บทที่ 257 ลัทธิชั่วร้ายดีๆ โดนหลอกขาเป๋

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 257 ลัทธิชั่วร้ายดีๆ โดนหลอกขาเป๋

บนใบหน้าของประมุขเสวี่ยซาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่ถูกหักหลัง

สารภาพตามตรง เขาค่อยๆ เชื่อคำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้ว

ไม่ใช่เพราะประมุขแห่งหนึ่งวิหารของลัทธิวิญญาณร้ายเสวี่ยซามีสติปัญญาไม่สูงพอ

ถึงจะไม่พอจริงๆ ก็เถอะ…

แต่เหตุผลหลักๆ ที่ประมุขเสวี่ยซาเชื่อคำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็เป็นเพราะความล้มเหลวครั้งนี้แปลกเกินไป

ควรรู้ไว้ว่าการช่วยราชามารวิญญาณมืดคือแผนการที่วิหารโลหิตสังหารพวกเขาวางแผนมาพันปี เป็นความลับอย่างยิ่ง

แม้แต่ในวิหารโลหิตสังหารยังมีน้อยคนที่รู้

จนกระทั่งครั้งนี้มารสวรรค์จะพุ่งชนดาวชิกสัวะมาถึง ประมุขเสวี่ยซาถึงประกาศกับทุกคนและพาทุกคนเดินทางไปสนามรบ

วางแผนระมัดระวังเช่นนี้ ยังโดนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำลายแผนการได้ นี่ก็พูดยากเกินไปหน่อย

ถ้าบอกว่าพวกเฮยหยวนถูกเสิ่นเทียนจับก็เป็นเรื่องสมเหตุผล เพราะพวกเขารนหาที่ตายเอง แต่พวกเฮยหยวนยังไม่ได้เริ่มช่วยราชามารวิญญาณมืดด้วยซ้ำ แล้วเสิ่นเทียนรู้แผนการพวกเขาได้อย่างไร

และที่สำคัญกว่านั้นคือประมุขเสวี่ยซาเคยแอบเข้าไปในสนามรบเงียบๆ ไปยังที่ราบเงามืดลับนั่น เคยเจอกับพลังแห่งเงามืดลับน่าสะพรึงนั่นมาแล้ว

พลังแห่งเงามืดลับนั่นถูกควบคุมโดยราชามารวิญญาณมืด ทำให้มีอำนาจสังหารผู้อริยะได้ ทำให้คนตกใจจนเนื้อเต้น

ในสนามรบบรรพกาล สิ่งมีชีวิตข้างนอกจะถูกจำกัดระดับพลังไว้ต่ำกว่าระดับแก่นพลังทอง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเตรียมตัวมาก่อน เสิ่นเทียนจะจับราชามารวิญญาณเงามืดได้อย่างไร

เห็นได้ชัดว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รู้แผนการที่เสวี่ยซาจะช่วยราชามารวิญญาณเงามืดก่อน อีกทั้งยังวางอุบายใหญ่โตกับพวกเขาโดยเฉพาะ

ในระหว่างนั้นจะต้องมีขุมอำนาจอื่นในลัทธิวิญญาณร้ายแอบรวมหัวกันคิดจะล้มล้างวิหารโลหิตสังหารแน่นอน ไม่อย่างนั้น เสิ่นเทียนเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ จะเคลื่อนย้ายคลาดเคลื่อนบนสนามรบได้อย่างไร

อีกทั้งหลังจากคลาดเคลื่อนแล้วยังไม่ไปทางตะวันออก ไม่ไปทางตะวันตก แต่ดันเคลื่อนย้ายมาในหุบเขาที่ประมุขเสวี่ยซาอยู่อีก

นี่มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยกระมัง!

……

แผนการร้าย ทุกอย่างเป็นแผนการร้าย!

จะต้องเป็นวิหารเจ็ดสังหาร จะต้องเป็นตาแก่ชีซาที่คิดจะล้มล้างพวกเดียวกันเองแน่!

ประมุขเสวี่ยซากัดฟันด้วยความโกรธ “ไม่นึกเลยว่าเจ้าสุนัขชีซาจะแทรกซึมในลูกน้องข้าลึกเช่นนี้”

แม้มองจากภายนอกลัทธิวิญญาณร้ายจะดูกลมเกลียวกัน แต่ระหว่างวิหารก็ระวังกันเองอย่างมาก เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนดีอะไร ดีไม่ดีก็อาจจะล้มล้างกันเอง

ดังนั้นวิหารย่อยที่ค่อนข้างอ่อนแอจึงซ่อนฐานใหญ่เอาไว้ลึกมาก ต่อให้เป็นคนของวิหารย่อยอื่นก็จะไม่บอกเด็ดขาด

หากไม่เช่นนั้น วิหารย่อยลัทธิวิญญาณร้ายพวกนี้คงไม่ปลอดภัยเช่นนี้มาตลอดหมื่นปี คงจะถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ๆ ร่วมมือกันสาวตัวขุดขึ้นมาทีละแห่ง ทำลายล้างจนหมดสิ้นไปนานแล้ว

แต่ถึงจะบอกว่าในด้านทฤษฎี วิหารย่อยแต่ละแห่งจะไม่ก้าวก่ายกัน ทว่าก็มีไม่กี่วิหารที่ซื่อตรงขนาดนั้นจริงๆ

ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ วิหารย่อยในเขตเดียวกันจะสามัคคีกัน ร่วมมือกันบ้างมากบ้างน้อย หรืออาจจะแย่งชิงกัน

วิหารโลหิตสังหารกับวิหารเจ็ดสังหารคือสองวิหารใหญ่ในเขตแดนใกล้ๆ กับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ อีกทั้งสองฝ่ายยังไม่ห่างกันไกลมาก

ในมุมมองของประมุขเสวี่ยซา หากมีคนทรยศในลัทธิวิญญาณร้าย นั่นจะต้องเป็นชีซาอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงอย่างไรเสวี่ยซากับชีซาก็ขัดแย้งกันมานาน เข่นฆ่ากันในเงามืดไม่น้อย

ถ้าชีซาลอบเล่นงานเขาจริงๆ จะต้องมีแรงจูงใจอย่างแน่นอน!

…….

“ไอ้สารเลวนั่น ไม่อยากเชื่อว่าจะกล้าลอบกัดข้า!”

เมื่อเห็นประมุขเสวี่ยซาโกรธแค้น เสิ่นเทียนก็แอบไว้อาลัยให้เขาเงียบๆ

หากไม่ใช่เพราะเขาประสบเรื่องนี้ด้วยตนเอง เกรงว่าก็คงเชื่อว่าจริงเช่นกัน

ถึงอย่างไรนี่ก็บังเอิญเกินไป

อาจารย์ช่างสมกับเป็นอาจารย์!

บุรุษผู้ทรงอำนาจไม่ยอมใครโดนท่านหลอกจนขาเป๋แล้ว

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ “ตอนนี้มาร่วมมือกันได้รึยัง สหายเสวี่ยซา”

ประมุขเสวี่ยซาอึ้งไปเล็กน้อย “ร่วมมือรึ ร่วมมืออย่างไร”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เอ่ยอย่างเฉยชา “ง่ายมาก เอาข้อมูลของวิหารเจ็ดสังหารมาแลกกับชีวิตเจ้า ว่าอย่างไร”

เอาข้อมูลของวิหารเจ็ดสังหารมาแลกกับชีวิตข้า ง่ายเช่นนี้เลยรึ

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนรู้สึกว่าประมุขเสวี่ยซาสนใจ จึงเอ่ยต่อว่า “ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ข้ายังต้องการความภักดีของเจ้าด้วย”

ความภักดีรึ

ไม่มีทางเสียหรอก!

ประมุขเสวี่ยซาแค่นยิ้ม “ข้าเป็นผู้อริยะผู้ยิ่งใหญ่ จะให้ภักดีเจ้า เจ้าคู่ควรรึ”

ปรากฏประตูมิติลอยขึ้นข้างเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อีกครั้ง “อ้อ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”

เมื่อเห็นวานรคู่อัคคีชาดที่กำลังตื่นเต้นอีกด้านของประตูมิติแล้ว ประมุขเสวี่ยซาก็ขนหัวลุก

“แค่กๆ ใจเย็นๆ ความภักดีนี่เกินไปหน่อย ถ้าไม่อย่างนั้น…เรามาทำข้อตกลงร่วมมือกันดีกว่า!”

ประตูมิติข้างกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์หายไป “บอกข้อมูลทั้งหมดของวิหารเจ็ดสังหารกับข้า เข้าไปเป็นสายในลัทธิวิญญาณร้ายให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไปอยู่กับวานรคู่อัคคีชาดเถอะ!”

ประมุขเสวี่ยซาพูดด้วยความจนปัญญา “ครั้งนี้ข้าถูกเจ้าจับ มีหลายคนเห็นกับตาด้วย เจ้าให้ข้ากลับไปเป็นสายในลัทธิวิญาณร้าย นี่จะไม่ได้ให้ข้าไปตายรึ!

ต้องรู้นะว่าราชินีเชียนฮ่วนชำนาญวิชามายาที่สุด ข้าต้านยอดวิชาลวงวิญญาณของนางไม่ไหว”

คำพูดของประมุขเสวี่ยซาไม่ใช่การบอกปัด แต่ว่าเป็นความจริง

ถึงอย่างไรที่ลัทธิวิญญาณร้ายอยู่มาได้หมื่นปี ประมุขวิหารคนอื่นๆ อาจจะเป็นคนโง่ แต่ชนชั้นสูงหัวใจสำคัญในนั้นไม่ใช่คนโง่แน่นอน ไม่ได้จะหลอกกันง่ายขนาดนั้น

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สั่นไหวเบาๆ “ขอแค่เจ้ายินดี ข้าย่อมมีทางช่วยเจ้า หากคิดจะตบตาคนอื่น ก็ต้องหลอกตัวเองก่อน แล้วก็ฟังข้าพูดให้ดี”

เสียงของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดังขึ้นกลางกรงขังอัสนีฟ้า ทั้งเฉยชาและเรียบนิ่ง

แผนการอันแยบยลต่อลัทธิวิญญาณร้ายได้เผยออกมาช้าๆ

…..

หนึ่งชั่วยามต่อมา เสิ่นเทียนตามเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ออกจากมิติสายฟ้า

ตอนนี้เสิ่นเทียนเคารพอาจารย์คนนี้จนไม่รู้จะเคารพอย่างไรแล้ว

จับคนใหญ่คนโตในวงการสีดำมาได้คนหนึ่ง ก็หลอกจนเขายอมเป็นสายให้กับตน ก่อกวนไปทั้งขบวนการ

โชคดีที่นี่เป็นอาจารย์ตน หากเป็นศัตรู เสิ่นเทียนยังรู้สึกขนหัวลุกถึงกับนอนไม่หลับ

“เทียนเอ๋อร์ วันนี้ข้าพาเจ้ามาสอบสวนเสวี่ยซาก็เพื่อบอกว่าถึงเจ้าจะอยู่ข้างคุณธรรม บางครั้งก็ต้องใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องบ้าง วิธีของโลกนี้ไม่มีการแบ่งถูกผิด ใช้ถูกก็ถูก ใช้ผิดก็ผิด เพียงแค่ต้องรักษาเจตนาเดิมไว้เท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่”

เสิ่นเทียนครุ่นคิด “อาจารย์หมายความว่าให้ใช้วิธีหน้าด้านกับคนหน้าด้านอย่างนั้นรึ ขอแค่ปรารถนาเดิมดี ไม่ว่าจะหน้าด้านอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องเขินอาย หมายความแบบนี้ใช่หรือไม่ อาจารย์”

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมอย่างรุนแรง “แค่กๆ ใช่…หมายความเช่นนี้ แต่ว่าข้าเพียงแค่สาธิตให้เจ้าดูเท่านั้น ภายภาคหน้าหากไม่ถึงที่สุดก็อย่าเลียนแบบ

แต่หากมีหนทางโอ่อ่า ก็อย่าใช้วิธีคนต่ำทรามเช่นนี้จะดีที่สุด ถึงอย่างไรเทียนเอ๋อร์ก็เป็นบุตรแห่งโชค ภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก ก็เหมือนกับข้า พันปีมานี้ใช้วิธีต่ำทรามเช่นนี้แค่ครั้งถึงสองครั้งเท่านั้น ห้ามใช้บ่อยเด็ดขาด”

เสิ่นเทียนพยักหน้า “ศิษย์เข้าใจ ถ้าจะหน้าด้านให้ดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ เราต้องรักษาภาพลักษณ์ของเราเอาไว้”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มองเสิ่นเทียนอย่างจริงจัง รู้สึกว่าเด็กคนนี้เติบใหญ่แล้วพอที่จะสั่งสอนได้

เพียงแค่คำพูดของเทียนเอ๋อร์…มันตรงเกินไปหน่อย

อะไรคือ ‘วิธีหน้าด้าน’ ตรงเกินไปแล้ว

ยังหนุ่มเกินไปจริงๆ

ยังต้องฝึกฝนในด้านการพูดอีกเยอะ!

………………………….…….