บทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์!

ผ่านไปสองวันหลังจากหอคอยเทพสงครามมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

ในระหว่างสองวันนี้ เยี่ยฉิงชางได้ผลักดันรูปแบบ ‘การประลองปกติ’ ขึ้น

เทียบกับแบบเดิมพันที่ไม่ทันไรก็ต้องจ่ายของเดิมพันระดับล้านหรือสิบล้านแล้ว รูปแบบการประลองนี้มีความเสี่ยงน้อยกว่า

สำหรับศิษย์เทพสวรรค์ส่วนใหญ่ การจ่ายศิลาวิญญาณเล็กน้อยก็ได้ประลองกับคู่ต่อสู้ที่พอใจ นี่ก็คุ้มค่าเช่นกัน

ส่วนศิษย์สายตรงพวกนั้น มีหลายคนเลือกแบบเดิมพันต่อสู้กับโอรสสวรรค์โลกเซียนระดับเดียวกัน

เพียงแต่ว่าศิษย์สายตรงเทพสวรรค์ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งดาวถึงสองดาว

ถึงอย่างไรโอรสสวรรค์นี้ก็ไม่ได้ใช้มาตรฐานของโลกมนุษย์ แต่แบ่งตามมาตรฐานของหอคอยเทพสงครามในโลกเซียน

พวกศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ประเมินอยู่หนึ่งถึงสองดาวก็หายากมากแล้ว หากเป็นศิษย์สายตรงแดนเทวาแดนผาสุกส่วนใหญ่ บางทีอาจจะไม่ถือว่าเป็นโอรสสวรรค์หนึ่งดาวที่ต่ำที่สุดด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าพวกอัจฉริยะที่ลองการประลอง ‘แบบเดิมพัน’ ได้อะไรไปกันทุกคน บางคนยังได้ของไปไม่น้อยในหอคอยเทพสงคราม

เวลานี้ศักยภาพและพลังแฝงของศิษย์สายตรงเทพสวรรค์ส่วนใหญ่กำลังพุ่งขึ้นสูง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีแค่ศิษย์เทพสวรรค์เท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์พวกนี้

……

สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนแล้ว การสร้างเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ในวันแรกที่หอคอยเทพสงครามมาเยือน แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้เกณฑ์ศิษย์หลายร้อยคนให้เริ่มสร้างเมืองใกล้ๆ กับหอคอยเทพสงครามแล้ว

ด้วยวิชาปัญจธาตุ ศิษย์พวกนี้จึงสร้างเป็นเมืองเล็กเสร็จได้ในเวลาครึ่งวัน

แม้ในด้านขนาดจะเทียบกับเมืองศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ได้เลยก็ตาม แต่หากใช้ต้อนรับศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นที่มาท่องเที่ยว ทดลองหรือเดิมพันในหอคอยเทพสงครามแล้ว ก็ยังเหลือเฟือ

ช่วงหลายวันมานี้ ข่าวที่หอคอยเทพสงครามมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดังไปถึงแดนเทวาแดนผาสุกโดยรอบ แดนเทวาแดนผาสุกที่มีอาณาเขตติดกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ส่งคนมาแสดงความยินดีกันก่อนแล้ว

ของขวัญแต่ละอย่างก็ไม่ใช่น้อยๆ

อย่างเช่นเจ้าแดนเทวาแห่งแดนเทวาต้นท้อก็มอบต้นท้อเซียนให้สองต้นใหญ่

ต้นท้อเซียนนี้เป็นสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่ายิ่ง สามารถเพิ่มอายุขัยของผู้ฝึกบำเพ็ญได้ร้อยปี สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญที่ทะลวงคอขวดไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้คือสมบัติล้ำค่าช่วยชีวิต ไม่อาจประเมินค่าได้

อย่างเช่นเจ้าแดนเทวาประกายทองก็มอบกระบี่ล้ำค่าเอกระฟ้าให้เล่มหนึ่ง

กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง มูลค่าอย่างน้อยหลายหมื่นผลึกวิญญาณ เรียกได้ว่าล้ำค่ายิ่ง

และอย่างเช่นเจ้าแดนผาสุกซากวิญญาณ ก็ได้มอบไข่มุกล้ำค่ารวมจิตเม็ดหนึ่ง

ไข่มุกชนิดนี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เกิดขึ้นเองในฟ้าดิน สามารถดูดพลังวิญญาณฟ้าดินเองได้ เพิ่มความเร็วในการดูดซับของผู้ฝึกบำเพ็ญ

กล่าวคือของขวัญจากฝ่ายเซียนใหญ่ๆ ในครั้งนี้ถือว่าเป็นของชิ้นใหญ่

พวกศิษย์น้องใต้อาณัติรู้จักวางตัวเช่นนี้ พี่ใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ย่อมไม่มองเป็นคนอื่นคนไกล จึงแสดงออกว่าให้ศิษย์และผู้อาวุโสทุกฝ่ายเข้าไปฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามได้แบบไม่มีจำกัดใดๆ

แน่นอนว่าการแพ้ชนะได้กำไรหรือขาดทุนในหอคอยเทพสงครามไม่เกี่ยวอะไรกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้ว ถึงอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฝ่ายทางการ ไม่เข้าหาก่อน ไม่ปฏิเสธ และไม่รับผิดชอบ

ดังนั้นพวกอัจฉริยะจากแดนเทวาแดนผาสุกจึงเริ่มเดินทางมาฝึกฝนกันทีละระลอก

น่าเสียดายก็แต่ตอนที่พวกเขาเข้าไปดูเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ แต่ตอนที่ออกมากลับดูหน้าม่อยคอตก ดูไม่มีความหมายในการมีชีวิตแล้ว

กระทบกระเทือน ถูกกระทบกระเทือนรุนแรงเกินไป!

โอรสสวรรค์พวกนั้นปกติจะเป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ในสำนักของตน

พวกเขาชี้แนะแม่น้ำภูเขา แสดงความคิดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น คิดว่าตนมีพรสวรรค์เป็นหนึ่ง ทว่าหลังจากเข้าหอคอยเทพสงคราม พวกเขาก็พบเรื่องเศร้าก่อนว่าเงินที่ตนเก็บสะสมอันน้อยนิดในกระเป๋าไม่พอจะเดิมพันกับระดับสามสี่ดาว

ต่อมาก็พบเรื่องเศร้าอีกว่าตนไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะไม่มีเงินท้าประลองกับโอรสสวรรค์สามสี่ดาวเลย เพราะว่า…แม้แต่โอรสสวรรค์หนึ่งดาว พวกเขายังเอาชนะไม่ได้~

โลกภายนอกช่างโหดร้ายยิ่งนัก!

…….

ในเวลาสองวันสั้นๆ เด็กหนุ่มฝ่ายเซียนที่เดิมทีมองสูงมากมายเริ่มเติบโตด้วยความพ่ายแพ้แล้ว

คนที่มีจิตใจและปัญญาค่อนข้างเด็ดเดี่ยวจะรู้ว่าตนแกร่งไม่พอ และเริ่มพยายามฝึกฝนต่อสู้มากขึ้น

แต่คนที่มีจิตใจค่อนข้างเปราะบางคนถึงกับสิ้นความมุ่งมั่นในการต่อสู้ไปเลยก็มี เพียงแต่เทียบกันแล้วมีน้อยกว่ามาก

สรุป หอคอยเทพสงครามมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ฝ่ายเซียนพวกนี้แล้ว ศิษย์แทบทุกคนพูดคุยกันว่าใครในฝ่ายเซียนใดไปถึงขั้นที่เท่าไรในหอคอย

เพราะเหตุนี้เอง เสิ่นเทียนและจางหลงหยวนจึงแนะนำให้เยี่ยฉิงชางสร้างศิลาดาวรุ่งเทพสงครามขึ้นเป็นพิเศษ ในศิลาโบราณนี้จะบันทึกเพียงผลคะแนนในหอคอยเทพสงครามของโอรสสวรรค์ที่อยู่ในช่วงอายุร้อยปีเท่านั้น

หลังจากเกินร้อยปีไป นามบนศิลาดาวรุ่งจะหายไป ถูกคนข้างหลังเข้ามาแทนที่

พูดให้ถูกคือนี่เป็นการจัดอันดับโอรสสวรรค์ในยุคเดียวกัน หากมีนามบนศิลาดาวรุ่งนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าพรสวรรค์ของเจ้ามากพอจะติดหนึ่งในร้อยในช่วงร้อยปีนี้

สำหรับศิษย์ฝ่ายเซียนส่วนใหญ่แล้ว นี่ถือว่าเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่

ถึงอย่างไรดินแดนบูรพาก็กว้างใหญ่ มีผู้ฝึกบำเพ็ญตั้งมากเท่าไร

การติดหนึ่งในร้อยในโอรสสวรรค์ทั้งหมดในร้อยปีนี้ มันไม่ใช่แค่หนึ่งในร้อยล้าน!

ตอนนี้สองวันผ่านไป ศิษย์ที่เข้าไปฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามไม่พันคนก็ห้าร้อยแล้ว อันดับร้อยคนแรกในศิลาดาวรุ่งเทพสงครามเต็มไปนานแล้ว แต่การแข่งขันก็ยังไม่ได้ดุเดือดมาก

ถึงอย่างไร โอรสสวรรค์ระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์และสตรีศักดิ์สิทธิ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ยังไม่มากัน!

อัจฉริยะจากแดนเทวาแดนผาสุกจำนวนมากจึงอาศัยจังหวะนี้เข้าฝึกฝน หากติดร้อยอันดับแรกจริงๆ ออกไปแล้วก็จะได้คุยโม้อย่างยิ่งใหญ่

รู้จักศิลาดาวรุ่งเทพสงครามหรือไม่ บุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์บางคนอาจจะไม่ติดร้อยอันดับแรกด้วยซ้ำ แต่ข้าเข้าไปได้!

สงสัยว่าจะเป็นเพราะความคิดเช่นนี้ ธุรกิจของหอคอยเทพสงครามในช่วงหลายวันมานี้จึงไม่ต้องเอ่ยเลยว่ารุ่งเรืองเพียงใด!

………

ตอนนี้นนอกหอคอยเทพสงคราม

ซ่งฟู้กุ้ย หลิวไท่อี่ กุ้ยกงกงและพวกฉินเกากำลังรออยู่เงียบๆ

ศิษย์เทพสวรรค์หรือศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นผ่านทางมาจะมองพวกเขาด้วยแววตาอิจฉาริษยา

นั่นพวกเขา นั่นพวกเขา!

พวกคนที่ใกล้ชิดกับศิษย์พี่เสิ่นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มากที่สุด ได้ยินว่าพวกเขาได้ส่วนลดของเดิมพันห้าส่วนในหอคอยเทพ การประลองแบบปกติก็ไม่ต้องเสียเงิน

นี่ทำให้คนอิจฉาเสียจนหน้าบูดเบี้ยวไปหมด!

พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ไม่สนใจเสียงสนทนาของทุกคนโดยรอบเลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนที่ได้ประจบอย่างใกล้ชิด อยู่คนละระดับกับคนธรรมดาพวกนั้นมานานแล้ว

แม้แต่จางซานศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ตอนนี้ยังได้แต่ตามต้อยๆ อยู่ข้างหลังพวกเขา แสดงตัวเป็นเด็กใหม่

จางซานพูดด้วยความแปลกใจ “ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่หลิว ข้ามีเรื่องหนึ่งสงสัยมาก ไม่รู้ว่าควรจะถามหรือไม่”

ซ่งฟู้กุ้ยยิ้ม “เข้ากลุ่มมาก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ถามมาเถอะ!”

จางซานพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปฝึกในหอคอยเทพสงครามตั้งแต่ตะวันขึ้นเมื่อวาน ตามหลักก็น่าจะปิดด่านบำเพ็ญอยู่ แต่เหตุใดไม่ว่าจะในศิลารวมเทพสงครามหรือศิลาดาวรุ่งเทพสงคราม ถึงไม่มีนามของศิษย์พี่ล่ะ!”

คำถามนี้ไม่ได้มีเพียงจางซานที่สงสัยคนเดียว ความจริงคนส่วนใหญ่ก็อยากรู้กันมาก

ถึงอย่างไรจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ ก็บอกว่าศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนนำหอคอยเทพสงครามกลับมา

เมื่อเห็นจางซานที่ใบหน้าเต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็นแล้ว ซ่งฟู้กุ้ยก็ยิ้มแต่ไม่ตอบ

หลิวไท่อี่ด้านข้างพูดเสียงเบาอย่างลึกลับ “เจ้าอยากรู้จริงๆ รึ”

จางซานรีบพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ขอให้ศิษย์พี่ไขความให้กระจ่างด้วย จางซานจะปิดปากดั่งขวดแน่นอน”

หลิวไท่อี่พูดอย่างลึกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดในหมื่นปีมานี้ถึงไม่เคยมีใครได้รับการยอมรับเป็นนายจากหอคอยเทพสงครามเลย”

จางซานส่ายหน้าด้วยความมึนงง

หลิวไท่อี่ยิ้ม “เหตุผลง่ายมาก เพราะหอคอยเทพสงครามเป็นสุดยอดสมบัติสูงสุด แม้แต่ในอาวุธเซียนก็ยังอยู่สูงสุด มีเพียงสุดยอดโอรสสวรรค์เจ็ดดาวที่ยากจะพานพบได้ในหมื่นปีอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการยอมรับเป็นนายจากมัน”

จางซานตัวสั่นเล็กน้อย “ศิษย์พี่หมายความว่าจริงๆ แล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์คือโอรสสวรรค์เจ็ดดาวรึ”

หลิวไท่อี่ส่ายหน้า “พรสวรรค์ของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเพียงใด สารภาพตามตรงแซ่หลิวเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เลย แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ ตอนอยู่ในสนามรบบรรพกาล ตอนที่ข้ากับพวกศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่กุ้ยและศิษย์พี่ฉินเข้าไปฝึกฝนนั้น

นามของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ขึ้นไปบนสุดของตารางเทพสงครามแล้ว และการประเมินระดับของเขาก็คือโอรสสวรรค์เจ็ดดาว”

ใบหน้าจางซานเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและตื่นเต้น “แต่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่เห็นล่ะ”

หลิวไท่อี่พูดด้วยความเฉยชา “สารภาพตามตรง เรื่องนี้แซ่หลิวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

ในที่สุดซ่งฟู้กุ้ยก็ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เห็นได้ชัดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้ตัวเองเด่นเกินไป พวกข้ารู้จักกับท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว เข้าใจว่าท่านปรมาจารย์สวรรค์เป็นคนที่รักความสงบ ไม่ชอบปรากฏตัวในแวดวงสังคมที่สุด

เหตุใดในศิลาเทพสงครามถึงไม่มีนามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ ความจริงข้าก็พอจะมีการคาดเดาอยู่หลายอย่าง พอจะอธิบายให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนฟังได้บ้าง แต่ทุกคนต้องรับปากกับข้าว่าห้ามบอกคนอื่นตามใจเด็ดขาด เดี๋ยวจะทำให้ท่านปรมาจารย์สวรรค์ไม่พอใจ”

ซ่งฟู้กุ้ยเอ่ยจบ คนอื่นๆ ก็รับปากกันทันที

“วางใจเถอะ! ศิษย์พี่ซ่ง ข้าแซ่หลิวปิดปากดั่งขวด”

“ข้าเจินจื้อเจี่ยเป็นคนอย่างไร ศิษย์พี่ซ่งยังไม่รู้อีกหรือ ปิดปากดั่งขวด!”

“ถึงจางซานจะไม่ใกล้ชิดกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เท่าศิษย์พี่ทุกท่าน แต่ก็ไม่ใช่คนปากมาก จะปิดปากดั่งขวดแน่นอน!”

“ข้าด้วย ข้าก็เช่นกัน!”

เมื่อเห็นทุกคนรับปากแล้ว ซ่งฟู้กุ้ยก็พยักหน้าเล็กน้อย “เอาความจริงแล้วกัน! ในมุมมองข้า ที่นามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ไม่อยู่ในศิลามีเหตุผลอยู่สองอย่าง

หนึ่ง ถึงท่านปรมาจารย์สวรรค์จะชอบทำอะไรเงียบๆ แต่เป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ จึงไม่อาจลบความโอหังในใจได้ พรสวรรค์ของเขาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งมาตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน สั่นสะเทือนไปทั้งโลก กับอีแค่ศิลาเทพสงครามเล็กจ้อยจะมีสิทธิ์มาจำกัดความเขาหรือ

ถึงอย่างไรขนาดทั้งหอคอยเทพสงครามยังยอมท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์ หากนามของบุตรศักดิ์สิทธิ์ติดอันดับ ก็อาจจะทำให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่าย

ด้วยความโอหังของท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงขี้เกียจจะอธิบาย สู้ไม่ติดอันดับ ถอยห่างจากการไล่ตามจากคนธรรมดาดีกว่า”

ซ่งฟู้กุ้ยพูดจาฉะฉาน ทุกคนฟังแล้วตาเป็นประกาย ดูจริงจังกันเป็นพิเศษ

ทว่าหลิวไท่อี่เหมือนนึกอะไรได้จึงควักม้วนหยกออกมาจากอกเสื้อและจดบันทึกอย่างระมัดระวัง

ซ่งฟู้กุ้ยพูดต่อ “ส่วนเหตุผลที่สอง บางทีอาจเป็นเพราะท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากทำร้ายโอรสสวรรค์คนอื่นมากเกินไป”

จางซานอึ้งไปเล็กน้อย “ศิษย์พี่ซ่งหมายความว่าอย่างไร”

ซ่งฟู้กุ้ยตอบ “เสี่ยวจางเจ้าไม่เข้าใจ ตอนนั้นในสนามรบบรรพกาล แซ่ซ่งเห็นกับตาว่านามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ขึ้นไปอยู่อันดับสองเลย ตอนนั้นการประเมินของท่านปรมาจารย์สวรรค์อยู่อันดับสอง เป็นรองเพียงโอรสสวรรค์หกดาวฮวงสือ แต่แค่ครู่เดียวก็เลื่อนขึ้นไปอีก

แต่ครั้งนี้อันดับของท่านปรมาจารย์สวรรค์แซงหน้าฮวงสือ เป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวเพียงคนเดียวตั้งแต่โบราณมา”

หลิวไท่อี่พยักหน้าน้อยๆ “ใช่ ครั้งนั้นข้าก็อยู่ในหอคอยด้วย เป็นพยานได้”

ฉินเกาพยักหน้าเช่นกัน “ตอนนั้นข้าก็ฝึกฝนอยู่ด้วย เห็นชัดเจนเลย”

สยงเหมิ่งพยักหน้าซื่อๆ “ข้าก็เช่นกัน”

ซ่งฟู้กุ้ยพูดด้วยความลึกลับ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร เห็นได้ชัดเลยว่าตอนที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เอาชนะโอรสสวรรค์ห้าดาวได้ก็ได้รับการประเมินจากหอคอยเทพสงครามว่าเป็นโอรสสวรรค์ห้าดาวที่แกร่งที่สุด

และหลังจากเอาชนะโอรสสวรรค์ห้าดาวคนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะหยุดพักเลย แต่ท้าประลองกับโอรสสวรรค์เจ็ดดาวทันที อีกทั้งยังเป็นในช่วงเวลาสั้นๆ หรืออาจจะในร้อยกระบวนท่าก็เอาชนะโอรสสวรรค์เจ็ดดาวคนนั้นได้แล้ว

ดังนั้นเขาถึงได้เลื่อนจากห้าดาวไปเจ็ดดาวในเวลาหลายสิบลมหายใจสั้นๆ นี่ยืนยันได้ว่าโอรสสวรรค์เจ็ดดาวอ่อนแอมากเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านปรมาจารย์สวรรค์

แต่ตอนนี้นามของท่านปรมาจารย์สวรรค์หายไปจากศิลาเทพสงคราม ในมุมมองแซ่ซ่งนะ บางทีศิลาเทพสงครามอาจจะไม่มีความสามารถพอจะพิจารณาบุตรศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็พรสวรรค์ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าเจ็ดดาว ไปถึงแปดดาวหรือสูงกว่า น่าตื่นตกใจสะท้านโลกแล้ว

บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงได้แต่ซ่อนนามของตนไว้เพื่อรักษาเกียรติและความมั่นใจในตัวเองของอัจฉริยะธรรมดาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นหากเขาเผยพรสวรรค์ออกมาอย่างแท้จริง จะมีโอรสสวรรค์ต้องสิ้นหวังเท่าไร!

บางทีอาจจะทำให้โอรสสวรรค์มากมายเกิดมารในใจ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดของเขาไปชั่วชีวิต

นี่ ก็คือความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์!”

ซี้ด~

ซี้ดๆ~

ซี้ดๆๆ~

คำพูดของซ่งฟู้กุ้ยเหมือนกับเอาน้ำมนต์ราดศีรษะ

ไม่ทันไรเจินจื่อเจี่ย จางซานและพวกสยงเหมิ่งที่เดิมทียังไม่เข้าใจเหตุผลถึงกับตื่นตกใจ

แม้แต่ม้วนหยกในมือหลิวไท่อี่ยังเกือบหลุดจากมือ ถึงอย่างไรคำพูดของเถ้าแก่ซ่งก็น่าตกใจเกินไปจริงๆ

แต่พอพินิจพิเคราะห์ดูก็มีเหตุผลอย่างยิ่ง

ที่ซ่งฟู้กุ้ยได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของกลุ่มสวรรค์พิทักษ์เพราะมีเหตุผลจริงๆ

มองได้ลึกซึ้งและมองขาดได้ถึงขนาดนี้

ข้าหลิวไท่อี่ยังห่างชั้นนัก~!

ตอนนี้เองในที่สุดกุ้ยกงกงด้านข้างก็พูดขึ้นช้าๆ “เรื่องพวกนี้เป็นเพียงการคาดเดาของศิษย์น้องซ่ง ทุกคนแค่ฟังไว้ก็พอ ห้ามแพร่งพราย”

พรสวรรค์และศักยภาพของกุ้ยกงกงไม่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในทุกคน แต่หากวัดกันที่น้ำหนักในใจบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้แต่ซ่งฟู้กุ้ยก็ยังเทียบกับกุ้ยกงกงไม่ได้

ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นคนที่ท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์มองเป็นญาติพี่น้องอย่างแท้จริง แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์กับศิษย์พี่ใหญ่ยังไว้หน้าเขาสามส่วน

ตอนนี้กุ้ยกงกงพูดขึ้น ทุกคนจึงรีบรับปากว่าจะปิดปากดั่งขวด ไม่บอกบุคคลที่สามอย่างแน่นอน

กุ้ยกงกงถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจและเบนสายตาไปมองในหอคอยเทพสงคราม

นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยความมีเมตตา ห่วงใยและปลื้มใจอย่างเด่นชัด

ในเวลาสองเดือนสั้นๆ องค์ชายก็เปลี่ยนจากองค์ชายธรรมดาที่มีอุปสรรคในด้านดวงชะตากลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ทำให้ทั้งดินแดนบูรพามองข้ามไม่ได้

กระทั่งตอนนี้ยังถูกสงสัยว่าเป็นโอรสสวรรค์เหนือกว่าแปดดาวอีก

พึงรู้ไว้ว่าแม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่เทพสวรรค์ฟางฉางผู้มีระดับแก่นพลังทองเก้ารอบ ยังถูกหอคอยเทพสงครามประเมินไว้เพียงโอรสสวรรค์ห้าดาว

สตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จางอวิ๋นซี ตอนนี้ระดับพลังถึงจุดสูงสุดแก่นพลังทองแปดรอบ ควบคุมอัสนีเทพกำเนิดฟ้าได้อย่างชำนาญ ก็ได้แค่โอรสสวรรค์ห้าดาวเช่นกัน

โอรสสวรรค์หกดาวที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนศิลาเทพสงครามก็เป็นบุคคลที่ไร้พ่ายในทั้งห้าดินแดน

แต่องค์ชายกลับเป็นอย่างน้อยสุดโอรสสวรรค์เจ็ดดาว กระทั่งอาจจะเป็นแปดดาว

นี่หมายความว่าอย่างไร กุ้ยกงกงย่อมรู้ดี

นี่หมายความว่าขอแค่องค์ชายฝึกฝนอย่างมั่นคงต่อไป ภายภาคหน้าแทบจะต้องเป็นบุคคลไร้พ่ายในห้าดินแดนอย่างแน่นอน

เกียรติยศนี้เจิดจรัสอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่เดิมทีกุ้ยกงกงไม่กล้าจินตนาการ

เวลานี้ กุ้ยกงกงน้ำตาคลอเบ้าแล้ว

ในที่สุดองค์ชายก็เติบใหญ่ขึ้นเป็นอัจฉริยะแล้ว

หากพระสนมหลานในแดนปรโลกรู้เข้า จะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนนั้นอย่างแน่นอน!

…………………………