หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่เป็นเรื่องราวความรักอันแสนโรแมนติกของท่านพ่อและท่านแม่ ยิ่งไปกว่านั้นยังออกมาจากปากของท่านพ่อเองอีกด้วย
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ อันที่จริงข้ากับท่านพี่เองก็อยากรู้เรื่องของท่านพ่อและท่านแม่เหมือนกัน”
ตอนที่ฮูหยินหลินด่วนจากไป หลินหนานเซิงอายุเพียงไม่กี่ขวบปีเท่านั้น ฉะนั้นความทรงจำเกี่ยวกับมารดาของเขาจึงไม่ได้แตกต่างจากหลินเมิ้งหยา
“เด็กคนนี้นี่ ช่างรู้วิธีเอาอกเอาใจพ่อ อันที่จริงเรื่องนี้มันก็นานมาแล้ว หลังจากที่พ่อพาแม่ของเจ้ากลับมายังเมืองหลวง แม่ของเจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง จึงแอบรักษาคนป่วยอย่างลับๆ แต่ไม่นานคนทั้งเมืองต่างก็พากันกล่าวขานว่าแม่ของเจ้าเป็นหมอเทวดา สุดท้ายจึงได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาหน้าหยก อันที่จริงเหตุผลที่พี่ชายของเจ้ามีวิทยายุทธค่อนข้างสูง นั่นก็เพราะแม่ของเจ้ากินยาเทวดาเข้าไปตอนท้อง ขนาดปู่ของเจ้ายังพูดว่าเด็กแข็งแรงขนาดพี่ชายเจ้าหาได้ไม่มากนัก”
หลินหนานเซิงส่ายหน้าไปมาอย่างเขินๆแต่นั่นเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
ตอนเด็กเขาแข็งแรงกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก ดังนั้นทุกครั้งที่ออกหน้าต่อยตีปกป้องน้องสาว เขาจึงไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน
“ดูเหมือนข้าเองก็ได้รับพรสวรรค์จากท่านแม่เช่นเดียวกัน ท่านพ่อคงไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านนั้นของข้าหาใช่คนธรรมดา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน เขาพยายามโน้มน้าวขอข้าไปเป็นผู้สืบทอดวิชาให้ได้ ดูเหมือนเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับท่านแม่อย่างแท้จริง ข้าช่างเหมือนท่านแม่เหลือเกิน”
คำว่า “แม่” สำหรับหลินเมิ้งหยา ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ล้วนเป็นเพียงคำแปลกประหลาดที่นางไม่รู้จัก
นางเติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า แม้ว่าคุณแม่แห่งบ้านเด็กกำพร้าจะเอ็นดูนางมาก แต่ถึงกระนั้นคุณแม่ก็รักเด็กคนอื่นๆ เหมือนกัน ทว่าการได้มาเจอท่านพ่อเช่นนี้ นางรู้สึกราวกับว่าตนเองได้เห็นภาพหญิงสาวอัศจรรย์คนหนึ่งซึ่งทำให้ชายผู้กล้าหาญหลงรักและมั่นคงในรักตลอดมา
ดังนั้นนางจึงรู้สึกราวกับว่าระยะห่างของตนเองกับท่านแม่ใกล้กันมากขึ้น
“ดี เช่นนั้นเจ้าจงตั้งใจร่ำเรียนวิชาการแพทย์ แม่ที่อยู่บนสวรรค์ของเจ้าจะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง นางคิดไม่ถึงเลยว่าสกุลหลินจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นนี้
“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าอยากใช้ชื่อเสียงเรียงนามของท่านแม่เพื่อขอเข้าวังไปดูอาการประชวรของฮ่องเต้เจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ท่านแม่เคยรักษาจะต้องยังรู้สึกเชื่อมั่นในตัวข้าอย่างแน่นอน เท่านี้เสียงสนับสนุนของข้าก็จะเพิ่มมากขึ้นมิใช่หรือเจ้าคะ?”
มองสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวังของหลินเมิ้งหยา สีหน้าของหลินมู่จือยังคงเคร่งขรึม
“หยาเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงอยากเข้าวังนัก? หรือเป็นเพราะอ๋องอวี้?”
อยู่ๆ สีหน้าของหลินเมิ้งหยาพลันแดงระเรื่อขึ้นมา ท่าทางเขินอายบ่งบอกความคิดทุกอย่างของนางได้เป็นอย่างดี
หลินมู่จือถอนหายใจ แม้ลูกสาวจะไม่ใช่คนในโอวาทของเขาอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้นางยังเป็นถึงชายาอวี้ ทว่าเขากลับยังไม่รู้สึกยินดีกับการแต่งงานในคราวนี้เท่าไรนัก
ลูบเส้นผมของลูกสาว ก่อนที่จะส่งเสียงหนักแน่นออกมา
“อันที่จริงอ๋องอวี้เองก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวสำหรับชีวิตคู่ อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่พ่อกับพี่ชายของเจ้าเองก็พอใจในตัวของเขามาก แต่หลังจากที่เจ้าได้รับตำแหน่งชายาอวี้แล้ว เกรงว่าจะต้องเจอเรื่องลำบากมากมายใช่หรือไม่? หากเจ้าเข้าไปในวังหลวง แม้แต่พ่อก็อาจจะเข้าไปช่วยเจ้าไม่ได้ แม้เจ้าจะฉลาดเฉลียว แต่วังหลวงมีกลอุบายมากมาย เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าจะสามารถรับมือได้?”
อันที่จริงนางเคยคิดถึงปัญหาเหล่านี้แล้ว แต่ถ้าหากการมอบอำนาจทางการปกครองมิใช่พระประสงค์ของฮ่องเต้ แต่กลับเป็นเรื่องผิดพลาด
เช่นนั้นอย่าว่าแต่หลงเทียนอวี้เลย แม้แต่สกุลหลินเองก็จะพลอยซวยไปด้วย ดังนั้นนางจะต้องหาวิธีการทำให้อำนาจเหล่านั้นกลับมาอยู่ในมือของฮ่องเต้ทั้งหมด
“ข้ารู้ว่าท่านพ่อกำลังกังวลเรื่องใด แน่นอนว่าวังหลวงล้วนเต็มไปด้วยเล่ห์กล แต่พระอาการของฮ่องเต้ในเวลานี้มิอาจปล่อยให้ย่ำแย่ลงได้อีกต่อไปแล้ว ท่านพ่อ ข้าเป็นลูกสาวของสกุลหลิน ข้าย่อมคิดถึงวงศ์ตระกูลของพวกเรา เช่นนั้นท่านพ่อได้โปรดช่วยใช้อำนาจเบิกทางให้ข้าสักครั้งเถิด”
หลินเมิ้งหยากล่าวออกมาอย่างมีเหตุผล หลินมู่จือเงียบลงเพื่อครุ่นคิด
ตอนนี้อาการประชวรของฮ่องเต้ทรุดลงทุกวัน ขนาดพวกเขาที่เป็นขุนนางเก่ายังไม่อาจเข้าพบฮ่องเต้ได้เพราะฮองเฮาสั่งห้ามเอาไว้
แม้พวกเขาจะยังสามารถโต้แย้งกับฮองเฮาและไท่จื่อได้ แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับฮ่องเต้แล้วล่ะก็ เกรงว่าทั้งเจียงซานคงจะสั่นสะเทือน
“เจ้ากลับไปก่อนเถิด พ่อต้องใช้เวลาในการไตร่ตรองเรื่องนี้ จงจำเอาไว้ให้ดี อย่าได้หุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด หากจะต้องส่งเจ้าเข้าวังจริง เช่นนั้นเราต้องวางแผนให้รอบคอบ”
หลินมู่จือมิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดของลูกสาวตนเองได้ สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้สกุลหลินทำตัวเป็นกลางไม่ได้อีกต่อไป
“เจ้าค่ะ ลูกขอตัวกลับก่อน ท่านพ่อและท่านพี่รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยาไม่คิดบีบบังคับพ่อของตนเอง พวกนางยังคงเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน แตกต่างจากพวกท่านพ่อที่มีความคิดความอ่านรอบคอบ ส่วนเรื่องที่ว่าจะได้เข้าวังและได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ รวมถึงเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยงฮองเฮา จำเป็นต้องให้ท่านพ่อวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เหตุเพราะตนเองมีฐานะเป็นถึงชายาอวี้ ดังนั้นนางจึงมิอาจอยู่จวนหลังนี้ตามอำเภอใจได้อีกต่อไป
ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หิมะเริ่มโปรยปรายลงจากท้องฟ้า
นั่งอยู่ภายในรถม้า หลินเมิ้งหยายืนยันหนักแน่นเพื่อไม่ให้หลินหนานเซิงที่ยังบาดเจ็บอยู่ออกมาส่ง แต่เพราะท่านพ่อยังรู้สึกกังวล ดังนั้นจึงส่งคนของกองทัพมาคุ้มครองนางระหว่างกลับจวน
“ป๋ายจื่อ เจ้ายังจำสมัยเด็กได้หรือไม่? ทุกครั้งที่หิมะตก พวกเรามักออกมานอนเกลือกกลิ้งเล่นหิมะด้วยกัน”
ราวกับตกอยู่ในความฝัน จะมีใครคาดคิดบ้างว่าเด็กน้อยที่เคยวิ่งพล่านไปทั่วเพื่อบรรเทาความหนาวจะกลายเป็นชายาอวี้ในวันนี้
ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยชุดไหมพรมชั้นดี ศีรษะสวมใส่หมวกสีดำขลับ ความหนาวมิอาจเข้ามาย่างกราย
“แน่นอนเจ้าค่ะ ตอนเด็กๆ ทุกคนล้วนคิดว่าคุณหนูชอบหิมะ แต่ใครจะรู้บ้างว่าคุณหนูไม่ได้ชอบหิมะเลยแม้แต่น้อย”
ยื่นมือออกไป หลินเมิ้งหยาแบมือรับเกล็ดหิมะสีขาวที่ร่วงหล่นจากฟ้า
อันที่จริงตอนที่เพิ่งข้ามภพมาและต้องมาอยู่ในร่างของผู้อื่น นางไม่เคยรู้สึกชินกับร่างกายของตนเองเลยแม้แต่น้อย
ทว่าครึ่งปีต่อมา นางที่มาจากอนาคตและหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกเสมือนเป็นคนๆ เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น ความทรงจำที่ไม่รู้จักกลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสมือนเคยเกิดขึ้นกับตนเองจริงๆ ทั้งความเจ็บปวดและสนุกสนานต่างหยั่งรากลึกอยู่ในกระแสเลือด
มิเช่นนั้นนางคงไม่รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยหลินหนานเซิงหรืออยากปกป้องสกุลหลินเช่นนี้
สุดท้ายนางก็มิอาจหลีกเลี่ยงการซึมซับตัวตนของร่างเดิมได้ ทว่านางกลับมั่นใจว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
“เจ้าเด็กน้อย ข้ามารับเจ้าแล้ว”
จู่ๆ เสียงคุ้นเคยพลันดังขึ้น หลินเมิ้งหยาเงยหน้า ก่อนจะพบใบหน้าเปื้อนยิ้มของชิงหู
เหมือนว่าเขาจะผอมลงอีกแล้ว ร่างกายของเขาถูกคลุมเอาไว้ด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหรูหราสีขาว ท่าทางเย่อหยิ่งเสมือนกำลังเหยียดหยามทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้
ตอนนี้ไม่ว่าใครก็คงจำไม่ได้ว่าเขาคือเด็กหนุ่มที่เคยเป็นเจ้าผู้ครองรังแห่งเถาฮวาอู๋
เส้นผมตรงยาวถูกรวบขึ้นจนเผยใบหน้าหล่อเหลายั่วยวน ไม่ว่าใครต่างก็ต้องคิดว่าเขาเป็นคุณชายชนชั้นสูงของเมืองหลวงแห่งนี้
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้ากลับไปเองได้ เหตุใดเจ้าต้องลำบากมารับด้วยเล่า หากร่างกายที่ยังมีพิษไหลเวียนของเจ้าสัมผัสกับอากาศหนาว มันจะยิ่งแพร่กระจายพิษมากขึ้น”
ชิงหูกลับเหยียดยิ้มไม่แยแส ย่อตัวลงแล้วเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับหลินเมิ้งหยา
เท้าคางมองดูเด็กน้อยของเขา ก่อนจะเอ่ย
“ไม่เป็นไร อาจารย์คนนั้นของเจ้าเก่งกาจพอตัว เขารังสรรค์ยาออกมามากมาย ข้ากินเข้าไปบ้างแล้ว แม้จะไม่สามารถถอนพิษทั้งร่างของข้าได้ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังมีแรงที่จะมีชีวิตต่อไปได้อีกสักระยะ”
เจ้าบ้านี่! หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะขมขื่นในใจ ร่างกายของชิงหูค่อนข้างพิเศษ
หากอิงจากอายุจริงๆ ของเขา คาดว่าตอนนี้เขาน่าจะอายุราวห้าสิบหกสิบปีแล้ว แต่เพราะเขาถูกวางยาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นฤทธิ์ของยาจึงส่งผลต่อร่างกายของเขาอย่างน่าประหลาด
ร่างกายของเขายังคงเหมือนชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือร่างกายของชิงหูอาศัยยาพิษในการประคองชีวิตเอาไว้ หากวันใดพิษถูกถอนออก เช่นนั้นลมหายใจของเขาคงหมดลง
“เจ้าจิ้งจอกโง่ ดูเถิดว่ามีคนบนถนนมากมายขนาดไหน ซ้ำท่านพ่อของข้ายังส่งทหารอารักขามาคุ้มครองข้าอีกด้วย ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
แต่ถึงกระนั้นชิงหูก็ยังคงบังคับให้หลินเมิ้งหยาสัญญาว่าจะพาเขาออกมาด้วยทุกครั้ง
สุดท้ายหลินเมิ้งหยาทำได้เพียงพยักหน้าจำยอม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ท่าทางออดอ้อนของเขาจึงคล้ายกับเสี่ยวอวี้ไม่มีผิดเพี้ยน
แต่เพราะอายุของเขามากพอที่จะเป็นลุงของนางได้ ดังนั้นเมื่อเขาแสดงท่าทางออดอ้อน นางจึงอดที่จะนิ่งอึ้งไม่ได้
รถม้าแล่นเข้าใกล้จวนอวี้มากขึ้นทุกที หลินเมิ้งหยาอ้าปากหาวเล็กน้อย อากาศในรถม้าค่อนข้างอุ่น สิ่งที่ลอดผ่านเข้ามาบริเวณผ้าม่านด้านหลังมีเพียงสายลมอ่อนๆ เท่านั้น
หลินเมิ้งหยาที่ยุ่งวุ่นวายกับงานเลี้ยงทั้งคืนผล็อยหลับไป
จู่ๆ เสียง “ตุบ” ดังขึ้นมากจากทางด้านนอก คนทั้งกลุ่มที่กำลังรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนพลันตกใจตื่นขึ้นมาทันที หากมิใช่เพราะคนขับรถม้าพยายามกุมบังเหียนเอาไว้ เกรงว่าป่านนี้แม้แต่พวกม้าเองก็คงแตกตื่น
“เกิดอะไรขึ้น? เหยียบโดนอะไรอย่างนั้นหรือ?” ชิงหูรีบแหวกผ้าม่านออก ขณะที่คิดจะเอ่ยถามเหตุการณ์ทางด้านนอก สายตาพลันเหลือบไปเห็นสีหน้าตกตะลึงของคนขับรถที่กำลังจ้องมองไปทางด้านหน้า
“นี่มัน…”
ชิงหูเงยหน้า สีหน้าเปลี่ยนไป ป๋ายจื่อที่อยู่ทางด้านหลังคิดจะออกไปดู แต่กลับถูกชิงหูดึงตัวกลับเข้ามาในรถม้า
“คุ้มครองพระชายา อย่าให้ใครเข้าใกล้รถม้าเด็ดขาด”
น้ำเสียงเจือไว้ซึ่งความเย็นชา ชิงหูรีบกระโดดลงจากรถม้า ลมหนาวเสียดสีกับผ้าคลุมของเขา
“ชิงหู? เกิดเหตุอันใดขึ้น? ชนคนกระนั้นหรือ?”
ชิงหูออกคำสั่งมิให้ลงจากรถม้า ทว่าหลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เพิกเฉยต่อป๋ายจื่อที่กำลังรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะออกไปจากรถม้า
“สวรรค์โปรด…” อุทานออกมาเบาๆ ชิงหูรีบหมุนตัว ก่อนจะได้เห็นสีหน้าขาวซีดของหลินเมิ้งหยา
เดินเข้าไปปิดตาของหลินเมิ้งหยาเอาไว้ ก่อนจะหมุนร่างของนางให้หันไปอีกทาง
“อย่ากลัว ข้าอยู่นี่”