เพราะคนผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิต หากมีผู้ใดกล้าล่วงเกินเขา ต้องถูกเขาตอบแทนอย่างสาสม
ดังนั้นทุกคนยามเห็นสองพี่น้องน่าสงสารคู่นี้ถูกรังแก จึงไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ
กระทั่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นยังหวาดกลัว พวกเขาเสนอตัวขึ้นไปเท่ากับรนหาที่ตาย!
ทว่าสิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงคืออันธพาลที่ข่มเหงรังแกราษฎรนี้ จะมีวันที่ถูกคนสั่งสอนเช่นกัน ช่างทำให้ผู้คนสุขใจเสียจริง
ตรงข้ามกับความดีใจของผู้คนรอบข้าง ทางด้านพวกสงเทียนป้าเมื่อเห็นเขาได้รับบาดเจ็บ ต่างพากันชักดาบออกจากฝัก
“เป็นฝีมือคนเลวผู้ใด รีบออกมาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเหล่าชายฉกรรจ์อันธพาลตะโกนขึ้น ทุกคนในโรงเตี๊ยมที่ต่างมุงดูเรื่องสนุกอย่างใจเย็น รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ตรงข้ามกับความหวาดกลัวของผู้คนรอบด้าน เล่อเหยาเหยาที่อยู่ชั้นสองกลับยังคงทานอาหารอย่างสบายอกสบายใจ ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งภายนอกแม้แต่นิดเดียว
แต่ว่าตะเกียบที่เธอใช้ทานอาหารเมื่อครู่ กลับหายไปข้างหนึ่ง เวลานี้เธอจึงใช้ช้อนในการทานอาหารแทน
“เซวียนเอ๋อร์รีบทานเถิด ประเดี๋ยวจะทานไม่ได้แล้ว”
เมื่อเห็นดวงตากลมโตใสบริสุทธิ์ของเหลิ่งอวี้เซวียนกำลังมองที่ชั้นล่าง เล่อเหยาเหยารีบเอ่ยปากขึ้น
เหลิ่งอวี้เซวียนได้ยิน คล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพยักหน้าก่อนเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อต้องต่อสู้อีกแล้ว ท่านลุงพวกนั้นดูแล้วเลวทรามยิ่งนัก กล้ารังแกพี่สาวสองคนนั้น พี่สาวทั้งสองน่าสงสารยิ่งนัก!”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ สายตาของเหลิ่งอวี้เซวียนที่มองไปยังสองพี่น้องที่ตกใจกอดกันกลมด้านล่างนั้น เปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น อดกล่าวยิ้มๆ ขึ้นไม่ได้
“ถูกต้อง พี่สาวทั้งสองน่าสงสารยิ่งนัก ดังนั้นหลังจากเซวียนเอ๋อร์โตขึ้นต้องตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ์ เช่นนี้จึงจะสามารถปกป้องคนดีที่ถูกรังแกได้”
“อืม ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียนวรยุทธ์ และตั้งใจเรียนหนังสือ เช่นนี้จึงจะสามารถปกป้องท่านได้”
“ฮ่า ๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของเหลิ่งอวี้เซวียน เล่อเหยาเหยาอดยิ้มอย่างปลื้มใจไม่ได้
“เซวียนเอ๋อร์เป็นเด็กดียิ่งนัก”
เล่อเหยาเหยายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนลูบศีรษะเล็กของเขาอย่างรักใคร่
ภาพนี้อบอุ่นกว่าปกติ แต่ด้านล่างกลับโกลาหล
สงเทียนป้าหลังถูกคนใช้ตะเกียบทะลวงฝ่ามือ ในใจพลันมีโทสะ จึงสั่งให้พวกบริวารอันธพาลหลายคนนั้น ช่วยกันร้องตะโกนหาคนที่ใช้ ‘ลูกศรลับทำร้ายผู้คน’ นั้นออกมา
ช่างจนใจ เล่อเหยาเหยากลับไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ให้พวกเขาหนาวเหน็บอยู่ด้านล่าง ไม่ว่าพวกเขาจะตะโกนสิ่งใด ก็ไม่ตอบออกไป
กลุ่มของสงเทียนป้า เห็นเช่นนั้นโมโหอย่างหนัก ก่อนจะทำลายข้าวของในโรงเตี๊ยมเพื่อระบายอารมณ์
ลูกค้าที่กำลังทานอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ตกใจดุจนกแตกรัง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมผู้น่าสงสารนั้นมองเห็นทุกคนยังไม่จ่ายเงินก็หวาดกลัว ทว่ากลับไม่กล้าส่งเสียงออกมา ได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้ดุจนกกระทา
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้นจึงจำเป็นต้องลงมืออีกครั้ง
ตะเกียบในมือเหลือเพียงข้างเดียว แต่ชั้นล่างนอกจากสงเทียนป้า ที่ได้รับบาดเจ็บ ยังเหลือชายฉกรรจ์ที่ถือดาบอีกสามคน
เมื่อเห็นพวกเขาระบายอารมณ์ด้วยการทำลายข้าวของไม่หยุด จนประตูทางออกสกปรก เล่อเหยาเหยาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะยื่นมือหยิบตะเกียบในมือของเหลิ่งอวี้เซวียน ไปรวมกับตะเกียบของตนที่เหลือเพียงข้างเดียวเมื่อครู่
ได้ยินเสียง ‘ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว’ ดังขึ้น ทุกคนต่างมองไม่เห็นว่าสิ่งใดบินผ่านไป ก่อนได้ยินเสียงชายฉกรรจ์ที่อวดดีเมื่อครู่ กุมมือที่บาดเจ็บของตนเอาไว้ และร้องโหยหวนขึ้นมาอยู่ตรงนั้น
“เจ้าลูกเต่าผู้ใด มีความกล้าก็ออกมา ลอบทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้คิดว่าคือวีรบุรุษหรือ!”
เมื่อได้ยินชายฉกรรจ์ที่ถูกตนซัดตะเกียบปักเข้าที่ไหล่ยังคงร้องตะโกนอย่างโมโห เล่อเหยาเหยาจึงก้มหน้าก้มตาคิด เมื่อเธอไม่ใช่ลูกเต่า และไม่ใช่บุรุษ ย่อมไม่มีความกล้า และเธอก็ไม่ได้เป็นวีรบุรุษ ดังนั้นย่อมไม่ส่งเสียงให้ความสนใจ
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงทำเหมือนคนไร้ธุระกับเหลิ่งอวี้เซวียนอีกครั้ง ทั้งสองคนหยิบช้อนทานอาหารขึ้นอีกครั้ง
เพราะพวกเธอหิวมากจริงๆ หากไม่ถูกเหล่าอันธพาลรบกวน คงทานอิ่มไปนานแล้ว
ส่วนชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นบนชั้นล่างหลังร้องตะโกนแล้วไม่มีคนสนใจ ย่อมโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ และยังบาดเจ็บบนร่างกายด้วย เวลานี้จึงไม่รู้ควรทำเช่นไร จึงคิดออกไปทำแผลโดยไม่เรียกคนมาคิดบัญชี
ดังนั้นหลังจากพวกสงเทียนป้าจากไป โรงเตี๊ยมก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม
แต่ผู้คนที่ทานอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ต่างโยนเงินไว้แล้วหนีเอาชีวิตรอด
เพราะพวกเขารู้ว่าพวกสงเทียนป้า รับได้ทุกอย่าง แต่ไม่ยอมเสียเปรียบ ตอนนี้พวกเขาถูกคนทำให้บาดเจ็บอยู่ที่นี่ ย่อมเรียกพวกพ้องมาคิดบัญชี ไม่หนีเวลานี้ ยังต้องรอเวลาใด!
เมื่อเห็นลูกค้าทุกคนต่างหนีเอาชีวิตรอด เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็อยากหนีเอาชีวิตรอดเช่นกัน แต่จนปัญญาที่โรงเตี๊ยมเขาอยู่ที่นี่ อยากหนีแต่ก็ไม่หนีไม่ได้ เพียงมองสิ่งของระเกะระกะพร้อมถอนหายใจอยู่ด้านข้าง
ตรงกันข้าม ในโรงเตี๊ยมที่ว่างเปล่า ในที่สุดเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งอวี้เซวียนก็ทานอิ่ม กำลังจะให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารพวกนี้ลงไป พร้อมนำของหวานหลังอาหารขึ้นโต๊ะ ทันใดนั้นในสายตาของเล่อเหยาเหยากลับปรากฎสาวน้อยจิ้มลิ้มคู่หนึ่งขึ้นมา
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดเลิกคิ้วเข้มไม่ได้
เห็นเพียงสาวน้อยคู่นี้ คือสาวน้อยคู่ที่ถูกพวกสงเทียนป้า รังแกเมื่อครู่
เวลานี้พวกสงเทียนป้า จากไปแล้ว คิดไม่ถึงพวกเธอกลับไม่จากไป
ขณะเล่อเหยาเหยาแปลกใจ ก็เห็นสองพี่น้องคู่นี้ย่อกายให้เธอ เอ่ยอย่างซาบซึ้งพร้อมกันว่า
“เสี่ยวคุ่ย เสี่ยวเอิน ขอบพระคุณการช่วยเหลือของคุณชายเมื่อครู่”
“โอ พวกเจ้าเหตุใดจึงรู้ว่าเรื่องเมื่อครู่นั้นคือฝีมือของข้า”
สำหรับคำพูดของสองพี่น้องนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาสนใจอย่างมาก
เพราะเมื่อครู่เธอมองจากชั้นสองจึงไม่ได้สนใจท่าทางของสองพี่น้องคู่นี้มากมาย เวลานี้ดูแล้วจึงพบว่าสองพี่น้องมีอายุน้อยกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก คนโตดูอายุประมาณสิบสี่ปี ส่วนคนเล็กนั้นอายุราวสิบสามปี
ทั้งสองดูไร้เดียงสา อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้างดงาม แม้ไม่ได้โดดเด่นงามล่มเมือง แต่ตอนนี้อายุยังน้อย หลังจากนี้อีกหลายปีต้องเป็นสาวงามทีเดียว
มิน่าจึงถูกใจพวกอันธพาลอย่างสงเทียนป้า
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ เห็นหลังจาก เสี่ยวคุ่ย เสี่ยวเอินสองพี่น้องได้ยินคำพูดของเธอ ก็มองหน้ากันรอบหนึ่ง ก่อนเสี่ยวคุ่ยที่อายุมากกว่าจะเอ่ยปากขึ้น
“เมื่อครู่ข้าอยู่ด้านล่างเห็นพวกสงเทียนป้า ถูกตะเกียบไม้ทำให้บาดเจ็บ จากตำแหน่งบาดแผลของพวกเขา ข้าจึงเดาว่าผู้ที่ลงมือต้องอยู่ในสถานที่ ที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นคนผู้นี้ย่อมอยู่บนชั้นสอง รวมทั้งตอนนี้ทุกคนต่างหวาดกลัวจะเกิดเรื่องจึงวิ่งหนี มีเพียงคุณชายนั่งราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอยู่ที่นี่ โดยไร้ความตื่นตระหนก ความไม่แยแสนี่ไม่ได้มีในตัวของคนธรรมดา สุดท้ายบนโต๊ะของคุณชายยังขาดตะเกียบไปสองคู่ เช่นนั้นผู้ที่ลงมือเมื่อครู่หากไม่ใช่คุณชาย จะยังเป็นผู้ใดกัน!”
เมื่อเห็นสาวน้อยตรงหน้าแม้จะมีท่าทางอ่อนช้อย แต่การพูดจากลับตรงไปตรงมา มีเหตุผล เฉลียวฉลาด เล่อเหยาเหยาจึงชื่นชมในใจ
คิดไปแล้ว เธอเป็นเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเติบใหญ่ต้องกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพแน่นอน
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยายิ้มมุมปากและไม่ปิดบังอีก
“ฮ่า ๆ แม่นางฉลาดยิ่งนัก”
เล่อเหยาเหยาเผยอริมฝีปากชมพู น้ำเสียงนั้นไพเราะน่าฟัง ดุจไข่มุกหล่นกระทบจานหยกอันกังวานจับใจ
รวมทั้งรอยยิ้มน่าหลงใหลบนใบหน้าโดดเด่นนั้น ดุจดอกเหมยบานสะพรั่งนับหมื่นนับพันดอก งดงามอย่างไร้ที่เปรียบ
ทันใดนั้นสองพี่น้องที่อยู่ด้านหน้าเล่อเหยาเหยาพลันมองอย่างตกตะลึง ก่อนอุทานในใจพร้อมกัน
คุณชายช่างหล่อเหลายิ่งนัก! หรือเขาจะลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยเหลือชีวิตแสนรันทดของพวกเธอสองพี่น้อง!
สองพี่น้องคิดในใจ พลันรีบคุกเข่าพร้อมกันลงบนพื้นทันที
“ขอร้องคุณชายช่วยพวกข้าด้วยเถิด พวกเราไร้บิดามารดามาตั้งแต่เด็ก จึงต้องเล่นดนตรีเพื่อเลี้ยงชีพ แต่วันนี้ล่วงเกินอันธพาลที่นี่เข้าแล้ว ต่อไปที่นี่ไร้ที่ให้พวกเราสองพี่น้องอาศัยอยู่ได้แล้ว!”
เสี่ยวคุ่ยดึงเสี่ยวเอินโขกศีรษะอ้อนวอนแก่เล่อเหยาเหยาอยู่บนพื้นไม่หยุด
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้นลำบากใจเล็กน้อย
แต่คิดว่าเสี่ยวคุ่ยไม่ได้โกหก
หากเพราะการลงมือเมื่อครู่ของเธอ ทำให้สองพี่น้องกระทั่งไร้ที่อยู่อาศัย คือการกระทำที่ผิดจริงๆ
แต่เวลานี้ข้างกายไม่สามารถมีคนติดตามมากมายได้ และไม่รู้ว่าต่อไปตนจะไปที่ใด ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงขบคิด ก่อนล้วงตั๋วเงินร้อยตำลึงออกมามอบให้แก่เสี่ยวคุ่ย
เสี่ยวคุ่ยเห็นเช่นนั้นพลันส่ายหน้าปฏิเสธ
“คุณชาย ข้าไม่ได้อยากได้เงิน ขอเพียงคุณชายให้พวกเราสองพี่น้องติดตามอยู่ข้างกาย”
“เจ้ารับไปเถิด ตอนนี้ข้าไร้หลักแหล่ง เดิมทีท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า จึงไม่เหมาะหากให้พวกเจ้าตามไปด้วย เมื่อพวกเจ้าไร้บิดามารดาก็รับเงินนี้ไว้แล้วไปจากต้าหลี่ หาสถานที่ที่ดีใช้ชีวิต หรือจะไปที่หมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งก็ได้ เพียงเอ่ยกับคนที่นั่นว่าข้าให้พวกเจ้าไป พวกเขาย่อมรับตัวพวกเจ้าไว้”
มองออกว่าเสี่ยวคุ่ยคือสาวน้อยที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงคิดวางแผนให้พวกเธอไปที่หมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่ง
เพราะหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งไม่ขาดแคลนสิ่งใด ขาดเพียงผู้มีความสามารถ
โดยเฉพาะหมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่งมีโรงหมอมากมาย จึงต้องการผู้มีความสามารถ ให้พวกนางไปถือว่าไม่เลว
ส่วนเสี่ยวคุ่ยหลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ชะงักครู่หนึ่งก่อนพลันตอบตกลง
“เช่นนั้นไม่รู้ว่าคุณชายมีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไร”
“ข้าแซ่เล่อ นามว่าเหยา”
“ขอบคุณคุณชายเล่อ เช่นนั้นข้าจะไปที่หมู่บ้านแพทย์อันดับหนึ่ง!”
เมื่อได้ยิน เสี่ยวคุ่ยดึงเสี่ยวเอินลุกขึ้นจากพื้น ก่อนเอ่ยขอบคุณเล่อเหยาเหยาอีกครั้งแล้วจากไป
หลังจากพวกเสี่ยวคุ่ยเพิ่งจากโรงเตี๊ยมไป ภายในโรงเตี๊ยมพลันมีชายฉกรรจ์ที่ในมือถือดาบกว่าสิบคนพุ่งเข้ามา หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความโหดเหี้ยมดุร้าย