เล่มที่ 9 บทที่ 253 จิตวิญญาณหวนคืน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลินเมิ้งหยารีบลุกขึ้น

สวรรค์โปรด เหตุใดพวกเขาจึงต่อยตีกันเล่า?

“รีบไปดูเร็วเข้าว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดท่านอ๋องจึงต่อยตีกับท่านพี่เล่า? หลงเทียนอวี้! พี่ชายข้ากำลังได้รับบาดเจ็บนะ! หากเจ้ากล้าทำร้ายเขา เจ้ากับข้าได้เห็นดีกันแน่!”

หลินเมิ้งหยาร้องตะโกนขึ้นไปบนชั้นสองอย่างลืมตัว หัวใจของหลงเทียนอวี้สั่นไหว เขารีบคลายมือออกจากตัวหลินหนานเซิง

“ฮึ…ฮึ…เชื่องใช้ได้เลยนี่! แค่น้องสาวข้าบอกให้ปล่อย เจ้าก็ปล่อยทันที”

หลินหนานเซิงทรุดตัวลงกับพื้นพลางหอบหายใจ

เหตุเพราะการต่อสู้เมื่อครู่ โทสะในใจของหลินหนานเซิงจึงคลายลง

“ข้า…ก็แค่ไม่อยากทำให้อาการของเจ้าหนักขึ้นเท่านั้น”

เป็นครั้งแรกที่หลงเทียนอวี้พูดไม่ตรงกับใจ แม้แต่เขาเองก็ตกตะลึง เหตุเพราะเสียงของหลินเมิ้งหยา เขาจึงปล่อยมือในทันที ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องฉุกคิดเลยแม้แต่น้อย

เขาไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

หลังจากควบคุมลมหายใจให้กลับมาสมดุลได้แล้ว ในที่สุดหลินหนานเซิงก็สงบลง

คนรักของเขาจากไปแล้ว ในเวลานี้เขาไม่ต่างอะไรจากคนตายทั้งเป็น แต่ถึงกระนั้นเขาต้องแก้แค้นให้เยว่ถิงก่อน อีกทั้งร่างกายของน้องสาวตนเองยัง…?

หลินหนานเซิงหันไปมองหลงเทียนอวี้ เมื่อครู่เขาบอกว่าหัวใจของนางเสียหายหนัก ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

“สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรกับน้องสาวของข้า?”

หลงเทียนอวี้ชะงัก ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ตอนที่คุณหนูเยว่จากไป ความเสียใจทำให้หัวใจของนางได้รับความเสียหายหนัก ตอนนั้นนางเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด นานมากกว่าจะกลับมาเป็นปกติ ทว่าหากนางทำงานหนักจนเกินไป นางจะไม่สบาย”

นี่คือสิ่งที่หลงเทียนอวี้กังวลที่สุด ไท่อีเคยบอกกับเขาว่าหลินเมิ้งหยาห้ามทำงานหนักหรือเสียใจจนเกินไป

หากคราวนี้ไม่อาจช่วยหลินหนานเซิงเอาไว้ได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะเสียใจขนาดไหน

“ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า หากข้าตัดสินใจเร็วกว่านี้ หากข้าพาน้องสาวไปด้วย หากข้าแต่งงานกับเยว่ถิงให้เร็วกว่านี้ เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น เสี่ยวหยาจะต้องโทษตัวเองที่ไม่ได้ปกป้องเยว่ถิงให้ดีอย่างแน่นอน ข้าจะโทษเด็กโง่คนนี้ได้อย่างไร”

มุมปากของหลินหนานเซิงเหยียดยิ้มขมขื่น

ใช่ว่าเขาไม่ชอบเยว่ถิง เขาเพียงแค่คิดว่านางเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อม ดังนั้นเขาควรทำตนเองให้ประสบความสำเร็จก่อนจึงจะขอนางแต่งงานได้

เขาอยากให้นางกลายเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขที่สุด น่าเสียดาย สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการแยกจากกันตลอดกาล

หลงเทียนอวี้สงสัยเล็กน้อย เหตุใดคนสกุลหลินจึงไม่คิดโยนความผิดให้แก่กัน?

เท่าที่เขาจำความได้ องค์ชายอย่างพวกเขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน

หากเกิดปัญหาขึ้นมา พวกเขาจะรีบโยนความผิดให้อีกฝ่ายทันที แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นการลงโทษจากเสด็จพ่อและท่านอาจารย์

แต่สกุลหลินกลับต่างออกไป เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาล้วนหาข้อผิดพลาดจากตัวเองก่อน หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลให้สกุลหลินรุ่งเรืองมาจนบัดนี้

“ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านเถิด คนในวังเห็นเจ้ากับฉินมั่วไปปรากฏตัวที่ตำหนักเจาเหอ แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจัดการคนเหล่านั้นไปแล้ว ถึงอย่างไรข้ากับเมิ้งหยาก็ต้องขอบคุณเจ้ามาก”

หลงเทียนอวี้จัดแต่งเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อย หากมิใช่เพราะเขาแอบจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างลับๆ ป่านนี้หลินหนานเซิงและฉินมั่วจะต้องอยู่อย่างไม่เป็นสุขแน่นอน

ทิ้งหลินหนานเซิงไว้ในห้องเพียงคนเดียว หลงเทียนอวี้เปิดประตู ก่อนจะเดินลงบันได

คาดว่าสิ่งที่หลินหนานเซิงต้องการมากที่สุดในเวลานี้คือการครุ่นคิดเงียบๆ เพียงลำพัง

“เป็นอย่างไรบ้าง? พระองค์ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”

ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่าง หลินเมิ้งหยารีบพุ่งตัวเข้าไปหา ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ขาวซีด บางทีการต่อสู้ระหว่างเขากับหลินหนานเซิงเมื่อครู่อาจทำให้นางตื่นตระหนกเป็นแน่

“ข้าไม่เป็นไร พี่ชายของเจ้าปลอดภัยแล้ว เมื่อครู่…เมื่อครู่เป็นเพียงวิธีการรักษาเขาแต่เพียงเท่านั้น”

จ้องมุมปากของหลงเทียนอวี้ที่เริ่มบวมเล็กน้อย มีเพียงผีสางเท่านั้นที่จะเชื่อว่าเขากำลังรักษาพี่ชายตนเอง

“พระองค์นี่จริงๆ เลย ยอมพี่ชายหม่อมฉันสักหน่อยจะเป็นไรไป? ตอนนี้เขากำลังได้รับบาดเจ็บจึงทำเรื่องขาดสติไปบ้าง พระองค์อดทนหน่อยได้หรือไม่เพคะ?”

มองดูนางที่ส่งเสียงบ่นกระปอดกระแปดระคนขอร้อง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัวใจของเขารู้สึกอ่อนยวบลงเพียงเพราะได้ยินเสียงอ่อนหวานของนาง

“อืม”

ตอบเพียงสั้นๆ ทว่ากลับมีความหมายมากมาย

มองดูดวงตาคมกริบที่ไม่ได้เย็นชาเหมือนก่อน อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกไม่คุ้นชิน หลุบตาก้มหน้าลงมองกระโปรงของตนเอง

“ท่านพี่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่เพคะ? หม่อมฉันขอไปดูเขาหน่อย จริงสิเพคะท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าพระองค์สนิทกับท่านอ๋องฉงซานและท่านอ๋องหลีซานหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยามีแผนในใจ หากนางได้รับการช่วยเหลือจากท่านอ๋องทั้งสองพระองค์เพื่อเข้าไปในวังหลวง เรื่องนี้จะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน

ต่อให้ฮองเฮาจะมีอำนาจเช่นไร แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนที่มาจากสกุลอื่น เรื่องบางเรื่องจำต้องให้ญาติสนิทเป็นผู้ตัดสินใจ

“พวกเขา?…ข้ามิได้สนิทสนมกับพวกเขาเป็นพิเศษ แต่ได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นมิตรกับเสด็จพ่อ ทว่าหลังจากที่เสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ พวกเขาก็ขอกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง หากไม่มีกิจสำคัญอันใด พวกเสด็จอาไม่มีทางเข้าวังหลวงโดยเด็ดขาด แต่ถึงกระนั้นเสด็จพ่อก็เชื่อใจพวกเขามาก หากพวกเขายังอยู่ ฮองเฮาก็มิอาจใช้มือเพียงข้างเดียวบังท้องฟ้าเอาไว้ได้”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า นางเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้

ท่านอ๋องทั้งสองล้วนเป็นคนฉลาดเฉลียว หากพวกเขายังอยู่ในวังหลวงหลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ที่ว่ามีอำนาจสูงกลบนายก็เป็นได้ การถอนตัวออกไปหาใช่เพียงการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง แต่ยังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮ่องเต้อีกด้วย

ใช่ว่าทุกคนจะคิดและทำได้

“เช่นนั้นหม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ วันนี้ท่านอ๋องทั้งสองช่วยหม่อมฉันระหว่างงานพิธีเอาไว้มาก หม่อมฉันจึงอยากให้ท่านอ๋องช่วยหม่อมฉันเลือกของขวัญสักสองสามอย่างแล้วนำไปส่งมอบให้แก่พวกเขา หนึ่งก็เพื่อขอบคุณในความช่วยเหลือ สองเพราะสุขภาพร่างกายของหม่อมฉันในเวลานี้ไม่แข็งแรงจึงยังไม่สะดวก ไม่ทราบว่าท่านอ๋องสามารถช่วยได้หรือไม่เพคะ?”

หลงเทียนอวี้มองหลินเมิ้งหยา หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นมากขึ้น

เขาต่างหากที่ควรออกหน้าปกป้องนางในงานเลี้ยง แต่จนกระทั่งตอนนี้ หลินเมิ้งหยากลับเอาใจใส่และคิดแทนเขาทุกอย่าง

อันที่จริงเขาเองก็อยากได้รับความช่วยเหลือจากท่านอ๋องทั้งสอง แต่เขากลับไม่มีโอกาสจึงทำได้เพียงรอเท่านั้น

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะอาศัยโอกาสที่ตนเองตกอยู่ในอันตรายจนเกือบถึงชีวิตมาเปิดทางสานความสัมพันธ์ระหว่างเขากับท่านอ๋องทั้งสอง ขนาดหมู่เฟยยังไม่เคยคิดเรื่องนี้แทนเขา

“เป็นอะไรไปเพคะ? หรือพระองค์ไม่สะดวก?”

หลินเมิ้งหยาไม่ได้คิดอะไรมาก เหตุเพราะนางจะต้องอธิบายเรื่องของพี่ชายให้ท่านพ่อฟัง ยิ่งไปกว่านั้น นางคาดว่าท่านพ่อจะต้องรู้เรื่องของพี่เยว่ถิงแล้วอย่างแน่นอน

จนกระทั่งตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าพ่อของตนต่างหากที่เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่แท้จริง

เหตุการณ์ในคราวนี้สอนนางให้รู้ว่า หากคิดจะกุมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ เช่นนั้นนางยังต้องพยายามอีกมาก

“ไม่มีอะไร ข้าจะไปขอบคุณเสด็จอาทั้งสองอย่างแน่นอน พี่ชายของเจ้าน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าจะสั่งให้หลินขุยอยู่ที่นี่ หากคืนนี้เจ้าอยากกลับไปที่จวนเจิ้นหนานโหว เช่นนั้นหลินขุยจะคอยอยู่ปกป้องดูแลเจ้า”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ก่อนจะส่งยิ้มพิมพ์ใจให้หลงเทียนอวี้

คืนนี้นางจะต้องกลับไปยังบ้านสกุลหลิน ตอนแรกนางมีเหตุผลในการกลับไปไม่เพียงพอ แต่ถ้าหากมีหลินขุยเป็นผู้ไปส่ง เช่นนั้นสถานการณ์จะแตกต่างออกไป

เดินขึ้นไปบนชั้นสอง เพียงเปิดประตูออกก็เห็นข้าวของกระจัดกระจายระเนระนาด

ดูเหมือนท่านพี่และหลงเทียนอวี้จะไม่ใช่เพียงต่อยตีกันเล่นๆ

ยกชายกระโปรงขึ้น เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ผลปรากฏว่านางเห็นพี่ชายที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทางเหม่อลอย

ชายที่หัวใจแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเมื่อครู่กลับมามีชีวิตจิตใจอีกครั้ง แม้จะยังมีท่าทางหมดสภาพ แต่ถึงกระนั้นนี่อาจเป็นความเข้มแข็งอย่างหนึ่งของคนสกุลหลิน

นางเองก็เคยเจ็บปวดจนหัวใจได้รับความเสียหาย สุดท้ายนางจึงตรงไปที่บ้านสกุลหลินแถบชานเมืองเพื่อร้องขอเรื่องพี่เยว่ถิงมิใช่หรือ?

หลังจากบาดแผลหายไป ใช่ว่าพวกเขาสกุลหลินจะลืมเลือนความเจ็บปวดที่เคยได้รับ แต่พวกเขารู้ดี หากยังมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเขายังมีสิ่งสำคัญให้ต้องทำ การใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับความทุกข์เป็นการกระทำของคนขี้ขลาด

“เสี่ยวหยา มานี่เถิด”

หลินหนานเซิงที่นั่งอยู่บนพื้นยื่นมือของตนเองออกมา ราวกับว่าต้องการจะโอบกอดร่างบางของหลินเมิ้งหยาเหมือนครั้นยังเยาว์

“ขอโทษ ทั้งที่เป็นความผิดของข้า แต่ข้ากลับปล่อยให้เจ้าแบกรับความเจ็บปวด ขอโทษนะเสี่ยวหยาของพี่”

หยดน้ำตาอุ่นๆ กระทบลงบนผิวหนังของหลินเมิ้งหยา ระหว่างพวกเขาสองพี่น้องมิจำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมามากมาย

ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปสมัยเด็ก หลินเมิ้งหยามักเอื้อมมือไปตบบ่าของพี่ชายเบาๆ ก่อนที่จะส่งเสียงปลอบโยน

“ไม่เป็นเจ้าค่ะ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว จะต้องดีขึ้น ต่อจากนี้ไปจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”

พี่น้องทั้งสองได้รับการอารักขาจากหลินขุยกลับมายังจวนเจิ้นหนานโหว รองแม่ทัพของหลินมู่จือเดาเอาไว้แล้วว่าทั้งสองจะต้องกลับมาพร้อมกัน ฉะนั้นเขาจึงรอที่หน้าประตูบ้านเงียบๆ

“คุณหนูใหญ่ คุณชายใหญ่ ท่านแม่ทัพรอพวกท่านอยู่ในห้องอ่านหนังสือขอรับ”

สองพี่น้องสบตากัน ก่อนจะเดินไปยังห้องอ่านหนังสือ

แสงสีเหลืองอ่อนจากเปลวเทียนส่องสว่างในห้องอ่านหนังสืออันมืดมิด

หลินมู่จือนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ อ่านเอกสารทางการทหาร แม้สีหน้าท่าทางจะสงบนิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาอ่านเอกสารหน้านั้นนานถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม

“ท่านพ่อ”

เสียงของหลินเมิ้งหยาดังขึ้น ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเงยหน้า เมื่อเห็นลูกทั้งสองยืนอยู่ในห้องอย่างปลอดภัย เขาจึงถอนหายใจเบาๆ

“กลับมาแล้วสินะ นั่งลงเถิด พ่อมีเรื่องอยากพูดกับพวกเจ้า”

มองดูลูกชายลูกสาวที่นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างว่านอนสอนง่าย หลินมู่จือถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง

ฮูหยินเอ๋ย ฮูหยินของข้า ลูกชายและลูกสาวของเราบัดนี้เติบใหญ่ผงาดเป็นมังกรและหงส์กันหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่

“ท่านพ่อ ข้า…”

ทันทีที่นั่งลง หลินหนานเซิงคิดอยากอธิบาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะโบกมือห้ามเอาไว้