เล่มที่ 9 บทที่ 256 ศพขวางทาง

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

บนต้นไม้ที่ห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าวมีศพคนถูกแขวนอยู่หลายร่าง เมื่อสายลมหนาวพัดกระทบร่างไร้ลมหายใจซึ่งแข็งทื่อไปแล้วเหล่านั้น ร่างของพวกเขาก็กวัดแกว่งเบาๆ ตามแรงลม

มือทั้งสองข้างของหลินเมิ้งหยาแข็งทื่อ แต่ถึงกระนั้นก็พยายามดึงมือของชิงหูออกจากดวงตา สายตาเด็ดเดี่ยวของนางเพ่งตรงไปด้านหน้า

ดูเหมือนจะมีทั้งหมดห้าร่าง ทั้งชายและหญิง ทั้งแก่และเด็ก ทว่าแขน ขา ศีรษะของพวกเขาล้วนถูกตัดทิ้ง

เลือดที่ยังไม่แข็งตัวไหลหยดแหมะๆ ลงพื้น ย้อมพื้นถนนสีขาวที่ถูกหิมะทับถมจนกลายเป็นสีแดงฉาน

ศีรษะที่ถูกตัดแข็งทื่อ ทว่าดวงตากลับเบิกโพลง

“อย่าให้ป๋ายซูเห็นเด็ดขาด อาจมีคนรู้จักของนาง”

แม้จะเคยเห็นศพมามากมายหลายรูปแบบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาได้เห็นวิธีการสังหารอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต

นางไม่เคยเห็นหน้าคนเหล่านี้มาก่อน แต่นางจำได้ถึงสิ่งที่ชิงหูเคยบอกนาง คนที่คอยปกป้องเสี่ยวอวี้ล้วนมีป้ายหยกของเมืองเลี่ยหยุนตี้

สิ่งที่สามารถพิสูจน์ตัวตนของพวกเขาได้คือป้ายหยกซึ่งห้อยอยู่บนคอของศพแรก จู่ๆ หัวใจของหลินเมิ้งหยาก็รู้สึกเย็นเฉียบ พวกเขาล้วนเป็นคนของเสี่ยวอวี้ หากพวกเขาตายไป เช่นนั้นเสี่ยวอวี้จะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?

“เสี่ยวอวี้! ชิงหู เจ้ารีบกลับไปคุ้มครองเสี่ยวอวี้ การตายของคนเหล่านี้อเนจอนาถเหลือเกิน ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเสี่ยวอวี้ เจ้าช่วยเข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่?”

มองสายตากระวนกระวายของหลินเมิ้งหยา ชิงหูโอบร่างของนางเอาไว้ในอ้อมกอด เขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวจากร่างกายของนาง หลินเมิ้งหยากำลังหวาดกลัว นับตั้งแต่วันที่เยว่ถิงตายจากไป นางยิ่งกลัวว่าคนข้างกายนางจะจากไปกะทันหันเช่นเดียวกัน

“อย่ากลัวไปเลย ข้าอยู่นี่ วางใจเถิด เสี่ยวอวี้จะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน คนพวกนี้หาใช่องครักษ์ประจำตัวเขา เจ้าอย่าลืมว่าเสี่ยวอวี้อยู่ในจวนอวี้ แม้ซินหลีจะเก่งกาจ แต่เขาไม่กล้าเปิดศึกโจมตีจวนอวี้อย่างแน่นอน”

คำพูดของชิงหูปลอบประโลมหลินเมิ้งหยาได้เป็นอย่างดี

เขาพูดถูก หากดูจากฐานะและตำแหน่งของหลงเทียนอวี้ ซินหลีจะต้องไม่กล้าล้ำเส้นเข้าไปแตะต้องอย่างแน่นอน แต่ภาพตรงหน้าของนางน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

หรือซินหลีจะกำลังเตือนนาง? หรือเสี่ยวอวี้ไปทำอะไรให้คุณชายผู้มากับดอกไม้ผู้นั้นโกรธเคือง?

“ท่านอาจารย์!” จู่ๆ เสียงกรีดร้องราวกับหัวใจถูกฉีกดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหันหลังกลับไป ก่อนจะได้เห็นใบหน้าเจ็บปวดของป๋ายซู

“ไม่! ใครฆ่าท่าน! ใคร?”

ป๋ายซูรีบวิ่งเข้าไป ก่อนจะล้มลงบนหิมะ

หญิงสาวด้านหลังอีกสามคนคิดจะเข้าไปพยุงนาง แต่กลับถูกนางสะบัดออก ย่ำเท้าเข้าไปใกล้ร่างของคนซึ่งดูมีอายุมากที่สุด กอดศพแข็งทื่อไร้แขนขาของเขาเอาไว้ ก่อนจะส่งเสียงร้องไห้ประหนึ่งคนกำลังจะขาดใจ

“ท่านอาจารย์ ใครฆ่าท่าน! ท่านอาจารย์!”

ทั้งร้องไห้ ทั้งตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เสียงร้องไห้ของป๋ายซูและกลิ่นคาวเลือดที่ส่งมาจากหิมะสีแดงฉานทำให้บรรยากาศเงียบสงัดในเวลานี้ช่างเจ็บปวดและโศกเศร้าอย่างน่าประหลาด

“ป๋ายซ่าว ป๋ายจื่อ พวกเจ้ากลับไปทูลท่านอ๋องและตามเสี่ยวอวี้มาจัดการกับร่างของพวกท่านเหล่านี้”

แววตาของหลินเมิ้งหยาสงบนิ่ง นางกลับมาสุขุมดังเดิมอีกครั้ง

คนขับรถม้ารีบกุมบังเหียนพาป๋ายซ่าวและป๋ายจื่อออกไปจากที่นี่

ศพตรงหน้าทำให้อดที่จะรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ หลินเมิ้งหยาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ทว่ามือของนางกลับยังเย็นเฉียบ

“ป๋ายซู เลิกร้องไห้เถิด ตอนนี้พวกเรามาหาวิธีส่งท่านอาจารย์และพวกเขาไปสู่สุคติเถอะ”

หลินเมิ้งหยาเดินเข้าไปตบบ่าของป๋ายซู

ตอนนี้เด็กสาวตรงหน้ากลายเป็นคนอ่อนแอคนหนึ่ง หลินเมิ้งหยามิอาจทนเห็นท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวของนางอีกต่อไปได้

“นายหญิง ท่านอาจารย์เลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เด็ก แต่วันนี้เขากลับต้องมาตายอย่างน่าอนาถ ข้าที่เป็นผู้สืบทอดจะต้องแก้แค้นให้เขา!”

แก้แค้น…หลินเมิ้งหยาไม่คิดคัดค้าน แต่คนเก่งกาจอย่างชิงหูยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซินหลี

ยิ่งไปกว่านั้น ป๋ายซูในเวลานี้ยังไม่มีกำลังมากพอ

แน่นอนว่าการแก้แค้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราแข็งแกร่งขึ้น แต่นางไม่อาจปล่อยให้สาวใช้ของตนเองเอาชีวิตไปทิ้งได้

ขณะที่คิดจะเอื้อนเอ่ย จู่ๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ พลันแล่นเข้ามาเตะจมูก สัญชาตญาณของหลินเมิ้งหยาว่องไว นางรีบดันตัวป๋ายซูไปไว้ทางด้านหลัง

“ซินหลี! เจ้าทำอะไรกันแน่”

ผลปรากฏว่าเงาหนึ่งปรากฏขึ้นจากตรอกด้านหลังนาง

เขาสวมชุดสีแดงสด ใบหน้าขาวราวหิมะ เส้นผมดำขลับดั่งขนอีกาพลิ้วไสวอยู่ด้านหลังเรือนร่างซูบผอม

ย่างกรายเข้ามาทางหลินเมิ้งหยาทีละก้าว

“ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลัวอะไรเสียอีก ที่แท้เจ้าก็ยังมีความกลัวอยู่นี่เอง หากเจ้ารู้สึกกลัว เช่นนั้นจงไปเตือนไอ้เด็กขยะของเจ้าว่าอย่าเข้ามายุ่งกับของที่ไม่ใช่ของเขา!”

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยคำพูดหยาบคายของเด็กหนุ่มดังขึ้น

หลินเมิ้งหยาหันไปมองชายผู้โหดเหี้ยมคนนั้น

“เจ้าทำเรื่องทั้งหมดนี้อย่างนั้นหรือ?”

จู่ๆ ซินหลีก็แสยะยิ้ม ท่ามกลางความมืดมิด รอยยิ้มของเขาไม่ต่างอะไรจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

“ถูกต้อง ข้าเป็นคนตัดแขนขาของพวกเขาเองกับมือ ตอนแรกข้าอยากให้พวกเขามาเป็นปุ๋ย แต่พวกเขาไม่มีค่ามากพอ ฉะนั้นข้าจึงทำได้เพียงฆ่าพวกเขาทิ้งที่นี่”

น้ำเสียงของซินหลีเสมือนกำลังแสดงออกให้เห็นว่าคนเหล่านี้สมควรถูกเขาฆ่าตาย

หลินเมิ้งหยาเข้าใจคนประเภทนี้ดี พวกเขาไร้ความสงสารเห็นใจ สิ่งที่มีคือการดูถูกและยกตนเหนือกว่าผู้อื่นเท่านั้น

“เจ้าจะต้องชดใช้” หลินเมิ้งหยาสงบนิ่ง ทว่าสายตากลับเย็นชา

การยั่วยุของซินหลีทำให้ขีดความอดทนของนางหมดลง ตอนแรกนางคิดว่าคนผู้นี้จะยังมีเมตตา

ทว่าตอนนี้หลินเมิ้งหยารู้แจ้งแล้วว่าเขาเห็นแก่ตนเองเพียงผู้เดียว

อย่าว่าแต่นางเลย เขาคงไม่แม้แต่จะมองหลงเทียนอวี้อยู่ในสายตา

“ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะแก้แค้นให้ท่านอาจารย์!”

ป๋ายซูร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ เมื่อเห็นศัตรูยืนอยู่ตรงหน้า นางรีบดึงกระบี่อ่อนของตนเองออกมาหมายมั่นจะล้างแค้นให้กับอาจารย์

หลินเมิ้งหยาจับตัวป๋ายซูเอาไว้แน่น นางรู้ดีว่าหากป๋ายซูพุ่งตัวเข้าไป คงไม่ต่างอะไรกับการที่นางเอาชีวิตไปทิ้ง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คิดไม่ถึงเลยว่าคนของกลุ่มเทียนหลงอย่างพวกเจ้าจะใสซื่อบริสุทธิ์ถึงขนาดนี้ จะฆ่าข้า? ขนาดอาจารย์ของเจ้ายังฆ่าข้าไม่ได้ แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้เล่า? แต่ท่าทางของเจ้าในเวลานี้ก็ดูน่าสนใจยิ่งนัก หากได้เจ้ามาเป็นปุ๋ยของดอกไม้ข้าก็ไม่เลวเช่นกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดกุหลาบของข้าจึงงดงาม? นั่นก็เพราะพวกมันได้ดื่มเลือดของสาวงามน่ะสิ ฉะนั้นพวกมันจึงงดงามเสียยิ่งกว่าผู้หญิงคนใดบนโลก”

สายตาลุ่มหลงปรากฏขึ้นในดวงตาของซินหลีขณะที่เขาจับจ้องดอกกุหลาบในมือ หลินเมิ้งหยารู้สึกขยะแขยง

นี่เป็นหลักฐานพิสูจน์ความโรคจิตของเขา

ดื่มเลือดของหญิงสาว? หลินเมิ้งหยารู้สึกถึงความอำมหิต คนโรคจิตเช่นนี้สมควรหายไปจากโลกใบนี้จึงจะถูก

“เจ้าใจเย็นลงก่อน ป๋ายซู ข้าไม่มีวันยินยอมให้เขาทำร้ายคนของข้าอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยากอดร่างของป๋ายซูเอาไว้แน่น ชิงหูเข้ามาช่วยห้ามอีกแรง ดังนั้นป๋ายซูจึงยังมิได้พุ่งตัวเข้าไป

หันมามองนายหญิงของตนเอง ป๋ายซูทำได้เพียงสะกดกลั้นความแค้นเอาไว้

“ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เสี่ยวอวี้อยู่ที่ต้าจิ้น เขาไม่มีทางเข้าไปขัดขวางเจ้า เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเรื่องบ้าคลั่งเช่นนี้ด้วย?”

ตอนนี้รถม้าถูกส่งกลับไปยังจวนแล้ว ส่วนทหารของท่านพ่อหายไป

หลินเมิ้งหยาเดา คนเหล่านั้นเป็นองครักษ์ประจำตัวของท่านพ่อ พวกเขาอาจจะกลับไปพร้อมกับรถม้าเพื่อขอความช่วยเหลือ หรือไม่ก็กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่ง ขอเพียงคนของจวนอวี้มาถึง ซินหลีคงมิอาจแสดงท่าทางเย่อหยิ่งเช่นนี้ได้

“ไม่ขัดขวางข้า? ฮ่า ฮ่า ประโยคนี้ทำให้ข้ารู้สึกอยากฆ่าเจ้าเสียตอนนี้เลย”

เหยียบย่ำเลือดบนพื้นหิมะสีขาว กลิ่นคาวเลือดบนร่างของซินหลีทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกกระวนกระวาย

“หากไอ้ขยะนั่นยังอยู่ มันก็เหมือนหนามยอกอกของข้า! ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ หากไม่ใช่เพราะมันมุดหัวอยู่แต่ในจวนอวี้ทุกวันแล้วล่ะก็ ป่านนี้ข้าคงเด็ดหัวมันไปนานแล้ว หลินเมิ้งหยา ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนฉลาด แต่ดูเหมือนเจ้าก็เป็นเพียงคนดื้อดึงเท่านั้น”

ชิงหูยืนขวางหน้าหลินเมิ้งหยา ดาบยาวในมือยื่นออกไปข้างหน้า สายตาเย็นชา

“ส่วนเจ้า! ทั้งที่ควรจะเป็นเจ้านายแห่งเถาฮวาอู๋ แต่กลับมาเป็นหมารับใช้ของผู้หญิงคนหนึ่ง แม้แต่ข้ายังรู้สึกอับอายแทน หรือเจ้ากำลังใช้เสน่ห์ยั่วยวนแบบที่ชายก็ไม่ใช่ หญิงก็ไม่เชิงมาหลอกล่อนางกัน? คิก คิก ของเล่นประจำเมืองหลวงในวันนั้นรู้จักปกป้องคนอื่นเป็นแล้วหรือ?”

สายตาของชิงหูไม่ได้สั่นไหวเพราะได้ยินเรื่องราวในอดีตของตนเอง

ชีวิตของเขาในเวลานั้นไม่ต่างอะไรจากการตกอยู่ในขุมนรก แต่ขอเพียงหลินเมิ้งหยายังมีชีวิตอยู่ แม้นางจะรังเกียจเขา เขาก็พร้อมที่จะยืนกำบังนางเอาไว้และไม่ลังเลที่จะปกป้องนาง

เขายอมตายเพื่อนาง

มือเล็กๆ ข้างหนึ่งเข้ามาจับข้อมือของเขาเอาไว้ ก้มหน้าลง ก่อนจะได้เห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของนาง

“เจ้าอย่าโจมตีคนของข้าอีก! นั่นเป็นเรื่องในอดีตของเขา ตอนนี้มันผ่านไปหมดแล้ว ขอเพียงเขายืนเคียงข้างข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายพวกเขาเด็ดขาด! ซินหลี ตอนแรกข้าไม่อยากทำให้เจ้าต้องลำบาก แต่ตอนนี้เจ้ากำลังทำให้ไฟในตัวข้าลุกโชน”

เสียงเย็นชาที่ได้ยินไม่บ่อยนักถูกเปล่งออกมา

แต่ไหนแต่ไรมาหลินเมิ้งหยาหาใช่คนเกรงกลัวต่อสิ่งใด อย่าว่าแต่ซินหลีเลย ต่อให้เป็นเทพเซียนลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า นางก็จะทำให้เขาหดหัวกลับไป!