ตอนที่ 6 ปล่อยพี่สาวคนนั้น แล้วเข้ามาหาฉันนี่

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 6 ปล่อยพี่สาวคนนั้น แล้วเข้ามาหาฉันนี่!

พี่สี่จ้าวชะงัก เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกด้วยไม่เข้าใจว่าหล่อนกำลังพูดถึงอะไร

พี่สะใภ้สี่จ้าวกำลังพูดกับเขาเรื่องไข่ไก่สองฟอง

“นั่นก็เป็นเพราะน้องหกกล้ายืนหยัดเพื่อความถูกต้องไง แถมยังถูกตีจนอยู่ในสภาพนั้นอีก เป็นเรื่องปกติที่แม่จะเป็นห่วง และให้ไข่ไก่กับเขาเพื่อบำรุงร่างกาย” พี่สี่จ้าวพูด

พูดจบพี่สี่จ้าวก็นอนหลับไป โดยไม่สนใจหล่อนอีก

พี่สะใภ้สี่จ้าวเห็นอีกฝ่ายพลิกตัวนอนและส่งเสียงกรนหลับสนิทไปในทันใด หล่อนก็แทบจะร้องไห้ด้วยความโมโห

เป็นเพราะหล่อนให้กำเนิดแต่ลูกสาวสินะ กระทั่งสามีก็ไม่อยากฟังในสิ่งที่หล่อนพูด!

ณ ห้องด้านหลังบ้านในเวลานี้ จ้าวเหวินเทาก็กำลังรับประทานไข่ไก่กับภรรยาอย่างสบายใจเฉิบเพราะไม่มีอะไรต้องทำ

ไข่ไก่ทั้งสองฟองนี้ พวกเขาแบ่งกันรับประทานคนละใบอย่างมีความสุข

หลังจากรับประทานเสร็จ จ้าวเหวินเทาก็เตรียมจะขึ้นไปนอนบนเตียงเตา แต่เย่ฉูฉู่รินน้ำให้เขา บอกให้เขาออกไปแปรงฟันก่อนแล้วค่อยเข้านอน

“ดึกดื่นขนาดนี้แล้วจะแปรงฟันอะไรอีกครับ?” จ้าวเหวินเทาพูด

“ต้องแปรงนะคะ แปรงให้สะอาดด้วย” เย่ฉูฉู่พูดเสียงเบา

นี่เป็นสิ่งที่องค์ชายสอนนางในชาติที่แล้ว องค์ชายช่างมีความรู้มากนัก ก่อนหน้านี้ใคร ๆ ก็ใช้ก้านต้นหลิวขัดฟัน แต่องค์ชายกลับผลิตแปรงสีฟันขึ้นมาด้วยตนเอง

  是的,就叫牙刷,专门用来刷牙的,告诉她早上晚上都要刷。

ใช่แล้ว มันเรียกว่าแปรงสีฟัน ใช้สำหรับแปรงฟันโดยเฉพาะ เขาบอกว่านางต้องแปรงทั้งเช้าและค่ำ

 

เขาผลิตของออกมามากมาย ยกตัวอย่างเช่นสบู่อะไรสักอย่างนี่แหละที่ขายดีเป็นพิเศษ จนคนนอกต่างก็พูดว่าองค์ชายช่างร่ำรวยถึงขนาดซื้อดินแดนได้ทั้งผืน

แต่องค์ชายเก็บเงินส่วนพระองค์ไว้ไม่มากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาชอบนำไปสร้างสะพานและปูถนน สร้างสะพานสำหรับสถานที่ยากจนแร้นแค้นหลายแห่ง ทั้งยังปูถนนให้กับชนบทในอีกหลายพื้นที่ด้วย

จ้าวเหวินเทาไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก “ก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย แถมมันเปลืองยาสีฟันด้วย ตอนนี้พี่สาวห้าแต่งงานออกไปแล้ว ส่งมาให้ทางบ้านได้ไม่บ่อยนักหรอก ”

  

หลังพี่สาวห้าของเขาเข้าเมืองไปทำงานที่โรงงานยาสีฟัน ทุกคนในบ้านก็เริ่มแปรงฟัน มีหลายคนในชนบททีเดียวที่ไม่ค่อยแปรงฟันกัน แต่ถ้าไม่แปรงฟันก็คงจะฟันผุ

พี่สาวห้าของเขาเป็นคนเผยแพร่ให้กับทางบ้าน ดังนั้นทุกคนจึงต้องแปรงฟัน แต่จะแปรงฟันอีกครั้งในตอนกลางคืนก็ออกจะเกินไปหน่อย

“คุณไปแปรงเถอะค่ะ ฉันเองก็จะแปรงด้วย” เย่ฉูฉู่พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

จ้าวเหวินเทามองภรรยาของตนเอง ภายในใจก็แอบรู้สึกจักจี้ จึงพูดว่า “ก็ได้ งั้นผมจะไปแปรงกับคุณ!”

วันนี้ภรรยาของเขายั่วยวนเกินไปแล้ว เขาชักอยากทำการบ้านขึ้นมาเสียแล้วสิ ดังนั้นตามใจเธอหน่อยก็แล้วกัน

ทั้งสองคนแปรงฟันในช่วงกลางดึก จากนั้นจึงขึ้นเตียงเพื่อเข้านอน

ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จต่อไปก็ต้องเข้านอนแล้ว เย่ฉูฉู่ใบหน้าแดงก่ำ นาง…กำลังนอนอยู่บนเตียงเดียวกับองค์ชายเหรอ?

นี่มัน…ช่างน่าอายจริง ๆ

“ภรรยา ขึ้นเตียงเถอะ” จ้าวเหวินเทาเลิกคิ้วมองเธอ

เรื่องหลังจากนี้ เย่ฉูฉู่พูดได้เพียงว่าต่อให้ยกมาทั้งฟ้าดินก็ไม่เพียงพอที่จะบรรยายออกมาได้

จ้าวเหวินเทาเองก็ตื่นเต้น ทำไมภรรยาของเขาถึงได้เขินอายยิ่งกว่าวันส่งตัวเจ้าสาวอีกล่ะ? เสียงร้องครวญครางนั่นทำให้เขาแทบจะร้องขอชีวิตจริง ๆ

“ภรรยา มีลูกตัวอ้วนใหญ่ให้ผมเร็ว ๆ นะ” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างพึงพอใจ

เย่ฉูฉู่อายจนไม่ไหวแล้ว นางไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเขา

จ้าวเหวินเทาเห็นท่าทางของเธอแล้วก็พลันโอบกอดเธอด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงพูดความในใจกับภรรยา “ถ้าครอบครัวของเราแยกบ้านได้ก็คงดีมากเลยนะ”

“แยกบ้าน?” เย่ฉูฉู่ได้ยินคำพูดนี้พลันชะงักไปเล็กน้อย นางมองเขาอย่างงุนงง

“ภรรยา คุณไม่คิดที่จะแยกบ้านเหรอครับ?” จ้าวเหวินเทาเห็นเธอเป็นแบบนี้ จึงคิดว่าควรจะเจรจากับภรรยาให้เข้าใจสักหน่อย “ถ้าพวกเราแยกบ้าน พวกเราก็สามารถกินอะไรตามใจตัวเองได้แล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนอยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำงานก็ทำ ไม่อยากทำงานก็พัก สบายจะตายไป แถมไม่ต้องคอยดูสีหน้าพวกพี่ชายพี่สะใภ้ด้วย!”

“แต่สุดท้ายทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังอยู่ พวกเราจะแยกบ้านได้ยังไงล่ะคะ?” เย่ฉูฉู่พูด

เหตุผลที่ว่าลูกชายลูกสาวไม่แยกบ้านเพราะพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางเองก็พอจะเข้าใจ

 

“เรามีครอบครัวของเราเอง จะไม่แยกบ้านได้ยังไงล่ะครับ อีกอย่างคุณไม่รู้สึกบ้างเลยเหรอครับ ว่าพี่สะใภ้สามยังพอทน แต่พี่สะใภ้รองกับพี่สะใภ้สี่น่ะไม่ชอบพวกเราเอาเสียเลย” จ้าวเหวินเทาพูด

“เรื่องแยกบ้านเกรงว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิคะ อีกอย่างฉันคิดว่าพี่สะใภ้สี่เองก็คงไม่อยากแยกบ้านเหมือนกัน ครอบครัวของหล่อนมีลูกสาวทั้งสองคน แยกบ้านไปก็ต้องเลี้ยงตัวเอง” เย่ฉูฉู่พูด

“ช่างหล่อนเถอะครับ ทั้งบ้านมีหล่อนที่ขี้ระแวงที่สุดแล้ว แยกบ้านนั่นแหละดีที่สุด แยกบ้านแล้วก็ให้หล่อนดูแลตัวเอง อย่าหวังว่าพวกเราจะช่วยเลี้ยง!” จ้าวเหวินเทาบุ้ยปาก

 

“ฉันเชื่อคุณค่ะ ถ้าหากคุณอยากแยกบ้าน งั้นก็หาโอกาสไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ดูก็แล้วกันนะคะ” เย่ฉูฉู่ซบอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของเขา พลางกระซิบต่อ “ต่อให้แยกบ้าน ฉันก็สามารถทำงานหาเลี้ยงคุณได้นะคะ”

จ้าวเหวินเทาได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกสุขล้นขึ้นมา “ได้ๆ ผมจะพึ่งพาให้ภรรยาเลี้ยงผมก็แล้วกันนะครับ”

“อื้อ คุณสบายใจได้เลยค่ะ” เย่ฉูฉู่พยักหน้าอย่างจริงจัง

 

จ้าวเหวินเทาจำเป็นต้องให้ภรรยาของเขาเลี้ยงที่ไหนกันล่ะ เพียงแต่ไม่อยากขัดใจภรรยาของเขาที่นาน ๆ จะรักเขาสุดหัวใจแบบนี้ก็เท่านั้นเอง

ไม้ที่ฟาดลงมาในวันนี้ ได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขาแบบ 180 องศาจริง ๆ

เขาไม่ได้ถูกทุบตีอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่เปล่าประโยชน์เลยจริง ๆ

เขานอนกอดภรรยาของตนเองโดยไม่รังเกียจความร้อนและเนื้อตัวเหนียวเหนอะแต่อย่างใด

เย่ฉูฉู่เองก็เหนื่อยเช่นเดียวกัน ทว่านางกลับนอนด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

ก่อนนอนนั้นนางกำลังคิดว่า ไม่ว่าจะแยกบ้านหรือไม่ นางก็อยากจะดูแลเหวินเทาของนางให้ดี

แต่หากแยกบ้าน เห็นได้ชัดว่าคงดีกว่าเล็กน้อย เพราะนางสามารถทำอาหารอร่อย ๆ ให้เหวินเทากินได้ และไม่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ คนอื่น

เหล่าลูกชายและลูกสะใภ้โตแล้วย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง อันที่จริงคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวที่อยู่ในห้องก็กำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอยู่เช่นกัน

คุณพ่อจ้าวถามว่าได้บำรุงร่างกายเจ้าหกแล้วหรือยัง เพราะเขาถูกทุบตีจนอยู่ในสภาพแบบนั้น

เห็นได้ชัดว่าคุณพ่อจ้าวก็เป็นห่วงลูกชายคนสุดท้อง

คุณแม่จ้าวบอกว่าได้ต้มไข่ไก่ให้รับประทานไปแล้ว คุณพ่อจ้าวจึงไม่ได้กล่าวอะไร และบอกให้ภรรยารีบนอนพักผ่อน

ครั้นถึงเวลาเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น คุณแม่จ้าวก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า พี่สะใภ้รองจ้าว พี่สะใภ้สามจ้าวและพี่สะใภ้สี่จ้าวก็ทยอยกันตื่นนอนต้อนรับเช้าวันใหม่

ครั้นเห็นว่าคนบ้านหกยังไม่ตื่น พี่สะใภ้รองจ้าวก็ไม่ได้พูดอะไร ทว่าพี่สะใภ้สี่จ้าวกลับรู้สึกถึงความอยุติธรรม และกระซิบว่า “น้องสามีกับน้องสะใภ้หกยังไม่ตื่นอีกเหรอคะ? มีเสื้อผ้าในบ้านอีกกองหนึ่งที่ยังไม่ได้ซักนะคะ!”

 

“ก็แค่นิด ๆ หน่อย ๆ ใช้คนไม่มากหรอก เดี๋ยวให้พวกต้าหยาเอ้อร์หยาไปซักก็ได้” พี่สะใภ้สามจ้าวเอ่ยขณะยืนแปรงฟันอยู่ข้าง ๆ

พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่อยากพูดกับพี่สะใภ้ใจดำคนนี้แล้ว

“บ้านจ้าวมีใครอยู่ไหม?” ในเวลานี้มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอก

“ใครคะ?” พี่สะใภ้รองจ้าวที่กำลังกวาดลานบ้านเดินออกมาเปิดประตู

คนที่ตะโกนอยู่ด้านนอกประตูคือพ่อค้าเนื้อไช่ ซึ่งพี่สะใภ้รองจ้าวไม่รู้จักเขา เมื่อเปิดประตูเห็นเขาหล่อนจึงถามกลับ “พี่ชายมาหาใครเหรอคะ?”

ครั้นกล่าวจบ สายตาของพี่สะใภ้รองจ้าวก็เหลือบเห็นเนื้อหมูที่พ่อค้าเนื้อไช่หิ้วอยู่ในมือ

 

เยี่ยมไปเลย นี่มันเนื้อนี่ เป็นเนื้อหมูสามชั้นที่มีมันแทรกอยู่ น่าจะหนักราวหนึ่งชั่ง[1] ทีเดียว!

นี่คงไม่ใช่ญาติของใครในบ้านหรอกใช่ไหม?

“ผมมาขอบคุณน้องชายเหวินเทา เมื่อวานกลับมาบ้านก็ไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือ เช้าวันนี้ผมก็เลยนำเนื้อมาให้เขาหนึ่งชิ้น!” พ่อค้าเนื้อไช่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องที่น้องสามีของฉันทำเรื่องกล้าหาญเพื่อความถูกต้องน่ะเหรอคะ?” พี่สะใภ้รองได้ยินก็รีบถามกลับไป

“ใช่แล้ว ๆ ต้องขอบคุณน้องชายเหวินเทามากจริง ๆ!” พ่อค้าเนื้อไช่พูดด้วยท่าทางจริงจัง

เมื่อวานภรรยาของเขาได้ใส่เงินไว้ในกระเป๋าของหล่อน เป็นเงินรายได้ของเขาในเดือนนี้รวมแล้วเป็นเงินทั้งหมด 28 หยวน

หากไม่ใช่เพราะน้องชายจ้าวเหวินเทาไม่กลัวต่ออำนาจความชั่วร้าย เงินในกระเป๋าของภรรยาคงโดนขโมยจนหมด ที่สำคัญก็คือเมื่อวานมีแค่ภรรยาของเขาอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายถึงสี่คน

นี่มันอันตรายขนาดไหนกัน?

เมื่อวานหลังจากกลับถึงบ้าน ภรรยาของเขาก็จับมือเขาแล้วบอกเขาว่า ต้องขอบคุณเหวินเทาให้ดี ๆ หล่อนรู้สึกซึ้งใจกับศีลธรรมอันสูงส่งของน้องชายจ้าวจริง ๆ!

ทำไมน่ะเหรอ?

ก็เพราะจ้าวเหวินเทารู้ดีว่าเขาและภรรยาคงหนีไม่พ้น ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงดุดันสีหน้าเคร่งขรึมตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าปล่อยพี่สาวคนนั้นแล้วเข้ามาหาฉันนี่!

ตอนที่สู้กันหนึ่งต้านสี่ เขายังตะโกนบอกว่าพี่สาวจงรีบหนีไป ผมจะรับมือเอง!

……………………………………………………………………………………………………………………………………………

[1] หนึ่งชั่ง เท่ากับ ครึ่งกิโลกรัม

สารจากผู้แปล

ฟินล่ะสิฉูฉู่ ผู้แปลเองก็ฟินเหมือนกันค่ะ

ความดีที่ทำไว้เริ่มปรากฏผลแล้ว พวกพี่ชายพี่สะใภ้จะมีความเห็นยังไงกันบ้างนะ

ไหหม่า(海馬)