บทที่ 258 ฉากหลังอันดำมืด (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 258 ฉากหลังอันดำมืด (4)

ตูม! ตูม! ตูมๆ ๆ ๆ!

หลังจากเขาเดินขึ้นไปบนเส้นทาง เมื่อเขาเดินผ่านรูปสลักที่อยู่ด้านข้างทั้งสองแถว ประกายสีขาวในดวงตาของพวกมันพลันระเบิดออกมาแล้วดับลง

คนชุดดำเดินไปด้านหน้าทีละก้าว ในตอนที่เดินจนสุดทาง ดวงตารูปสลักสีขาวทุกตัวก็ดับแสงลง

จนกระทั่งเดินถึงด้านหน้าหอกยาว คนชุดดำค่อยหยุดฝีเท้าลง

ครึ่กๆ…

ตำหนักใหญ่ค่อยๆ สั่นสะเทือน

“เย่อูหลู่ ราชาทรายเหลืองถูกขังอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้วนะ” คนชุดดำพึมพำเบาๆ “ครั้งนี้ถ้าไม่ได้มาตรวจสอบโดยบังเอิญ คงไม่พบว่าเขาถูกผนึกไว้ที่นี่…ที่นี่คือตรามารหรือ หอกนี้เป็นแค่รูปแบบ เป็นแค่การวมตัวของผืนดินผืนนี้” คนชุดดำพึมพำ “ตื่นเถอะ…ปลดปล่อยเถอะ…ทำลายเถอะ…สังหารทุกสิ่งที่เจ้าเห็นตรงหน้า”

เขาพลันยื่นมือออกไปกำด้ามหอกยาว

ซู่

ควันดำมากมายลอยขึ้นจากมือของเขา เหมือนกับเลือดเนื้อกำลังถูกหอกยาวกัดกร่อนอย่างรุนแรง ทว่าเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ยังคงจับด้ามหอกไว้มั่น แล้วยกขึ้นด้านบนในทันที

พรึบ

พอหอกยาวถูกถอนออก ก็ระเบิดในมือคนชุดดำ ก่อนจะจางลงแล้วสลายหายไปทันที

ครึ่กๆ…

การสั่นสะเทือนของพื้นดินรุนแรงกว่าเดิม

ทว่าไม่ทันไรก็สงบลง

‘ปลดแกนตรามารออกไปแล้ว ต่อจากนี้คือการปลดผนึกที่เหลืออยู่ทีละชั้น พวกนี้แค่เย่อูหลู่ก็น่าจะดิ้นหลุดเองได้’ เขาไตร่ตรองพลางคำนวณเวลา

“กระจาย” เขาชี้นิ้วไปที่พื้น ควันสีดำสายหนึ่งบิดตัวพร้อมกับมุดเข้าพื้นเหมือนงู ก่อนจะหายไป

‘ช่วยไปแบบนี้…คงสามารถตื่นโดยสมบูรณ์ในวันแรกของเดือนในอีกสามเดือนให้หลัง ทันสถานการณ์ใหญ่ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกันพอดี…’ คนชุดดำพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็หมุนตัว ร่างกลายเป็นควันดำในฉับพลัน แล้วสลายไป

สำนักมารกำเนิด

ควันดำนับไม่ถ้วนค่อยๆ รวมตัวกัน แล้วประกอบกันเป็นเงาคนสูงใหญ่ร่างสีดำสนิท อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของสำนักมารกำเนิดด้วยความเร็วสูง

คนผู้นี้คลุมเสื้อคลุมสีดำสนิท เสื้อคลุมผืนหนาปกคลุมใบหน้าและแขนบนร่างจนมองไม่เห็นผิวแม้แต่น้อย

เงยหน้ามองประตูถ้ำของสำนักมารกำเนิดเบื้องหน้าเล็กน้อย คนชุดดำสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในถ้ำ

สิ่งที่น่าประหลาดก็คือศิษย์สองคนที่เฝ้าประตู กำลังพิงปากถ้ำคุยกันอยู่ ทว่ากลับมองดูคนชุดดำเดินผ่านตรงหน้าพวกเขาไปเฉยๆ ราวกับมองไม่เห็น พวกเขายังคงคุยกันอยู่ว่าศิษย์น้องที่เพิ่งเข้ามาในสำนักคนไหนงดงาม

คนชุดดำผ่านเข้าไป ตัดผ่านถ้ำส่วนหน้า ไม่ทันไรก็เห็นลานที่กว้างใหญ่บริเวณส่วนในของสำนักมารกำเนิด

อยู่ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้ามองไปทางซ้ายมือ สายตาจับอยู่บนเสาศิลาที่มีสัญลักษณ์สีแดงติดอยู่ด้านหน้าผาถ้ำต้นนั้น

‘เป่ยนี่ราชาเมฆดำ…อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย…’ คนชุดดำก้าวเท้าไปยังเสาศิลา

ทั้งๆ ที่เขายังอยู่ห่างจากเสาหลายร้อยหมี่ แต่แค่ก้าวเท้าก้าวเดียว ร่างก็กลายเป็นควันดำ ตอนที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็ไปยืนอยู่หน้าเสาศิลาแล้ว

ลิ่วซานจื่อกำลังยืนสอนและบอกกฎให้กับพวกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่อยู่ด้านหน้าเสาศิลา ดวงตาหลายสิบคู่กลับไม่เห็นคนชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาแม้แต่น้อย

“สองในมหาราชามารทั้งสี่ของเผ่ามารจันทราที่โหดเหี้ยมและน่ากลัวในตำนานถูกผนึกไว้ในต้าซ่งแห่งนี้…ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่า…” คนชุดดำยื่นมือไปลูบเสาศิลาอย่างแผ่วเบาพลางกระซิบพึมพำ

“แต่ว่าแบบนี้ก็พอดีเลย” ร่างของคนชุดดำสลายไปทีละนิดพร้อมกับกลายเป็นเส้นสายควันนับไม่ถ้วนซึมลงไปในพื้นข้างใต้เสาศิลา

เขาทะลุชั้นดินหลายร้อยหมี่อันหนากว้าง ไม่นานก็เข้าไปในห้องศิลารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ห้องหนึ่ง

พื้นห้องศิลาปูอิฐลวดลายเมฆสีดำเต็มไปหมด หม้อใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลางห้องโดยใช้โลหะแปดขาค้ำยันเอาไว้ บนผนังรอบๆ มีควันสีดำพ่นใส่หม้อใหญ่ตลอดเวลา

คนชุดดำเดินเข้าไปใกล้หม้อใบใหญ่ แล้วเห็นเมฆสีดำผืนหนึ่งพลิกตัวอยู่ในหม้ออย่างที่คิด

“เป่ยนี่…ราชามารแห่งมารจันทราที่โหดเหี้ยมน่ากลัวคล้ายกับราชาทรายเหลือง ค่อยฟื้นขึ้นมาในวันแรกของเดือนในอีกสามเดือนให้หลังเหมือนกันก็แล้วกัน…”

คนชุดดำค่อยๆ ยื่นมือออกไป เผยให้เห็นฝามือผอมแห้งที่ซีดขาวชนิดไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย

แสงสีแดงเข้มข้นมากมายสาดออกมาจากบนมือของเขา แล้วส่องใส่ด้านในหม้อใบใหญ่ด้านล่าง

“จงตื่นขึ้นเถอะ…ราชาเมฆดำที่หลับไหล…จงปลดปล่อยความดิบเถื่อนของเจ้า จงทำลายทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า…ให้ตัวตนที่รู้จักชื่อของเจ้าตัวสั่นหวาดกลัวและหวาดหวั่นเพราะเจ้า”

ท่ามกลางเสียงพึมพำแผ่วเบาด้วยภาษาปริศนา เมฆดำในหม้อพลิกตัวอย่างรุนแรง สัญลักษณ์สีแดงเลือดตัวหนึ่งกะพริบขึ้นมาตรงกลาง

ตำหนักวิชาลับ

ด้านในห้องผนึก หินยักษ์สีดำใต้ดาบยาวเริ่มสั่นไหว

‘มีคนแตะต้องผนึกของราชาเมฆดำ! อยากตายหรือไง?! ใครกล้าปล่อยเจ้าวิปลาสนั่นออกมากัน!?’ จิตของมารเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงใต้หินยักษ์

‘ปลดผนึกใครไม่ปลด ดันไปปลดผนึกราชาเมฆดำ! สัตว์ประหลาดนั้นเป็นตัววิปริตน่ากลัวที่ไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู!’ มารร้อนใจอยู่บ้าง มันรับรู้ได้ถึงการคุกคาม

ถ้าหากราชาเมฆดำปลดผนึกได้ มันจะไม่ปรานีกับตนเพราะเป็นมารที่ถูกผนึกไว้เหมือนกัน สัตว์ประหลาดตนนั้นเดิมทีก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่ามารจันทราซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์วิปลาสเมื่อครั้งกระโน้นอยู่แล้ว และผู้นำจากแต่ละเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ก็ทราบถึงพฤติกรรมของมารจันทราเป็นอย่างดี สติปัญญาต่ำต้อย บ้าคลั่งกระหายเลือด แต่ก็มีพลังและกายเนื้อที่น่ากลัว

‘ถ้าหากมันพบว่าเราถูกผนึกไว้ที่นี่ จะต้องถูกมันกินทันทีแน่! มารตนนั้น…ต่อให้เป็นช่วงที่สมบูรณ์ที่สุดเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันอยู่ดี…ต้องคิดหาวิธี…คิดหาวิธี…’ มารกระวนกระวาย

ลู่เซิ่งส่งสวีชุยกับนิ่งซานไปแล้ว กำลังยืนมองอาจารย์ลิ่วซานจื่อสอนศิษย์น้องที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่อยู่ในลานกว้าง

ตอนนี้เขาเป็นผู้นำของสำนักมารกำเนิด รูปลักษณ์ภายนอกไม่ขี้เหร่ รูปร่างสูงชะลูด ใบหน้าเรียบเนียนและเรียบร้อย บุคลิกใจเย็นและน่าเข้าหา ดังนั้นชื่อเสียงในหมู่ศิษย์น้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่จึงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อมาหาเขาเพื่อขอคำชี้แนะในการฝึกฝน ลู่เซิ่งจะใช้ภาษาที่กระชับที่สุดชี้ปัญหาของอีกฝ่ายในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเพื่อประหยัดเวลา

นี่ทำให้พวกศิษย์ในสำนักยำเกรงเขากว่าเดิม

เวลานี้ลู่เซิ่งยืนชมอยู่ด้านข้าง ทุกคนไม่เหลียวมองไปทางอื่น รวบรวมสมาธิตั้งใจฟังลิ่วซานจื่อบอกกฏของสำนัก

ครั้งนี้ลู่เซิ่งมาเพื่อจะถามลิ่วซานจื่อเกี่ยวกับเรื่องสิบวิชาเก้าจิต

ปัจจุบันเขาสำเร็จร่างมารสดับสงัด มีปราณมารกำเนิดที่น่ากลัวแทบจะไร้สิ้นสุด ขอแค่มีอาหาร ขอแค่ธารหมอกพิษไม่แห้งเหือด เขาก็มีปราณมารกำเนิดไร้สิ้นสุดให้ถลุง นี่ทำให้เขามีความมั่นใจในการฝึกร่างมารร่างอื่นจนสำเร็จ

เปลี่ยนปราณมารกำเนิดไร้สิ้นสุดเป็นปราณขวดสมบัติ แล้วใช้ปราณขวดสมบัติเป็นพลังอาวรณ์โดยตรงในการยกระดับพลังฝึกปรือวิชาลับอย่างบ้าคลั่ง

นี่เป็นเป้าหมายของเขาในตอนนี้

ลิ่วซานจื่อบรรยายกฎไปพลาง มองลู่เซิ่งที่รออยู่ด้านข้างอย่างปลาบปลื้มไปพลาง

เท่าที่เขาเคยเห็นและพบเจอ ลู่เซิ่งในฐานะผู้นำเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของสำนักมารกำเนิดเคยมีมาอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครอื่นอีก

เขารู้สึกว่าสำนักมารกำเนิดในตอนนี้ดูเหมือนอ่อนแอ ทว่าเป็นเพราะการดำรงอยู่ของลู่เซิ่ง สำนักมารกำเนิดจึงเหมือนสัตว์ประหลาดที่คอยหมอบซุ่มสั่งสมพลังไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งควบคุมแม้แต่พลังของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป จนกระทั่งวันที่ศิลาทลายฟ้าสะเทือน เบิกเมฆเห็นตะวัน ก็จะเป็นเวลาแห่งการผงาดอย่างแท้จริงของสำนักมารกำเนิด

เขานึกภาพอันงดงามที่ลู่เซิ่งสำเร็จวิชามาร และกวาดทำลายล้างทุกอย่างออกไป

นั่นเป็นสิ่งที่เขาคาดหวังที่สุดในวันนี้ ด้วยพรสวรรค์ของลู่เซิ่ง ขอแค่สิบปี…หรือนานกว่านี้หน่อย ยี่สิบปี ตอนนั้นเขาจะถอนตัวหลังความสำเร็จ และสำนักมารกำเนิดก็ใช้ช่วงเวลานี้สั่งสมขุมกำลังได้พอดี

พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ทุกๆ ครั้งที่เขามองลู่เซิ่งก็จะอารมณ์ดีขึ้นมาก เนื่องจากนี่เป็นความหวังของสำนักมารกำเนิด…

ลู่เซิ่งยืนเงียบอยู่ด้านข้าง มองศิษย์ใหม่มากมายที่คึกคักฮึกเหิม รู้สึกดีใจเช่นกัน บัดนี้เขาหลอมรวมเข้ากับที่นี่อย่างแท้จริง ไม่ได้อ่านหนังสืออย่างเฉยชา แล้วคิดจะจากไปหลังเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลขุนนางเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ศิษย์ส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่เป็นคนจากตระกูลขุนนางที่ทรุดโทรม ซึ่งสภาพไม่ต่างจากคนธรรมดา พวกเขาบางคนก็ถูกตระกูลขุนนางดูแคลน บางคนก็มีสายเลือดเบาบางเพราะเป็นสายข้างมาหลายรุ่น ยังมีบางคนถึงขั้นพบว่าตัวเองมีสายเลือด และพบว่าบรรพบุรุษของตนเองคือตระกูลขุนนางในตอนเกิดปัญหา จึงมาเข้าสำนัก

คนเหล่านี้ไม่มีความแตกต่างอะไรกับคนธรรมดาในสายตาของตระกูลขุนนาง สำหรับพวกเขา สายเลือดที่ต่ำต้อยเกินไปมีความหมายเหมือนกับไม่มีสายเลือด

เขาเตรียมจะให้พรรควาฬแดงดูดซับพลัง แล้วเข้าร่วมสำนักมารกำเนิด ตามทฤษฎีแล้ว ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็ฝึกฝนระบบวิชาลับของสำนักมารกำเนิดได้ ขอแค่ปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อย และลดปริมาณการฝึกฝนให้เบาลงก็พอ

ขอแค่เขาเชื่อมวรยุทธ์ มรรคายุทธ์ กับวิชาลับเข้าด้วยกันได้ ก็จะสามารถสร้างระบบอันยิ่งใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ และระบบที่ชุบเลี้ยงวีรบุรุษจำนวนมากอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายได้

ส่วนเรื่องสายเลือด ถึงอย่างไรคนที่ถ่ายทอดวรยุทธ์ให้ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว ถ้าเขาบอกกับคนอื่นๆ ว่านั่นเป็นสิ่งที่เกิดจากสายเลือดเพื่อปกปิดก็น่าจะไม่มีใครสงสัย

ซู่…

ทันใดนั้นเขาคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเบาๆ เหมือนกับเสียงลมพัด และเหมือนน้ำรั่วซึมจากของบางอย่าง

ลู่เซิ่งเหลียวซ้ายแลขวา ไม่พบร่องรอยน่าสงสัยใด และไม่รู้ว่าเสียงดังมาจากไหน เพียงแค่เขารู้สึกได้ว่าในความมืดรอบๆ เหมือนมีอะไรบางอย่าง

ควันสีดำนับไม่ถ้วนรวมตัวด้านบนเสาศิลาพลางส่งเสียงซู่ๆ ที่หูคนไม่มีทางได้ยิน ก่อนจะประกอบกันเป็นร่างสูงใหญ่ของคนชุดดำ

เขามองศิษย์สำนักมารกำเนิดที่กำลังฟังคำชี้แนะรอบๆ พร้อมกับก้าวเดินไปยังทางออกถ้ำ

อยู่ๆ คนชุดดำก็หยุดฝีเท้า แล้วหันไปมองคนของสำนักมารกำเนิด หยุดสายตาอยู่บนร่างของลู่เซิ่ง

‘น่าสนใจ…สัมผัสถึงตัวเราได้รางๆ หรือ สัญชาตญาณเลิศล้ำแบบนี้…หายากจริงๆ…’ แต่ก็เพียงเท่านี้

เขาไม่ได้เพ่งความสนใจกับมดปลวกแบบนี้มานานแล้ว

หลังจากสงครามครั้งก่อน เขาก็สูญเสียความสนใจในตัวมนุษย์โดยสิ้นเชิง มีแต่ตัวตนในระดับเดียวกันถึงจะได้รับความสนใจจากเขา อย่างเช่นราชาเมฆดำและราชาทรายเหลือง

ละสายตากลับมา อีกฝ่ายเป็นคนที่น่าสนใจนิดหน่อย น่าเสียดาย ไม่ว่าจะน่าสนใจอย่างไร วันแรกของเดือนในอีกสามเดือนให้หลัง ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่จะถูกทำลายสิ้น ภัยพิบัติมารจะมาถึงแล้ว

สุดท้ายประตูเลือดเนื้อจะถูกก่อตั้งขึ้น

ลู่เซิ่งละสายตาไป เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ว่ามีแรงกดดันที่หนักอึ้งซึ่งอธิบายไม่ได้สายหนึ่งปกคลุมร่างของเขาอย่างกะทันหัน จนแน่นหน้าอกหายใจลำบากและเลือดลมพลุ่งพล่าน ปฏิกิริยาแบบนี้ไม่เกิดบนตัวเขามานานขนาดไหนแล้วนะ

‘ระดับกายเนื้อของเราในวันนี้บรรลุถึงขั้นน่าสะพรึงกลัวที่คนจากตระกูลขุนนางยากจะจินตนาการแล้ว ทำไมถึงเกิดปัญหาพวกนี้ได้ โลกภายนอกสมควรไม่ส่งผลกระทบต่อเราถึงจะถูก บางทีอาจเป็นเพราะการหลั่งฮอร์โมนด้านในของเราเกิดปัญหา อีกเดี๋ยวต้องปรับลมหายใจสักหน่อย’ เขาเกิดความสงสัยในใจ

……………………………………….