ตอนที่ 5 ความคิดของแต่ละบ้าน

ไม่ต้องถามก็รู้ว่าไข่ไก่สองฟองนี้แม่ของเขาต้องให้กินคนละฟองอยู่แล้ว เพียงแต่ภรรยาของเขาเสียสละเก็บให้เขากินทั้งสองฟอง

จ้าวเหวินเทาแย้มยิ้มมองภรรยาของตนเอง เขารู้สึกคุ้มค่ากับการถูกไม้ฟาดจริง ๆ

ดูภรรยาของเขาในตอนนี้สิ กำลังมองดูเขาราวกับเห็นวีรบุรุษอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งนัก

แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่กินคนเดียวหรอก จ้าวเหวินเทายัดไข่กลับเข้าไปใต้หมอน พลันกระซิบเสียงเบาว่า “เดี๋ยวตอนค่ำค่อยกลับมากิน”

เย่ฉูฉู่รู้สึกเคลิบเคลิ้มกับสายตาเปื้อนยิ้มของเขาที่มองมาเมื่อครู่ นางย่อมฟังเขาทุกอย่างอยู่แล้ว จึงส่งเสียง ‘อืม’ ตอบกลับไปเบา ๆ จากนั้นก็เดินออกไปรับประทานข้าวโพดบดกับเขา

ขณะกำลังรับประทานอาหารนั่นเอง เถี่ยต้านหลานชายคนโตก็ถามถึงวีรกรรมอันกล้าหาญที่เกิดขึ้นในวันนี้

เรื่องนี้จ้าวเหวินเทาย่อมพูดให้ดูดีอยู่แล้ว

ระหว่างรับประทานข้าวโพดบด เขาได้เล่าวีรกรรมทั้งหมดของตัวเองอย่างอรรถรส สุดท้ายก็ถลกเสื้อให้ทุกคนได้ดู

หลังเช็ดแผลด้วยยาดองแล้วคราบเลือดก็ได้หายไป แต่ร่องรอยที่เหลืออยู่เหล่านั้นยังดูค่อนข้างน่ากลัว ทำให้เย่ฉูฉู่รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างเหลือแสน

ก่อนหน้านี้เขาคุยโวโอ้อวดได้เก่งกาจสุด ๆ เรียกว่าน้ำไหลไฟดับเลยก็ว่าได้ แต่เหล่าพี่สะใภ้กลับไม่เชื่อ คงไม่มีอะไรที่น้องสามีคนเล็กเก่งกาจมากไปกว่าการคุยโวอีกแล้ว

ฝีปากของทุกคนในบ้านมัดรวมกันยังสู้เขาคนเดียวไม่ได้เลย

พี่รองจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างพยายามรักษาท่าทางของตนเอง

แต่เมื่อเห็นบาดแผลเหล่านี้ พวกเขาก็ตกใจกันจริง ๆ

“น้องหก นายสู้กับคนสี่คนเพียงลำพังเหรอ กล้าทำไปได้ไงเนี่ย?” พี่สี่จ้าวพูด

“ก็ต้องกล้าอยู่แล้วสิครับ!” จ้าวเหวินเทาพูด “ผู้ชายตั้งหลายคนฉุดกระชากผู้หญิงแค่คนเดียว แบบนี้มันหมายความว่าอะไรล่ะ? ผมเห็นแล้วจะให้แกล้งทำเป็นไม่เห็นเหรอ? อีกอย่างผมก็มีเรื่องชกต่อยมาตั้งแต่เด็ก ก็ต้องมีวิธีอยู่แล้ว แต่เด็ก ๆ อย่างพวกเธอฟังไว้ให้ดีนะ ถ้าเจอปัญหาก็อย่าทำอะไรที่เกินกำลังตัวเองเข้าใจไหม เจอปัญหาที่ตัวเองรับไม่ไหวก็อย่าบุ่มบ่ามเข้าไป เพราะนอกจากจะช่วยคนอื่นไม่ได้แล้ว แม้แต่ตัวเองก็จะถูกลากเข้าไปด้วย วิ่งไปเรียกคนอื่นมาช่วยต่างหากล่ะคือเรื่องที่สำคัญ!”

คุยโวไปคุยโวมา คำพูดในภายหลังก็กลับกลายเป็นคำพูดที่บอกพวกหลาน ๆ ว่าความกล้าหาญที่ไร้ความเฉลียวฉลาดนั้นไม่มีประโยชน์ ไหวพริบต่างหากล่ะคือสิ่งสำคัญ

หากไม่ใช่เพราะภรรยาของเขาอยู่ด้วยในตอนนั้น เขาก็คงหมุนตัววิ่งหนีออกไป ซึ่งก็คงไปตะโกนเรียกให้คนมาช่วยนั่นแหละ

แต่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ภรรยาก็อยู่ด้วย ยังไงก็หนีไม่พ้น

ทุกคนต่างพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของเขา เถี่ยต้าน หลูต้านและหม่าต้านที่จากเดิมนึกอยากลองเพราะอยากกล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องต่างก็ถูกสาดด้วยน้ำเย็นหนึ่งถัง*

*ถูกสกัดความตั้งใจจนดับมอด

คุณพ่อจ้าวแค่นเสียงหึแล้วพูดว่า “แกเองก็มีความสามารถเหมือนกันนี่ ถูกทุบจนอยู่ในสภาพนี้ได้”

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ผมมีแค่คนเดียว อีกฝ่ายมากันตั้งสี่คนนี่ครับ” จ้าวเหวินเทาพูด

“รู้หรือเปล่าว่าเป็นคนที่ไหน?” คุณแม่จ้าวถาม

“ไม่รู้สิครับ แต่ไม่ใช่คนแถวนี้แน่ สำเนียงก็ไม่เหมือนด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของอีกฟากแม่น้ำ” จ้าวเหวินเทาพูด

 

“คนของพวกเราทางฝั่งนี้กล้าทำเรื่องแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ ต้องเป็นคนที่มาจากที่อื่นอยู่แล้ว” คุณพ่อจ้าวพูด

จ้าวเหวินเทาเองก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เขาเขี่ยข้าวโพดบดไปพลาง รอภรรยาของตัวเองรับประทานให้เสร็จไปพลาง ครั้นเห็นว่าเธอรับประทานอาหารเสร็จแล้วจึงพูดว่า “นี่ก็ดึกแล้ว วันนี้ทุกคนก็เหนื่อยแล้วด้วย รีบกินรีบนอนเถอะครับ ภรรยา พวกเรากลับห้องกัน”

เย่ฉูฉู่หันมายิ้มให้เขา “คุณกลับห้องก่อนเลยค่ะ ฉันจะเก็บจานไปล้าง”

“ก็มีพวกต้าหยาอยู่ไม่ใช่เหรอ” จ้าวเหวินเทาพูด

ต้าหยาและเอ้อร์หยาไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว พวกเธอเกือบอ้วกแตกอ้วกแตน เพราะวันนี้ต้องออกไปทำงานเก็บผักขม เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!

 

เย่ฉูฉู่รู้สึกซึ้งใจ แต่ก็ยังยืนกราน พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณเอาเสื้อผ้าไปอาบน้ำที่แม่น้ำก่อนเถอะค่ะ กลับมาแล้วฉันจะเช็ดแผลด้วยยาดองให้อีกครั้ง”

ผู้ชายที่นี่ต่างก็ออกไปอาบน้ำตรงริมตลิ่งกันหมด น้อยครั้งมากที่จะอาบน้ำที่บ้านตัวเอง ส่วนพวกผู้หญิงแน่นอนว่าต้องอาบน้ำในบ้านของตัวเอง

“ก็ได้” ในเมื่ออากาศร้อนขนาดนี้ จ้าวเหวินเทาเองก็อยากออกไปว่ายน้ำและอาบน้ำในแม่น้ำเหมือนกัน โดยเฉพาะวันนี้ที่เขาอยากจะออกไปโม้เกี่ยวกับเรื่องวีรกรรมความกล้าในสิ่งที่ถูกต้องจนแทบทนไม่ไหว เป็นเพราะเมื่อครู่เหนื่อยเกินไปจึงผล็อยหลับไปเสียก่อน

ใช้ประโยชน์จากบาดแผลเหล่านี้ที่ยังอยู่บนร่างกาย ก็ถือว่าเป็นหลักฐานได้แล้ว ดังนั้นต้องออกไปโม้สักหน่อย

“น้องหก ฉันไปกับนายด้วย” พี่จ้าวสี่รีบพูด

จากนั้นพี่รองจ้าวสอง พี่สามจ้าวสาม รวมถึงหม่าต้านก็ตามไปด้วย คุณพ่อจ้าวเองก็เดินถือเสื้อชุดใหม่ไปที่แม่น้ำเช่นกัน

วันนี้เย่ฉูฉู่ไม่ได้ไปทำงาน ดังนั้นนางจึงขันอาสาทำหน้าที่เก็บล้างจานชาม เก็บกวาดแค่เพียงเล็กน้อย ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

นางเติมน้ำลงในกะละมังล้างหน้าของนางและจ้าวเหวินเทา ก่อนเดินเข้าบ้านไปชำระล้างร่างกาย

จะปล่อยให้เนื้อตัวมอมแมมเลอะเทอะได้หรือ? อย่างไรก็ต้องล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด

หลังจากเปลี่ยนน้ำไปสามกะละมังเต็ม นางก็เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดใหม่ และถือโอกาสซักเสื้อผ้าของตัวเองแขวนตากไว้นอกชายคาบ้านไปด้วย

ทางฝั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ลากพี่สะใภ้สามจ้าวไปกระซิบกระซาบ ใบหน้าของหล่อนมืดครึ้ม “พี่สะใภ้สาม อย่าหาว่าอย่างงั้นอย่างนี้เลยนะคะ วันนี้ฉันแทบจะทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!”

“เป็นอะไรไป?” พี่สะใภ้สามชะงักขณะมองหล่อน

“เมื่อกี้ฉันได้ยินซานหยาพูดว่า น้องสะใภ้หกเดินเข้าไปในครัวตอนที่คุณแม่กำลังทำกับข้าว คุณแม่ต้มไข่ให้หล่อนตั้งสองฟอง แถมยังแอบยัดใส่มือหล่อนด้วย!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูด

“นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย ยังจะพูดอะไรอีกล่ะ ว่าแต่ซานหยารู้ได้ยังไง” พี่สะใภ้สามจ้าวพูด

“ฉันเป็นคนสั่งซานหยาเองแหละค่ะ บอกให้เธอจับตาดูไว้ถ้าอาสะใภ้หกของเธอเดินเข้าไปในครัว และเธอก็ได้ยินจริง ๆ ด้วย!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูด

พี่สะใภ้สามจ้าวตอบกลับ “ที่นี่ไม่ใช่บ้านของพวกเรา ในห้องครัวคุณแม่พูดยังไงก็ต้องเป็นไปตามนั้น พวกเราไม่มีสิทธิ์หรอก”

พี่สะใภ้สี่จ้าวเกือบจะบันดาลโทสะ ทั้งครอบครัวออกไปทำงานข้างนอกกันหมด เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ส่วนน้องสามีและน้องสะใภ้หกนั้นไม่ทำอะไรเลย แต่คุณแม่กลับต้มไข่เพื่อบำรุงร่างกายให้พวกเขา

ลองมาคิดดูแล้วใครจะไปทนไหวกันล่ะ?

พี่สะใภ้สามจ้าวไม่ได้พูดอะไรกับหล่อน แต่ในตอนกลางดึกขณะที่กำลังนอน พี่สะใภ้สามจ้าวก็กระซิบกับพี่สามจ้าวเกี่ยวกับเรื่องนี้

“บ้านก็ไม่ใช่ของเรา เป็นบ้านของแม่ แม่จะให้ใครกินก็ให้กินไปสิ นอกเสียจากว่าเป็นบ้านของพวกเราเอง” พี่สามจ้าวแค่นเสียงหึออกมาเบา ๆ

“บ้านตัวเอง? คุณอยากแยกบ้านเหรอคะ?” พี่สะใภ้สามจ้าวอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเบา ๆ

“คุณไม่เคยคิดแบบนี้เหรอ? คุณไม่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองหรือไง?” พี่สามจ้าวย้อนถาม

พี่สะใภ้สามจ้าวไม่ได้พูดอะไร แต่หล่อนก็มีความคิดนี้อยู่จริง ๆ

เรื่องไข่ไก่ในวันนี้ พี่สะใภ้รองจ้าวก็ได้ยินน้องสามีและน้องสะใภ้ทั้งสองคุยกันด้วย

ถึงพี่สะใภ้รองจ้าวจะได้ยินแล้วก็ทำเป็นไม่ได้ยินอะไร อย่างน้อย ๆ ก็ต่อหน้าน้องสะใภ้สามและน้องสะใภ้สี่

อันที่จริงพี่สะใภ้รองก็ใช่ว่าจะไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร

  

ตอนที่อยู่ในห้องนอน หล่อนได้พูดเรื่องนี้กับพี่รองจ้าวเช่นกัน พี่รองกลับพูดว่า “แม่ทำอย่างนั้นก็เพราะเป็นห่วงน้องหก อีกอย่างคุณคงไม่รู้ว่าน้องสะใภ้หกก็เป็นลมหมดสติไปเหมือนกัน มีคนพาหล่อนกลับมาส่งที่บ้าน ดังนั้นก็เลยต้องบำรุงสักหน่อย โดยปกติแล้วก็ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันนั่นแหละ เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบนอนเถอะ อย่าใจแคบเหมือนกับน้อง ๆ พวกนั้นเลย”

สะใภ้รองจ้าวอดไม่ได้ที่จะตีเขาเบา ๆ ไปสองครั้ง หล่อนใจแคบตรงไหนกัน? ยังไม่ทันพูดอะไรเลย ภายในใจของหล่อนคิดอะไรสามีของหล่อนจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน เพียงแต่ผู้ชายตายด้านแบบเขาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหล่อนคิดอะไรแต่ก็ไม่ยอมพูดถึง

ลูกชายสองคนและลูกสาวอีกหนึ่งคนของพวกเขาต่างก็เติบโตพอจะทำงานเก็บแต้มค่าแรงได้แล้ว หากได้แยกบ้านกันอยู่ ครอบครัวของหล่อนต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน!

ไฉนเลยจะเป็นเหมือนกับตอนนี้ ที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงทุกคนในครอบครัว!

แน่นอนว่าในบรรดาลูกสะใภ้ คนที่รู้สึกไม่ยุติธรรมอยู่ในใจมากที่สุดก็คือสะใภ้สี่จ้าว

พี่สี่จ้าวกำลังทำการบ้านกับหล่อนอยู่ หลังจากเสร็จกิจและเตรียมตัวเข้านอนนั้น จู่ ๆ เขาก็ได้ยินผู้หญิงคนนี้กำลังร้องไห้ พี่สี่จ้าวจึงถามไปว่าหล่อนเป็นอะไร?

  

“แม่ต้องดูถูกฉันเพราะฉันคลอดแต่ลูกสาวแน่ ๆ ค่ะ เลยไม่ยอมให้ไข่ไก่ซานหยากับซื่อหยาแม้แต่ฟองเดียว แต่กลับให้ครอบครัวบ้านหกกิน” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูด

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ได้ทีก็โม้ใหญ่เลย เป็นการแสดงออกทางอ้อมหรือเปล่าว่าผมเองก็เก่งเหมือนกันนะ

ดูจากความคิดแต่ละบ้านแล้ว แยกบ้านกันน่าจะดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องจับผิดคนนู้นคนนี้ให้เหนื่อยใจ

ไหหม่า(海馬)