลองหาวิธีรักษาพี่ชายของเจ้า”

อุ้มหลินเมิ้งหยาขึ้น หลงเทียนอวี้สั่งให้ทหารองครักษ์คุ้มครองรถม้าไปส่งที่โรงเตี๊ยม

เหตุเพราะป๋ายซูช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา ดังนั้นอาการบาดเจ็บของหลินหนานเซิงจึงถูกระงับได้ชั่วคราว

โรงเตี๊ยมแห่งนั้นถูกหลงเทียนอวี้ล้อมเอาไว้ เขาสั่งมิให้แขกของโรงเตี๊ยมออกมานอกห้อง โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น

“ข้าจะไปดูพี่ชายของเจ้า เจ้าจงอยู่พักผ่อนที่นี่เถิด พวกเจ้าทั้งสี่จงดูแลนายหญิงให้ดี”

หลงเทียนอวี้วางตัวหญิงสาวในอ้อมกอดลงที่ห้องโถงใหญ่ ตอนนี้หลินเมิ้งหยากำลังรู้สึกกระวนกระวาย ดังนั้นจึงพยักหน้า ทว่าสายตากลับจับจ้องมองทางห้องที่หลินหนานเซิงกำลังพำนักอยู่

ตอนนี้นางจะทำเช่นไรดี?

แม้จะยังกังวลที่ต้องปล่อยหลินเมิ้งหยาไว้ในห้องโถง แต่หลงเทียนอวี้ก็ตัดสินใจเข้าไปดูอาการของหลินหนานเซิงก่อน

อันที่จริงหากเป็นแต่ก่อน เขาคงทำเพียงรักษาหลินหนานเซิงในฐานะวีรบุรุษแต่เพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง

หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับหลินเมิ้งหยา….เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา

องครักษ์นำร่างของหลินหนานเซิงมาไว้ในห้อง

ตอนอยู่ในงานเลี้ยง หลินหนานเซิงยังมีท่าทางร่าเริงแจ่มใส แต่คิดไม่ถึงเลยว่าช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ไม่ได้เจอกัน เขาจะเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้

ดวงตาทั้งสองข้างมองเพดานนิ่ง ราวกับโลกที่กำลังหมุนอยู่ในขณะนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขาเลยแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าออกไปก่อน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

องครักษ์ออกไปข้างนอกจนหมด ตอนนี้ภายในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาทั้งสอง

นั่งลงบนเก้าอี้ หลงเทียนอวี้มิได้รีบเข้าไปรักษาหลินหนานเซิง แต่เขากลับเทชาใส่แก้ว

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากตาย แต่เส้นเอ็นในร่างกายของเจ้ายังไม่ขาดสะบั้น ดังนั้นขอเพียงเจ้าปรับสมดุลในการหายใจและพักสักเล็กน้อย อาการของเจ้าก็จะดีขึ้น แต่ที่เจ้ายังเป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้าไม่ปรับสมดุลการหายใจของตนเองต่างหาก”

คนบนเตียงยังคงไม่ตอบสนอง

หลงเทียนอวี้ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ

“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกเช่นไรกับเยว่ถิง แต่ข้ารู้อยู่อย่างหนึ่ง หากเจ้าตายไป ชายาของข้าจะเสียใจ ส่วนข้า…ย่อมไม่อยากเห็นนางเสียใจ เจ้าเองก็คงไม่อยากเห็นนางเสียใจใช่หรือไม่?”

อ้างถึงหลินเมิ้งหยา ในที่สุดดวงตาของหลินหนานเซิงก็สั่นไหวเล็กน้อย

“ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าบางอย่าง หากเจ้าตายขึ้นมาจริงๆ น้องสาวของเจ้าก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”

คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรจากการสาปแช่ง หลินหนานเซิงลุกพรวดขึ้นมา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาหลงเทียนอวี้แล้วคว้าคอของเขาเอาไว้ สายตาเปี่ยมไปด้วยความอำมหิต

“พูด! องค์ชายอย่างพวกเจ้าทำอะไรน้องสาวของข้า?”

เพียงได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา หลงเทียนอวี้รู้ได้ทันทีว่าตนเองมาถูกทางแล้ว ดังนั้นเขาจึงกระตุกยิ้มเย็นชา

“ไม่ได้ทำอะไร แต่เพราะการตายของเยว่ถิงทำให้น้องสาวของเจ้าได้รับการกระทบกระเทือนถึงหัวใจ ขนาดจะมีชีวิตข้ามผ่านฤดูหนาวยังยาก หากเจ้าตายไปด้วยอีกคน เกรงว่าน้องสาวของเจ้าจะต้องเสียใจจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ถึงปีหน้า”

กล่าวราวกับมิสนใจใยดีต่อความเป็นความตายของหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย

หลินหนานเซิงที่กำลังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งถูกหลงเทียนอวี้พูดเรียกสติอีกครั้ง

“เจ้าอาจไม่เชื่อข้า แต่เจ้าออกไปดูได้ว่าน้องสาวของเจ้ากำลังกุมหน้าอกและส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากเจ้าตายไป น้องสาวของเจ้าจะเป็นเช่นไร? สกุลของเจ้าจะเป็นเช่นไร? เจิ้นหนานโหวต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังหนุ่ม ซ้ำยังต้องมาไว้ทุกข์ให้กับลูกชายในวัยกลางคน ส่วนชีวิตของลูกสาวก็กำลังจะดับสูญ เมื่อถึงเวลานั้นสกุลหลินจะเป็นเช่นไร?”

หลงเทียนอวี้ตั้งใจเอ่ยเช่นนี้เพื่อยั่วยุหลินหนานเซิง

ในเมื่อคำพูดดีๆ ไม่อาจทำให้เขาได้สติ เช่นนั้นจำต้องทำให้เขาเสียใจจนถึงที่สุด เพื่อให้หลินหนานเซิงคิดได้หลังจากผ่านความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

“หุบปาก!”

หลินหนานเซิงที่มิอาจอดรนทนไหวพุ่งตัวเข้าไป หลงเทียนอวี้แค่นหัวเราะเล็กน้อย ทว่าเสียงแห่งความยินดีพลันดังขึ้นในหัวใจ

ทั้งสองละทิ้งฐานะของตนเอง คนหนึ่งปล่อยหมัด คนหนึ่งสวนกลับ

“ตึงตังโครมคราม”

เสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนในโรงเตี๊ยมต่างรู้สึกสงสัย แม้แต่หลินเมิ้งหยาที่นั่งอยู่ในห้องโถงเองก็จ้องทางชั้นสองเขม็ง