บทที่ 257 ฉากหลังอันดำมืด (3)
ฤดูสารทอากาศสดชื่น ดวงอาทิตย์งดงาม
ดอกไม้ดั่งใบบัวสีแดงชาดหลายกลีบกระจายเต็มริมแม่น้ำที่มีหญ้าเขียวชอุ่มใกล้เมืองกระดิ่งขาว
ลู่เซิ่งขี่ม้าตัวใหญ่ พวกสวีชุยสองคนจากพรรควาฬแดงที่ขี่ม้าเช่นกันติดตามอยู่ด้านหลัง เกวียนเทียมวัวสำหรับลากสินค้าหลายคันรั้งอยู่ด้านหลังทุกคน
ขบวนรถมีรถสี่คัน ขับไปยังทิศทางสำนักมารกำเนิดอย่างไม่เร็วไม่ช้า
ลู่เซิ่งมองไปที่ริมแม่น้ำ สายตาจับอยู่บนร่างคนเดินเล่นที่กำลังท่องเที่ยวและชมภาพวาดเหล่านั้น
“ไม่ได้เจออวิ๋นซีมานานขนาดไหนแล้วนะ” เขามาจงหยวนเกือบจะหนี่งปีแล้ว ครั้งนี้ที่ออกจากสำนักมารกำเนิดมา หนึ่งเพื่อเตรียมวัสดุสำหรับฝึกฝนบางส่วนที่เขาจำเป็นต้องใช้ สองเพื่อจัดการเรื่องราวภายนอกบางส่วน เช่นส่งคนไปรับครอบครัวมาจากแดนเหนือ
“ประมุขพรรคไม่ต้องห่วง แดนเหนือมีประมุขพรรคเฒ่ากับรองประมุขพรรคอยู่ด้วยหลายคน ทุกอย่างราบรื่นดี สำนักอาทิตย์ชาดเองก็แข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน เพียงแต่…” นิ่งซานลังเลอยู่บ้าง
“เพียงแต่อะไร” ลู่เซิ่งถาม
“เพียงแต่…นายผู้เฒ่าลู่เหมือนไม่อยากย้ายมา บอกว่าพวกเขาอยู่แดนเหนือจนชินแล้ว ไม่อยากเดินทางให้ลำบากอีก” นิ่งซานตอบเสียงเบา
ลู่เซิ่งนึกไว้อยู่แล้ว
“ก็ดี ตระกูลลู่เป็นงูเจ้าถิ่นในแดนเหนือดีกว่ามาเป็นชนชั้นธรรมดาในจงหยวน”
“ใต้เท้าฉลาดเฉลียว นายผู้เฒ่าลู่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน” นิ่งซานกล่าวอย่างเคารพ
“แล้วอวิ๋นซีเล่า” ลู่เซิ่งถามอีก “นางเริ่มเดินทางแล้วหรือ”
“เอ่อ…” นิ่งซานพูดถึงตรงนี้ก็อึกอักอีก “อวิ๋นซีฮูหยินนาง…มานั้นอยากมา เพียงแต่…”
“อย่าอ้ำอึ้ง มีอะไรก็พูดตรงๆ!” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างหงุดหงิดบ้างแล้ว
“ขอรับ บิดาของอวิ๋นซีฮูหยินป่วยหนัก…ตอนนี้ใกล้จะเสียชีวิตแล้ว นางมาไม่ได้จริงๆ…” นิ่งซานจนใจอยู่บ้าง เขาดันมาเจอเรื่องเหนือความคาดหมายแบบนี้
ลูกพี่สั่งให้เขากลับไปรับครอบครัว ผลลัพธ์คือไม่ได้อะไรเลย เดินทางเสียเปล่า
“ดังนั้นเจ้าจึงกลับมาโดยไม่ได้รับใครมาสักคน” สวีชุยที่อยู่ด้านข้างก็อดรู้สึกจนปัญญาไม่ได้เช่นกัน
“ย่อมไม่ใช่!” พอพูดถึงตรงนี้ นิ่งซานก็รีบส่ายหน้าแล้วอธิบาย “ประมุขพรรคมีคำสั่ง ข้าน้อยจะไม่ทำเต็มที่ได้อย่างไร แม้ไม่ได้รับนายผู้เฒ่ากับฮูหยินเฒ่า และไม่ได้รับอวิ๋นซีฮูหยินมา แต่ข้าก็รับน้องสาวของประมุขพรรคมาได้คนหนึ่ง!”
“น้องสาวหรือ เจ้าหมายถึงอิงอิงหรือว่าอีอี” ลูกพี่ลูกน้องของตนแวบผ่านห้วงสมองของของลู่เซิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นลู่ชิงชิง ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือสองคนนี้
“เอ่อ…ไม่ใช่ขอรับ…เป็นจางซิ่วซิ่ว…” นิ่งซานก้มหน้าอย่างขลาดๆ
จางซิ่วซิ่วเป็นลูกผู้น้องของลู่เซิ่ง ทั้งยังเป็นลูกผู้น้องห่างๆ ก่อนหน้านี้ว่ากันว่ามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับพวกลู่เทียนหยาง ซึ่งเป็นคนรุ่นหลังในตระกูลด้วย ครั้งนี้นางกล้าติดตามมาเองเชียวหรือ
ลู่เซิ่งคิดไม่ถึงอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงความทรงจำที่จางซิ่วซิ่วเหลือไว้ให้ เขาก็กระจ่างแจ้ง
นางเป็นพวกเห็นแก่ประโยชน์ เห็นใครมีศักยภาพมากก็หาวิธีเข้าใกล้ ครั้งนี้ไม่มีใครยินยอมเดินทางเป็นหมื่นลี้มาจงหยวน แต่นางกล้า ทั้งยังละทิ้งทุกอย่างติดตามมาคนเดียว
แม้นางจะไม่ควบคุมตัวเองในชีวิตส่วนตัว แต่ความกล้าก็น่าชื่นชมอยู่
“ตอนนี้จางซิ่วซิ่วอยู่ไหน” ลู่เซิ่งถาม
“นางบอกจะรอท่านในเมืองกระดิ่งขาว พักที่โรงเตี๊ยมนางแอ่นขาว ท่านไปหานางได้ทุกเวลา เอ่อ…พวกเราให้ของกินของใช้เพียงพอแล้ว ข้อนี้ท่านวางใจ” นิ่งซานกลัวลู่เซิ่งไม่พอใจ ถึงอย่างไรก็ละทิ้งทุกสิ่งและเดินทางเป็นพันลี้ติดตามเขามา จางซิ่วซิ่วผู้นี้ต้องมีความสัมพันธ์กับลู่เซิ่งไม่เลว สมควรปรนนิบัติให้ดี
“ในเมื่อมาแล้วก็ให้นางอยู่สบายๆ พาไปเรียนหนังสือในสถานศึกษา ถ้าเรียนไม่ได้ก็อย่ากลับมาให้เสียหน้าตระกูลลู่” ลู่เซิ่งจัดการจางซิ่วซิ่วอย่างไม่แยแส
เขารู้ตั้งแต่ตอนอยู่ในแดนเหนือแล้วว่าลูกผู้น้องห่างๆ ผู้นี้มีไม่คิดอะไรเลยนอกจากคิดวิธีหาที่พึ่งพิงเพื่อเลี้ยงดูนางไปอีกครึ่งชีวิต เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจางซิ่วซิ่วจะเด็ดขาดขนาดนี้
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” นิ่งซานพยักหน้า เขาพอจะรู้แล้วว่าลู่เซิ่งมีท่าทีแบบไหนต่อลูกผู้น้องทางไกลคนนี้
จากนั้นก็เงียบงันตลอดทาง ไม่นานขบวนรถก็ตัดผ่านแม่น้ำที่มีหญ้าเขียวชอุ่ม ข้ามที่ราบผืนหนึ่ง ก่อนจะถึงรอยแยกหุบเขาที่เต็มไปด้วยดินสีเหลือง
เดินลงไปตามขอบรอยแยก ด้านข้างเป็นเส้นทางบนภูเขาที่ลาดชันอันตรายจนทุกคนหวาดกลัว
จากนั้นก็ไปถึงหน้าประตูสำนักมารกำเนิดอย่างรวดเร็ว ศิษย์สองคนที่เฝ้าประตูเข้ามาต้อนรับและช่วยเหลือทันที
ลู่เซิ่งให้ศิษย์น้องสองคนขนถ่ายสิ่งของลงรถ แล้วย้ายเข้าไปในโกดังของสำนัก โดยให้สัญญาว่าจะให้พวกเขามาขอคำชี้แนะจากตนได้สักเล็กน้อย สามารถทำให้พวกเขาลดทางอ้อมได้มากมาย ทั้งสองก็ยินดี ขยันขันแข็งกว่าเดิม
ตัวลู่เซิ่งพานิ่งซานกับสวีชุยเข้าสำนักมารกำเนิด
สุดท้ายสำนักมารกำเนิดก็มีคนน้อยไปอยู่ดี หนำซ้ำคนที่เขาใช้ได้จริงๆ กลับไม่มีเลย
ศิษย์ที่รับสมัครเข้ามาใหม่ทุกคนต้องใช้เวลาดูนิสัย เทียบกันแล้วการทำให้สวีชุยกับนิ่งซานที่ภักดีกับตนอยู่แล้วเลื่อนระดับก่อนย่อมดีกว่า การยกระดับพลังของพวกเขาสามารถจัดการเรื่องราวมากมายให้ลู่เซิ่งได้เช่นกัน
ระหว่างทางต่อให้พวกศิษย์เห็นว่าสองคนที่ลู่เซิ่งพามาธรรมดาๆ ทั้งยังไม่มีกลิ่นอายของเยื่อดำ แต่ก็ไม่กล้าชะล่าใจ สืบเนื่องจากเป็นคนที่ลู่เซิ่งพามาเอง ทุกคนจึงทักทายคนทั้งสอง
ทางลู่เซิ่งพาคนทั้งสองมาถึงใกล้ๆ ถ้ำที่ตนเองใช้ฝึกฝนวิชาลับเป็นประจำ
หยุดลงในสถานที่ที่ปราณมารไม่ได้เข้มข้นรุนแรงมาก
ก่อนหน้านี้ข่ายกระเรียนหยินเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ตอนนี้เขาสามารถยกระดับข่ายกระเรียนหยินในตัวพวกเขาสองคนได้พอดี และเป็นเพราะว่าเวลานี้เขาสามารถปล่อยปราณมารกำเนิดอย่างสุดกำลังเป็นเวลาสามวันสามคืนโดยไม่หมด จึงเปลี่ยนปราณมารกำเนิดเป็นปราณขวดสมบัติเพื่อยกระดับพลังของทั้งสองคนได้
ไม่นานก็เจอที่ลับที่ปราณมารเบาบาง ทั้งอยู่ไกลจากที่ที่คนในสำนักมารกำเนิดรวมตัวมาก
ลู่เซิ่งขุดถ้ำบนผนัง พานิ่งซานกับสวีชุยเดินเข้าไป
วิธีการเพิ่มระดับข่ายกระเรียนหยินง่ายดายมาก เพียงแค่ถ่ายเทปราณขวดสมบัติเข้าไปก็ใช้ได้
ปราณขวดสมบัติที่แปดเปื้อนปราณมารเย็นเยียบกว่าเดิมทั้งยังมีพิษหลายส่วน ทว่าก็ขุดค้นศักยภาพร่างกายได้ดีขึ้นเช่นกัน
หลังแสดงความสามารถ ปราณภายในของนิ่งซานก็บรรลุจุดสูงสุดของระดับจิตปลอดโปร่ง ส่วนสวีชุยเลือกปล่อยวางทุกสิ่งให้ปราณขวดสมบัติในร่างปรับปรุงโดยสมบูรณ์ ไม่มีความคิดต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น
สวีชุยหลังปรับเปลี่ยนทำให้ลู่เซิ่งกับนิ่งซานแตกตื่น
“ตอนนี้ข้ารู้สึกผ่อนคลายยิ่งขอรับใต้เท้า” สวีชุยโบกแขนกำยำที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีแดงก่ำ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มผ่อนคลาย มือของเขากลายเป็นกรงเล็บเหมือนกับลู่เซิ่ง หนามแหลมมากมายงอกออกมาจากไหล่
“ขอแค่ข้ายินยอม พลังนี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของแขนข้าได้ถึงขีดจำกัดสูงสุดได้ทุกเวลาทุกสถานที่”
ลู่เซิ่งมองแขนซ้ายที่กลายพันธุ์ไปของเขาเหมือนมีความคิดบางอย่าง ทำไมนิ่งซานไม่มีการเปลี่ยนแปลงอลังการเช่นนี้ แต่สวีชุยกลับมี
ทำไมการกลายพันธุ์ของคนทั้งสองจึงแตกต่างกัน เป็นพลังที่มาจากเขาเหมือนกัน ควรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายกันถึงจะถูก
“เจ้าโจมตีใส่มือข้าสุดกำลัง ให้ข้าเห็นหน่อยว่าตอนนี้เจ้าอยู่ระดับไหนแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าว
“ขอรับ”
สวีชุยพยักหน้าอย่างเคารพ
ก้มหน้าลง แล้วชักดาบออกมา
เคร้ง
พริบตานั้นประกายสีเงินสายหนึ่งสาดแวบเหมือนอัสนีบาต ก่อนจะแทงใส่กลางฝ่ามือขวาของลู่เซิ่งอย่างแม่นยำดั่งจับวาง
ไม่เกิดเสียงกระแทก เนื่องจากลู่เซิ่งใช้มือจับปลายกระบี่เอาไว้ ทว่าพละกำลังอันเหี้ยมหาญก็ส่งถ่ายเข้าไปในร่างของลู่เซิ่งอย่างรุนแรง แล้วถูกพลังที่แข็งแกร่งกว่าสลายทิ้งไป
“ไม่เลว” ลู่เซิ่งพอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาก แม้พลังของสวีชุยจะยังคงเป็นคนธรรมดาในสายตาของเขา แต่เมื่อประกอบกับพลังของไพ่ตายที่ซ่อนมาโดยตลอด ก็สามารถเดินทางอยู่ด้านนอกได้โดยไร้ปัญหาแล้ว
พละกำลังแบบนี้ไม่สามารถคุกคามระดับพันธนาการในขอบเขตกลางถึงสูงได้ แต่หากระเบิดพลังโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ระดับทวิลักษณ์ลงไปไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของสวีชุย เป็นเพราะสิ่งที่เขาใช้คือพลังของลู่เซิ่ง ถึงตัวกระบี่จะไม่ได้น่ากลัว แต่ปราณขวดสมบัติของลู่เซิ่งที่พกพาอยู่ต่างหากที่น่ากลัว ผลพิเศษของเข็มกระตุ้นไร้เทียมทาน บวกกับคุณสมบัติการแปดเปื้อนอันแสนพิสดาร นี่จึงทำให้การโจมตีใส่จุดเดียวของสวีชุยน่ากลัวยิ่งกว่ายอดฝีมือประเภทโจมตีครั้งเดียวถึงตายเสียอีก
เทียบกันแล้ว นิ่งซานอ่อนแอกว่ามาก เพียงแค่พลังฝึกปรือของวิชากำลังภายในยกระดับขึ้น เพราะปนเปื้อนปราณมารของลู่เซิ่ง ได้คุณสมบัติของวิชาพิษเล็กน้อย และอานุภาพเพิ่มขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น
นี่เป็นเพราะข่ายกระเรียนหยินไม่มีขีดจำกัด สามารถสั่งสมปราณภายในได้เรื่อยๆ พลังฝึกปรือของนิ่งซานบรรลุถึงคอขวดในตอนนี้ เดิมควรจะทำลายได้แล้ว
‘หมายความว่าการถ่ายทอดวิชาของเราทำให้สวีชุยได้ประโยชน์ไปมากกว่าสวีชุย’ ลู่เซิ่งเหมือนนึกอะไรได้
…
ห่างออกไปพันลี้
ถ้ำหมื่นโพรง
ถ้ำสีขาวอมเทาที่รกร้างเหมือนรังผึ้ง ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบอยู่ในส่วนลึกของเขาหมื่นคีรีใกล้เมืองจตุบาท
ถ้ำใต้ดินทั้งหมดเจ็ดสิบสองแห่งเชื่อมต่อกับผาเจ็ดดาวอันเป็นอดีตหน่วยหลักของถ้ำหมื่นโพรง
แกว๊กๆๆ…
อีกาสีขาวฝูงหนึ่งบินผ่านด้านข้าง พากันหยุดลงบนหมู่แมกไม้ที่อยู่ไม่ไกล พวกมันใช้ดวงตาสีเลือดจ้องจับที่ด้านหน้าถ้ำ
คนชุดดำคนหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เป็นเงาคนสูงใหญ่ที่คลุมร่างด้วยเสื้อคลุมสีดำ
“รกร้างถึงขนาดนี้แล้วหรือนี่…” คนชุดดำส่งเสียงถอนใจเบาๆ คล้ายถอนใจให้แก่ความเจิดจรัสในอดีตของที่นี่
ถ้ำหมื่นโพรงเมื่อพันปีก่อนเป็นสุดยอดสำนักในระดับสามขั้นบนของร้อยเส้นสายที่เจริญรุ่งเรือง ทว่าปัจจุบัน…ประมุขพรรคคนใหม่ของถ้ำหมื่นโพรง พาศิษย์ทั้งหมดย้ายออกจากที่นี่ ละทิ้งหน่วยหลักเก่าแก่ที่บรรพบุรุษมอบให้ไปแล้ว
คนชุดดำยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ก้าวเท้าออกไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง
ซู่…
เขากลายเป็นควันดำในทันที แล้วพุ่งเข้าไปในถ้ำถ้ำหนึ่งเหมือนกับเส้นเชือกลอยได้
ควันดำลอยเข้าไปพลางลดเลี้ยวมุดไปตามถ้ำ มันทะลุบึงน้ำสีดำสนิทผืนหนึ่ง แล้วผ่านป่าเห็ดที่ส่องแสงสีฟ้าเรืองรองหลายกลุ่ม สุดท้ายก็โฉบเข้าไปในตำหนักศิลาที่ทรุดโทรมและสลักตัวอักษรโบราณเต็มไปหมดแห่งหนึ่ง
ควันดำพุ่งเข้าหาผนังหินด้านหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในตำหนักศิลา ไม่นานก็มุดเข้าไปในรอยแยกที่เป็นลวดลายผืนใหญ่บนผนังหิน
ด้านหลังผนังหินเป็นตำหนักกว้างใหญ่อีกแห่งหนึ่ง มันเป็นทรงสามเหลี่ยม เต็มไปด้วยห้องที่ไม่เป็นระเบียบมีแต่รอยด่างสีเขียว
สถานที่แห่งนี้ไม่เห็นแม้แต่ทางเข้า นอกจากรอยแตกที่ใช้เข้ามาเหล่านั้น ที่เหลืออยู่ก็ไม่มีจุดใดที่ใช้เข้ามาในตำหนักใหญ่แห่งนี้ได้อีก
รูปสลักหินสีขาวจำนวนมากตั้งอยู่ในตำหนักใหญ่ พวกมันทุกตัวเป็นบูรพาจารย์ผู้โด่งดังและแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของถ้ำหมื่นโพรง
สองตาของพวกมันเป็นประกายสีขาวน้อยๆ คล้ายกับกำลังก่อให้เกิดผลอะไรบางอย่างอยู่
รูปสลักหินสีขาวจำนวนมากจัดเรียงเป็นสองแถว กลายเป็นเส้นทางที่มุ่งไปยังส่วนลึกของตำหนักใหญ่พอดี
ควันดำตกลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรวมตัวกันเป็นคนชุดดำเมื่อก่อนหน้านี้
เขาเงยหน้ามองไปที่สุดทางเดิน มีหอกยาวเล่มหนึ่งปักอยู่บนพื้นตรงนั้น หอกยาวสีดำที่ธรรมดาเหลือแสน แต่ก็เก่าแก่เหลือประมาณ
“ผ่านมาตั้งหลายปี ยังมีผลอยู่อีก…” คนชุดดำชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เดินเข้าหาหอกยาว
……………………………………….