บทที่ 259 งานเลี้ยง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 259 งานเลี้ยง (1)

ความรู้สึกด้านลบนี้หายไปอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งตรวจสอบรอบตัว แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ หลังมาถึงระดับของเขา การควบคุมกายเนื้อของตัวเองได้ไปถึงขั้นที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการออกอีกแล้ว วิชากำลังภายนอกและวิชาแข็งกร้าวด้านมรรคายุทธ์เมื่อก่อนหน้านี้ ได้เสริมความแข็งแกร่งแก่การควบคุมกลุ่มกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเขา ส่วนระบบวิชาลับของสำนักมารกำเนิดในวันนี้ก็ได้เสริมความแข็งแกร่งให้แก่การควบคุมอย่างละเอียดในกลุ่มกล้ามเนื้อมัดเล็กของเขา

ดังนั้นลู่เซิ่งจึงควบคุมกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในทุกส่วนของตัวเองได้เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก

นี่เป็นสาเหตุที่เขาสงสัยในความรู้สึกประหลาดก่อนหน้า

ดีที่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ลู่เซิ่งก็ได้สติกลับมา ตอนนี้ลิ่วซานจื่อสอนเสร็จแล้ว กำลังให้เหอเซียงจื่อกับศิษย์อีกคนที่คัดเลือกไว้รับช่วงต่อ เขาหมุนตัวมากระแอมสองคำพร้อมกับเดินมาทางนี้

“เสี่ยวเซิ่ง มีธุระหรือ หลายวันมานี้ไม่ได้คุยกับเจ้าดีๆ เลย วันนี้การฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง” ลิ่วซานจื่อถามด้วยรอยยิ้ม”

“ทุกอย่างยังดีขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ท่านอาจารย์ ครั้งนี้ที่ข้ามาเพราะอยากถามว่าสำนักมารกำเนิดของพวกเราเคยมีวิชาลับมารกำเนิดสิบวิชาเก้าจิตทั้งหมดสิบเก้าวิชาถูกต้องหรือไม่”

ลิ่วซานจื่อพยักหน้า “ถูกต้อง ครั้งกระโน้นตอนยังรุ่งเรือง สิบร่างมารกับเก้าจิตมารคือระบบที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งสำนักมารกำเนิด อยู่ๆ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม ตอนนี้เหลือแค่สายสดับสงัดของพวกเราแล้ว”

“ข้าเห็นบันทึกในหอเก็บหนังสือพูดถึง จึงเกิดความสนใจต่อสิบร่างมารนี้ยิ่ง” ลู่เซิ่งยิ้มตอบ

“ถ้าเราฝึกฝนวิชาสดับสงัดให้ดี ก็จะได้รับร่างมารสดับสงัดในนี้เช่นกัน อย่าได้หวังสูงเกินตัว ตั้งใจฝึกฝนก็พอ” ลิ่วซานจื่อเตือน

“ศิษย์ย่อมทราบ เพียงแค่สงสัยเฉยๆ ท่านอาจารย์ ในสิบร่างมารนี้ ต่อให้พวกเราสำเร็จร่างมารสดับสงัด ก็จัดอยู่ในอันดับท้ายๆ อยู่ดี ไม่รู้ว่าร่างมารที่อยู่ในอันดับแรกๆ ที่เหลือมีความร้ายกาจถึงขนาดไหน” ลู่เซิ่งแสร้งถาม

“สำนักมารกำเนิดของเรามีการฝึกฝนร่างมารที่เน้นไปยังกายเนื้อแต่ละด้านทั้งหมดสิบชนิด ร่างมารสดับสงัดในนี้เน้นไปที่การปรับตัวในการต่อสู้ มีความสามารถในการเอาตัวรอดยอดเยี่ยมที่สุด ร่างมารที่เหลือต่างมีความสามารถของตัวเอง อย่างร่างมารทิวาอาญา เน้นไปที่การป้องกัน หลังฝึกฝนสำเร็จ พลังชีวิตจะแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ขอแค่ยังมีปราณมาร ก็จะพัฒนาด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวเหนือคนธรรมดาได้

“แล้วร่างมารอัคคีแค้นล่ะขอรับ?” ลู่เซิ่งถาม ‘เล่นๆ’ ดู

“ร่างมารอัคคีแค้นเหรอ…เป็นร่างมารที่พลังรุนแรงมาก สายนี้เน้นไปที่การเผาไหม้ หรือก็คืออัคคีพิษ พวกเขาแบ่งอัคคีพิษเป็นหลายช่วง หากฝึกฝนร่างนี้เป็นหลัก การโจมตีระยะไกลจะร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าถ้าโดนประชิดตัวเมื่อไหร่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งนัก ดังนั้นหลังจากบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัสในสงครามเมื่อครั้งอดีต ภายหลังร่างนี้ก็ทรุดโทรมเสื่อมถอยไป” ลิ่วซานจื่อกล่าวพลางนึกทบทวน

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ลู่เซิ่งกระจ่างขึ้นบ้างแล้ว “ไหนๆ ก็พูดถึงแล้ว อาจารย์เล่าลักษณะพิเศษโดยพื้นฐานของร่างมารที่เหลือให้ข้าฟังเป็นอย่างไร”

ลิ่วซานจื่อกำลังคิดว่าไหนๆ ก็พูดแล้ว อย่างนั้นก็ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องก็แล้วกัน จึงบรรยายจุดเด่นจุดด้อยของร่างมารทั้งสิบให้ลู่เซิ่งฟัง

ที่แท้สิบร่างมารของสำนักมารกำเนิดมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง

อย่างเช่นร่างมารสดับสงัดแข็งแกร่งในด้านการรักษาพลังต่อสู้และการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม แต่ว่าการรวมพลังต่อสู้ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ต่ำมาก หรืออย่างร่างมารอัคคีแค้นก็จะใช้เฉพาะตอนที่โจมตีระยะไกลเท่านั้น จะลำบากสุดขีดเมื่อถูกเข้าประชิดตัว ยังมีร่างมารรวมบาปที่มีความเร็วจนน่าทึ่ง ทั้งยังซ่อนกลิ่นอายได้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เป็นร่างมารรูปแบบนักฆ่าที่ยอดเยี่ยมที่สุด

หลังจากบรรยายข้อมูลเสร็จ ลู่เซิ่งก็เกิดความเข้าใจคร่าวๆ แล้ว

แต่ร่างมารก็ไม่ใช่ว่าจะแตกต่างกันไปเสียหมด

ร่างมารอีกสี่ร่างที่เหลือล้วนเป็นการฝึกฝนความแข็งแกร่งของกายเนื้อ เพียงแต่ว่าวิธีการและแนวคิดแตกต่างกันเท่านั้น

“จริงสิ เจ้าเคยไปบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์มาแล้วครั้งหนึ่ง น่าจะรู้แล้วว่าไปอย่างไร ถ้าข้าไม่อยู่ เจ้าช่วยไปเฝ้าที อย่าให้คนอยู่ว่างเข้าไปมั่วๆ เจ้าสามารถศึกษาอาวุธศักดิ์สิทธิ์และรับรู้ถึงพลังด้านในดูได้ แต่อย่าได้สัมผัสอย่างเด็ดขาด สิ่งมีชีวิตไม่อาจสัมผัสพลังระดับปฐมได้ หากสัมผัสรังสีที่รุนแรงสุดขีดมากๆ เข้าจะทำให้ร่างกายของเจ้าเกิดผลกระทบที่ไม่ดี” ลิ่วซานจื่อเตือนเรื่องนี้ทันที

“บ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์หรือ ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า นี่นับว่าลิ่วซานจื่อปลดสิทธิ์ในสถานที่สำคัญของสำนักมารกำเนิดแก่เขาอีกขั้นแล้ว

ลู่เซิ่งที่ได้ข้อมูลไม่น้อยจากลิ่วซานจื่อชี้แนะศิษย์น้องทุกคนเล็กน้อย จากนั้นก็หาเวลากลับไปยังทะเลสาบในส่วนลึกของธารหมอกพิษ

เขาอ้างว่าต้องการฝึกฝนในถ้ำบึงมารที่อยู่ใกล้ส่วนลึก ถึงอย่างไรนอกจากลิ่วซานจื่อแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าใกล้บึงมารที่เขาเลือกได้อีก

และลิ่วซานจื่อก็ยุ่งกับภารกิจในสำนัก ไม่อาจไปหาเขาได้ ดังนั้นจึงปกปิดความลับที่ฝึกฝนในส่วนลึกของทะเลสาบน้อยได้อย่างสบายๆ

ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิในถ้ำ เสียงพึมพำอันชั่วร้ายแผ่ออกมาเองอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายจากทั่วร่าง นั่นเป็นอาณาเขตการป้องกันทางธรรมชาติที่เกิดจากอสรพิษริษยา หรือก็คือสนามพลังจิตอันเหี้ยมหาญที่สามารถทำให้จิตใจสับสนได้

ลู่เซิ่งใช้งูประหลาดในทะเลสาบน้อยในการทดลอง พบว่าสนามพลังจิตนี้มีผลต่องูประหลาดเช่นกัน โดยทำให้พวกมันกลัวเขาเหมือนเห็นศัตรูคู่ฟ้า

นี่ทำให้เขาไม่ต้องกังวลถึงการป้องกันความปลอดภัยรอบๆ ตัวในยามที่ฝึกฝนอีก

‘วิธีการฝึกฝนของร่างมารอัคคีแค้นอยู่ที่นี่หมดแล้ว ของที่จำเป็นต้องใช้ก็เตรียมไว้แล้วเหมือนกัน’ ลู่เซิ่งมองกล่องสีดำหลายใบที่วางอยู่ตรงหน้าพลางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

‘การยกระดับมรรคายุทธ์อย่างเดียวไปถึงขีดจำกัดแล้ว ทั้งยังไม่อาจอาศัยการสั่งสมวรยุทธ์ระดับต่ำๆ เหล่านั้นในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อได้อีก ปัจจุบันมีแต่วิชาลับที่เกิดผลกับเรา หวังว่าร่างมารอัคคีแค้นนี้จะมีประโยชน์กับความแข็งแกร่งของกายเนื้อนะ’

ลู่เซิ่งหลับตา แล้วอ้าปากพ่นลมออกมา

ฟู่ว…

เปลวเพลิงสีดำกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ลุกไหม้บนมือสองข้างของเขา

นี่เป็นอัคคีพิษที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสำนักมารกำเนิด มันเกิดจากการเผาปราณมารที่เปลี่ยนมาจากธารหมอกพิษ ถือเป็นเปลวไฟอันรุนแรงที่มีพิษร้ายแรงและฤทธิ์กัดกร่อน

อัคคีพิษลอยขึ้นบนฝ่ามือของเขาแล้วรวมตัวกันกลางอากาศด้านหน้า กลายเป็นเปลวเพลิงสีดำเข้มข้นขนาดเท่ากำปั้นกลุ่มหนึ่ง

‘อัคคีกำเนิด มหาวิชา อัคคีกางเขน ละเลงลำดับ หลังผ่านสี่ขั้นตอนนี้ ถึงจะเริ่มฝึกฝนร่างมารอัคคีแค้นของจริงได้’ ลู่เซิ่งหยิบกล่องสีดำใบแรกขึ้นมาตามขั้นตอน

‘งั้นก็มาเริ่มที่ขั้นอัคคีกำเนิดก่อน’

เขาเปิดกล่อง หยิบโลหะชิ้นเล็กๆ ทรงสี่เหลี่ยมสีม่วงแกมดำชิ้นหนึ่งออกมาจากด้านใน จากนั้นก็โยนไปในเปลวไฟสีดำที่ลอยอยู่ด้านหน้า

พรึ่บ!

เปลวไฟขยายตัวขึ้นในทันที

“ดีปบลู!” ลู่เซิ่งเปิดเครื่องมือปรับเปลี่ยน

กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนสีน้ำเงินโผล่ขึ้นมาตรงหน้าในทันที เขาเห็นคำว่าวิชาอัคคีกำเนิดค่อยๆ โผล่ขึ้นมาด้านในกรอบใหม่ด้านล่างสุดอย่างรวดเร็ว

[วิชาอัคคีกำเนิด: เบื้องต้น ผลพิเศษ: ควบคุมไฟระดับหนึ่ง]

‘มันนี่แหละ เพราะเราสำเร็จร่างมารสดับสงัด ปราณมารด้านในร่างจึงเกิดอย่างต่อเนื่อง ขั้นแรกก็แค่ต้องรับการเผาไหม้จากเปลวเพลิงหลังเติมเชื้อไฟให้ได้เท่านั้น นี่เป็นเรื่องสบายๆ สำหรับระดับกายเนื้อของเรา ก็เลยกลายเป็นระดับเบื้องต้นไปแล้ว’ ลู่เซิ่งเข้าใจกระจ่าง

‘งั้นก็มาเริ่มเพิ่มระดับโดยตรงกันเถอะ’ เขานึกทบทวนบางส่วนของวิชาอัคคีกำเนิดในร่างมารอัคคีแค้นรอบหนึ่ง เมื่อพบว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรตกหล่นและผิดพลาด ก็ค่อยๆ หลับตาลง

ความคิดกดเบาๆ ลงบนปุ่มปรับเปลี่ยนโดยรวมด้านล่างเครื่องมือปรับเปลี่ยน

ชิ้ง!

เครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นอย่างรุนแรง ตอนแรกพร่ามัวก่อน จากนั้นก็ชัดขึ้นมาในชั่วพริบตา

‘ยกระดับวิชาอัคคีกำเนิดถึงระดับที่หนึ่ง’ ลู่เซิ่งใช้ความคิดกดลงบนปุ่มด้านหลังวิชาอัคคีกำเนิด

ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นในใจเขา

ลู่เซิ่งเพียงรู้สึกว่าการควบคุมอัคคีพิษของตนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งระดับในพริบตา ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้ควบคุมได้ตามใจ อย่างนั้นตอนนี้ก็ควบคุมได้เหมือนแขนขา ไม่ว่าจะเป็นขนาด อานุภาพ หรือลักษณะรูปร่างของอัคคีพิษ ก็สามารถควบคุมได้ดั่งใจนึก

และบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็กลายเป็นสภาพใหม่เช่นกัน

[วิชาอัคคีกำเนิด: ระดับที่หนึ่ง ผลพิเศษ: ควบคุมระดับสอง ต้านทานไฟระดับหนึ่ง]

‘ร่างกายไม่ได้เป็นอะไร แถมยังเสียไปแค่ปราณขวดสมบัติ ใช้ได้ เสียปราณขวดสมบัติไปแค่หนึ่งในสิบส่วนเอง’ ลู่เซิ่งสัมผัสอย่างละเอียด จากนั้นก็ยกระดับต่อไป ความคิดกดลงบนปุ่มกดด้านหลังวิชาอัคคีกำเนิดต่อ

ชิ้ง

กรอบจางลง พริบตาเดียวก็ชัดเจนขึ้นมา

[วิชาอัคคีกำเนิด: ระดับที่สอง ผลพิเศษ: ควบคุมไฟระดับสาม ต้านทานไฟระดับสอง เพิ่มความแข็งแกร่งระดับหนึ่ง]

‘ผลพิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งอีกแล้วแฮะ…’ ลู่เซิ่งชะงัก พอรู้สึกได้ว่าร่างกายไม่ได้รับภาระก็ยกระดับต่อ

ส่วนปราณขวดสมบัติที่เสียไปก็ให้ปราณมารกำเนิดที่เกิดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเปลี่ยนแปลงและชดเชยอย่างรวดเร็ว

ปราณมารกำเนิดเกิดจากการดูดซับปราณมารจำนวนมากในโลกภายนอกเข้ามาเปลี่ยนแปลงอย่างคลุ้มคลั่งในร่างกาย

มารหยินเก้าตัวเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน กล่าวได้ว่าความเร็วของลู่เซิ่งเหนือกว่าร่างมารสดับสงัดในระดับเดียวกันของสำนักมารกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วการเปลี่ยนแปลงหรือด้านอื่นๆ

ดังนั้นความเร็วในการชดเชยปราณมารของเขาจึงแทบจะเท่ากับความเร็วในการใช้พลัง พริบตาเดียวก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม

‘ถ้าเป็นแบบนี้ก็อาจจะเลื่อนจากขั้นแรกของร่างมารอัคคีแค้นได้เร็ว…’ ลู่เซิ่งแน่ใจ

เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย

ผ่านไปหลายวัน ทุกๆ วันลู่เซิ่งจะไปๆ มาๆ ระหว่างถ้ำกับที่พัก เขาสำเร็จวิชาอัคคีกำเนิดโดยบรรลุถึงระดับแปดอันเป็นระดับสูงสุดอย่างรวดเร็ว ส่วนการเสียพลังไปก็แค่ทำให้เขาใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อดูดซับปราณมารมาเปลี่ยนแปลงก็เท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีราคาค่างวดใดๆ

ตรงนี้มีรายละเอียดปลีกย่อยส่วนหนึ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึง เนื่องจากพื้นฐานที่ร่างมารอัคคีแค้นใช้ยังคงเป็นปราณมารกำเนิด ดังนั้นเขาจึงลดขั้นตอนที่สำคัญส่วนใหญ่อย่างอ้อมๆ บวกกับความสามารถปรับเปลี่ยนอันน่ากลัวของเครื่องมือปรับเปลี่ยน วิชาอัคคีกำเนิดที่คนทั่วไปต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะฝึกฝนสำเร็จ เขาใช้เวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ความเร็วในการฝึกฝนน่าทึ่งกว่าเดิม จึงทำให้การยกระดับเร็วถึงขนาดนี้

ต่อจากนั้นก็เป็นขั้นมหาวิชา

มหาวิชาเป็นการฝึกฝนด้านการควบคุมอัคคีพิษอย่างละเอียด

ด้านนี้มีความยากเย็นที่ต้องเจอสูงสุดขีด มีทั้งหมดสี่ระดับ ลู่เซิ่งใช้เวลาทั้งหมดสามวันจึงค่อยสำเร็จวิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์โดยใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน

จากนั้นก็เป็นอัคคีกางเขน

ขั้นนี้ยากกว่าเดิม หลักๆ คือต้องหลอมเปลี่ยนอัคคีพิษสายหนึ่งเข้าสู่ร่างกายเพื่อกักเก็บเอาไว้ จากนั้นก็ทำให้อัคคีพิษสายนี้กลายเป็นอัคคีกำเนิดแกนหลักสำหรับควบคุมอัคคีพิษผ่านการปรับตัวของร่างกาย

เป็นเพราะว่าร่างกายส่วนที่ใช้กักเก็บอัคคีพิษจะเกิดการเน่าตายและแห้งเหือดของเนื้อเยื่อโดยอัตโนมัติจนกลายเป็นตราสัญลักษณ์เหมือนไม้กางเขน เลยตั้งชื่อว่าอัคคีกางเขน

ขั้นนี้เป็นขั้นที่เก็บอัคคีพิษของจริงไว้ในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย และเป็นขั้นที่ยากลำบากที่สุดอย่างแท้จริงของร่างมารอัคคีแค้น

เนื่องจากขั้นนี้เจ็บปวดเหลือแสน

ลู่เซิ่งเลือกวางสัญลักษณ์ไม้กางเขนไว้ที่กลางหน้าอก ความจริงเขาเลือกตรงไหนก็ไม่สำคัญ เพราะแม้ระดับการต้านทานไฟของเขาจะสู้ร่างมารอัคคีแค้นที่เน้นต้านทานไฟไม่ได้ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าเหล่าบูรพาจารย์ในขั้นอัคคีกางเขนเมื่อครั้งกระโน้นมาก

ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ขั้นนี้ก็แค่ช่วงเปลี่ยนผ่าน จัดการได้อย่างสบายๆ

ไม่นาน เขาก็อยู่ในช่วงสุดท้ายก่อนจะเริ่มฝึกฝนร่างมารอัคคีแค้น

ละเลงกฎ

……………………………………….