เล่มที่ 9 บทที่ 254 เดินหมากพลาดเพียงหนึ่งตา

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ท่านพ่อ ที่ท่านพี่ทำไปทั้งหมดก็เพราะข้า ฉะนั้นได้โปรดอภัยให้ท่านพี่ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

ตั้งแต่เล็กจนโต เพื่อปกป้องน้องสาวสุดที่รัก หลินหนานเซิงได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย แม้แต่ครั้งนี้เองก็เช่นกัน เพื่อออกหน้าล้างแค้นให้น้องสาวเขาจึงยอมเสี่ยงอันตราย หลินเมิ้งหยารู้ดี แม้ท่านพ่อจะปกปิดเรื่องที่พี่ชายทำ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเขาจะไม่ลงโทษพี่ชาย

“เสี่ยวหยา ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการขอความเมตตาให้กับพี่ชายของเจ้า แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าการกระทำของพี่ชายเจ้าในวันนี้อาจทำให้สกุลหลินต้องถูกทำลาย? แม้ข้าตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่คนอื่นๆ ในสกุลหลินเล่า? ทุกคนจะต้องมาตายตกกันเพราะเรื่องในวันนี้หรือ?”

คำพูดของท่านพ่อทำให้หลินเมิ้งหยาและหลินหนานเซิงก้มหน้าลง หลินมู่จือมองดูลูกชายลูกสาวที่น่ารักทั้งสองก่อนจะถอนหายใจ

“การที่องค์ชายคิดสังหารน้องสาวของเจ้า เรื่องนี้เขาก็ควรได้รับโทษหนักอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การที่เจ้าเผาตำหนักเจาเหอแล้วโยนความผิดให้องค์ชายห้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าไม่เพียงองค์ชายห้าเท่านั้นที่ถูกทำลาย แม้แต่สกุลเฉินเองก็ถูกทำลายลงไปด้วย”

หลินมู่จือเอ่ยเสียงแข็ง แม้เด็กทั้งสองคนนี้จะฉลาดเฉลียว แต่พวกเขายังไม่รอบคอบพอ

แม้พวกเขาเหล่านั้นจะรู้ว่าสกุลที่ได้รับชัยชนะคือสกุลหลินของหลินเมิ้งหยา แต่ในความเป็นจริง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการดูถูกสกุลซ่างกวน

“ท่านพ่อเคยบอกว่าสกุลเฉินสวามิภักดิ์กับสกุลซ่างกวนมิใช่หรือ หากสกุลเฉินถูกทำลาย นั่นก็นับเป็นเรื่องดี เหตุเพราะเสาค้ำจุนสกุลซ่างกวนก็จะหายไปหนึ่งต้น”

หลินหนานเซิงยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของหลินมู่จือ หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด สีหน้าเปลี่ยนไป ดูเหมือนนางจะเดินหมากพลาดไปหนึ่งตาแล้ว

“ดูเหมือนเสี่ยวหยาจะเข้าใจแล้ว เจ้าลองบอกพี่ชายเจ้าหน่อยเถิด”

หลินมู่จือส่ายหน้า แม้หนานเซิงจะเป็นนักรบที่เก่งกาจ ชั้นเชิงในการรบไม่เลว แต่เพราะความแค้นเขาจึงเดินหมากพลาดไปแล้ว

ผิดกับเสี่ยวหยา แม้นางจะไร้ซึ่งวรยุทธ์ แต่กลับมีความเฉลียวฉลาด

“ท่านพ่อหมายความว่าแม้สกุลเฉินจะสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่างกวน แต่ก็เป็นเพียงการพึ่งพาอาศัยกัน สกุลเฉินมีอำนาจทางการทหารส่วนหนึ่งในกำมือ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถปกป้องชีวิตขององค์ชายห้าเอาไว้ได้ แต่วันนี้องค์ชายห้ากลับถูกลงโทษ หากคิดจะรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ เช่นนั้นสกุลเฉินต้องนำอำนาจทางการทหารเข้าแลก เท่านี้สกุลเฉินไม่เพียงจะเสียอำนาจ แต่ยังถูกสกุลซ่างกวนรวบอำนาจไปจนหมด”

หลินมู่จือพยักหน้า เสี่ยวหยาเป็นเด็กฉลาดหาตัวจับยาก

“ยิ่งไปกว่านั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา สกุลซ่างกวนทำเรื่องชั่วช้ามากมาย หากสกุลเฉินถูกทำลายลงแล้วล่ะก็ พวกเจ้าคิดว่าใครจะได้เป็นผู้สืบทอดอำนาจเหล่านั้นต่อ?”

คำพูดของหลินมู่จือทำให้ลูกทั้งสองเงียบลง

เหตุเพราะท่านพ่อพูดถูก หากสกุลเฉินถูกทำลาย เช่นนั้นคนที่รู้สึกดีใจคงมิพ้นสกุลซ่างกวน เพียงเท่านี้ สกุลเฉินจะมิใช่เพียงสกุลที่ตกอยู่ในกำมือของสกุลซ่างกวน แต่ยังต้องรับผิดแทนสกุลซ่างกวนอีกด้วย

เพื่อปกป้องลูกหลานสกุลเฉิน พวกเขาจะต้องไม่กล้าต่อกรกับสกุลซ่างกวนเป็นแน่ ดังนั้นสกุลซ่างกวนจึงมีโอกาสลบล้างความผิดอีกครั้ง

หัวใจของหลินเมิ้งหยาสั่นไหว ท่านพ่อพูดถูก คราวนี้ฮองเฮาได้รับชัยชนะไปอย่างขาดลอย

แต่คนที่สกุลเฉินโกรธแค้นกลับเป็นตัวนางเอง

“หยาเอ๋อร์ เจ้าได้เจอท่านอ๋องทั้งสองแล้วใช่หรือไม่? พวกเขาเป็นมิตรสหายของพ่อ แม้จะไม่เกิดเรื่องตำหนักเจาเหอ แต่องค์ชายห้าก็มิอาจหลุดรอดไปจากความผิดได้ พ่อไม่มีทางปล่อยให้คนนอกมารังแกลูกสาวของตัวเองอย่างแน่นอน เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า วันนี้ท่านพ่อกำลังสั่งสอนนางและท่านพี่ว่าสิ่งใดคือการวางชั้นเชิงและกุมอำนาจที่แท้จริง

“ท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ลูกน้อมรับความหวังดีของท่าน”

ตอนนี้หลินเมิ้งหยารู้สึกเลื่อมใสพ่อของตนอย่างแท้จริง แม้วิธีการของนางและพี่ชายจะโหดเหี้ยมอำมหิต แต่กลับเป็นการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว หากนางต้องการประสบความสำเร็จ เช่นนั้นนางต้องได้รับความร่วมมือจากท่านพ่อและไหวพริบจากหลงเทียนอวี้

หากทำตามวิธีการของท่านพ่อ อ๋องฉงซานและอ๋องหลีซานอาจจะลงโทษองค์ชายห้าไม่ถึงกับตาย ส่วนฮองเฮาที่เป็นแม่เลี้ยงก็ไม่สามารถพ้นผิดได้เช่นเดียวกัน

ผลสุดท้ายองค์ชายห้าจะถูกจัดการอย่างเหมาะสม ส่วนอำนาจทางการทหารของสกุลเฉินจะไม่ตกอยู่ในมือของสกุลซ่างกวน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาอาจจะโจมตีฮองเฮากลับเสียด้วยซ้ำ

นี่คือบทสรุปที่แยบยล

ทว่านางกับพี่ชายเดินหมากพลาดจนแผนการของท่านพ่อและอ๋องทั้งสองผิดพลาดไป

“ลูกเข้าใจแล้วขอรับ ลูกเป็นฝ่ายผิดเอง ท่านพ่อได้โปรดลงโทษด้วย”

หลินหนานเซิงเลิกดึงดันตามความคิดของตนเอง ทุกครั้งที่อยู่ในสนามรบ ท่านพ่อมักเอ่ยว่าเขาจะต้องมองยุทธศาสตร์การรบในภาพรวมเพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่จุดเดียว ทุกครั้งที่ท่านพ่อเป็นผู้วางแผน เขามักหลอกล่อศัตรูได้เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่เคยรบแพ้เลยสักครั้งเดียว

ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่านั่นมิใช่เพราะบุญวาสนาหรือโชคช่วย แต่เพราะความฉลาดเฉลียวและไหวพริบของท่านพ่อที่ทำความเข้าใจกำลังในการรบของศัตรูต่างหาก

“เข้าใจก็ดีแล้ว อันที่จริงแม้เจ้าจะกระทำการอุกอาจไปบ้าง แต่มันก็หาใช่การเดินหมากผิดพลาดไปเสียทีเดียว”

หลินมู่จือไม่เคยคิดกล่าวโทษการกระทำของลูกชายเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่อยากสั่งสอนลูกชายก็เท่านั้น ต่อจากนี้ไปเขาจะได้ระมัดระวังในการกระทำของตนเองมากขึ้น

“หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ?” หลินหนานเซิงร้อนใจเป็นอย่างมาก แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็เดาความคิดของพ่อตนเองไม่ออก เขาจะพลิกสถานการณ์เลวร้ายนี้เป็นเรื่องดีได้อย่างไร?

“สุดท้ายเรื่องที่ตำหนักเจาเหอถูกไฟไหม้ก็จะกลายเป็นสาส์นจากสวรรค์ แล้วเหตุใดสวรรค์จู่ๆ ก็ลงโทษเช่นนี้เล่า? บางทีนี่อาจจะเป็นคำเตือนจากสวรรค์ก็ได้”

ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย ชาติก่อนนางยังจำได้ดีถึงเรื่องก่อนที่จักรพรรดินีบูเช็คเทียนจะขึ้นครองบัลลังก์ ได้เกิดเรื่องราวโกลาหลเกี่ยวกับฟ้าดิน

ดังนั้นอำนาจการบริหารแผ่นดินในเวลานี้ที่ถูกควบคุมโดยฮองเฮาจะมิถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรงกระนั้นหรือ?

“ท่านพ่อกำลังจะบอกว่าการที่ฮองเฮาปกครองประเทศทำให้บ้านเมืองไม่สงบสุข?”

หลินหนานเซิงเองก็เป็นคนฉลาด เขาเข้าใจความหมายที่หลินมู่จือต้องการจะสื่อในทันที

หลินมู่จือพยักหน้า ดูเหมือนลูกสาวและลูกชายของเขาจะได้รับถ่ายทอดความฉลาดเฉลียวของวงศ์ตระกูล

“ท่านพ่อเจ้าคะ ที่ลูกกลับมาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องต้องการปรึกษาท่าน”

หลินเมิ้งหยายังไม่เคยพูดกับพ่อตนเองเรื่องที่นางต้องการเข้าวัง ในเมื่อมีเรื่องบัญชาจากสวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นนั้นฮองเฮาก็คงไม่อาจมีแก่ใจมาต่อกรกับนางแล้วใช่หรือไม่?

นั่นเท่ากับว่านี่เป็นโอกาสอันดี

“พูดมาเถิด เจ้ามีความคิดพิเรนทร์อันใดอีก?”

หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องที่ต้องการเข้าวังเพื่อรักษาฮ่องเต้ให้กับสองพ่อลูกฟังอย่างชัดเจน

หลังจากฟังจบ ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ

อย่าว่าแต่อันตรายรอบด้านในวังหลวงเลย ต่อให้นางได้เข้าพบฮ่องเต้จริง แต่นางจะสามารถทำอันใดได้?

“หยาเอ๋อร์ พ่อขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้ามั่นใจมากเพียงใดว่าจะรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้ได้? ข้าได้ยินพี่ชายของเจ้าเล่าว่าเจ้าสามารถถอนพิษได้จริงหรือไม่?”

หลินมู่จื่อเอ่ยถามเสียงเข้ม เหตุเพราะเกิดเรื่องราวน่าประหลาดใจมากมายกับลูกสาวของตนเอง

แต่อาการประชวรของฮ่องเต้หาใช่เรื่องเล่นๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับทุกชีวิตในสกุลหลิน

โชคดีที่หลินเมิ้งหยาเตรียมคำตอบเอาไว้ก่อนแล้ว

“ลูกไม่กล้าหลอกลวงท่านพ่อ อันที่จริงลูกมีประสาทสัมผัสเกี่ยวกับยาพิษไวมากเป็นพิเศษ ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือเพียงข้าได้กลิ่น ข้าก็สามารถจำแนกได้ทันทีว่ามันคือยาพิษหรือไม่ ส่วนเรื่องถอนพิษ เหตุเพราะในจวนอวี้มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งสั่งสอนลูก อาจารย์ท่านนี้มีความสามารถในการถอนพิษขั้นสูง”

อันที่จริงคำพูดของหลินเมิ้งหยามีช่องโหว่ค่อนข้างมาก

ทว่าหลินมู่จือกลับไร้ซึ่งท่าทางสงสัย

สบตาลูกสาว หลินมู่จือถอนหายใจเล็กน้อย

“เด็กคนนี้เหมือนแม่ไม่มีผิด พ่อจะบอกความจริงเจ้าหนึ่งเรื่อง อันที่จริงแม่ของเจ้าเป็นหมอเทวดาเลื่องชื่อของเมืองหลวง!”

หมอเทวดา? คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน ก่อนจะพยายามหาข้อมูลในสมอง

ตอนนั้นพี่ชายของนางยังพูดจาอ้อแอ้ ส่วนนางก็เป็นเพียงทารกในห่อผ้า แล้วแบบนี้นางจะมีภาพความทรงจำเหล่านั้นได้เช่นไร?

พิศดูลูกสาวด้วยสายตาชื่นชม หลินมู่จือเอ่ยต่อ

“ตอนที่พ่อรู้จักกับแม่ของเจ้า แม่ของเจ้ารักษาชาวบ้านอยู่ที่แถบชายแดน ต่อมาพ่อได้รับบาดเจ็บ รองแม่ทัพร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาสั่งให้คนไปลักพาตัวแม่ของเจ้ามารักษาพ่อ”

ตอนนั้นทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ

หลินเมิ้งหยาและหลินหนานเซิงสบตากัน นับตั้งแต่วันที่พวกเขาเติบโต นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อเล่าเรื่องราวความรักระหว่างเขากับท่านแม่

ราวกับตกอยู่ในภวังค์ หวนนึกถึงภาพความทรงจำอันสวยงามในเวลานั้น ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมอยู่เสมอพลันอ่อนโยนลง หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด นี่จะต้องเป็นสิ่งที่ใครต่อใครเรียกว่าความอ่อนโยนของผู้ชายอย่างแน่นอน

แม้ว่าท่านพ่อจะแสดงท่าทางเคร่งขรึมอยู่เสมอ แต่อันที่จริง หัวใจของเขาอ่อนโยนยิ่งนัก

คงไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากที่ท่านแม่ตายไปสองสามปี ท่านพ่อจะเป็นผู้เลี้ยงดูนางเพียงคนเดียว

จนกระทั่งตอนนี้นางก็ยังนึกภาพท่านแม่ทัพที่มักเหวี่ยงดาบฟาดฟันศัตรูในสนามรบเลี้ยงดูลูกสาวตัวน้อยๆ เพียงคนเดียวไม่ออก

“ตอนนั้นแม่ของเจ้าได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแถบชายแดน นางทั้งงดงาม เฉลียวฉลาด อีกทั้งยังใจดีมีเมตตา ทั้งที่ถูกรองแม่ทัพของพ่อลักพาตัวมา แต่นางกลับทำเพียงดุด่าสั่งสอนเขาเท่านั้น พวกเจ้านึกภาพออกหรือไม่? ทุกคนในค่ายทหารล้วนเดินตามวอแวแม่ของเจ้าทุกครั้งที่ได้เจอ ตอนนั้นพ่อรู้สึกทรมานเหลือเกิน”

แย้มยิ้มกว้าง ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลินเมิ้งหยาและหลินหนานเซิงสบตากัน ก่อนจะแสดงท่าทางเสียดาย

หากท่านแม่ยังอยู่ ท่านพ่อคงจะเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้

“ดูเถิด ข้าแก่มากแล้ว พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้”