บทที่ 260 งานเลี้ยง (2)
พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปสิบกว่าวัน
วันนี้ลู่เซิ่งเพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ ขณะกำลังกลับถ้ำเพื่อไปฝึกฝนต่อ ศิษย์คนหนึ่งก็เรียกเขาไว้
“ศิษย์พี่ลู่ นี่เป็นจดหมายของท่าน เก็บไว้มาพักหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้หาตัวท่านไม่เจอ เลยไม่รู้จะแจ้งอย่างไร” ศิษย์คนนี้กล่าวอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“ในที่สุดครั้งนี้ก็เจอท่านแล้ว”
ลู่เซิ่งรับจดหมายในมือของเขามา กล่าวให้ถูกต้องคือเป็นจดหมายฉบับหนึ่งและเทียบเชิญใบหนึ่ง
“รบกวนเจ้าแล้ว ข้าจะอยู่ตอนเช้ากับตอนก่อนระฆังดังตอนกลางคืน ถ้าเจ้ามีข้อสงสัยอะไรในการฝึกก็มาให้ข้าอธิบายได้ ถ้าช่วยได้ข้าจะช่วยเต็มที่” ลู่เซิ่งกล่าวพลางพยักหน้า
“ขอบคุณศิษย์พี่ลู่มาก” ศิษย์น้องผู้นี้พลันยินดี พูดขอบคุณติดๆ กัน ในความจริงที่เขาตามหาตัวลู่เซิ่งอย่างยากเย็นมาตั้งหลายวัน มิใช่เพราะเพื่อคำสัญญานี้หรอกหรือ
สำหรับลู่เซิ่งแล้ว การชี้แนะศิษย์น้องเหล่านี้ง่ายดายมาก เขาแค่ถามไม่กี่คำ แล้วใช้ปราณมารตรวจสอบร่างกายก็รู้แล้วว่าติดขัดที่ตรงไหน
สบายยิ่งกว่าลิ่วซานจื่อชี้แนะเองเสียอีก รวมกันแล้วกินเวลาเขาไม่เกินหนึ่งนาที และหลังการชี้แนะจบเขาก็จะรีบไล่คนไป นี่เป็นสาเหตุหลักที่มีข่าวลือว่าเขามีนิสัยเย็นชา
มองตามจนศิษย์น้องจากไปแล้ว ลู่เซิ่งยืนอยู่บนเส้นทางข้างหอหนังสือพร้อมกับยกจดหมายขึ้นมาดู
จดหมายห่อด้วยกระดาษฟางสีเหลืองอ่อน ภายนอกไม่ระบุว่าใครฝากมา มีแค่ตราประทับสีแดงอันหนึ่งด้านล่าง บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่จดหมายที่ส่งมาล้อเล่น เนื่องจากตราประทับที่มีลวดลายซับซ้อนแบบนี้บ่งบอกว่าได้ใช้จ่ายไปกับจดหมายฉบับนี้ไปไม่น้อย โดยเฉพาะเนื้อหาที่อยู่ด้านในยังขอให้ปกปิดเป็นความลับอย่างเด็ดขาด
การใช้จ่ายไปกับจดหมายฉบับนี้ฉบับเดียว อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับการฝากส่งจดหมายมากกว่าร้อยฉบับแล้ว และในโลกใบนี้การฝากส่งจดหมายก็ไม่ใช่ของถูกๆ
ลู่เซิ่งหรี่ตา ค่อยๆ เปิดจดหมายแล้วดึงแผ่นหนังด้านในออกมา
เขาคลี่แผ่นหนังสีขาวอมเทาออกเบาๆ เผยให้เห็นตัวหนังสือที่บรรจงและชัดเจนแถวแรก
‘สหายลู่เซิ่ง ตั้งแต่จากลากันในแดนเหนือเมื่อครั้งก่อนก็ไม่ได้เจอมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าช่วงนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ตอนแรกทางข้าลำบากสุดขีด ไม่คิดจะข้องเกี่ยวอะไรกับท่านอีกเพื่อไม่ให้พวกท่านโดนลูกหลงไปด้วย แต่ตอนนี้เป็นช่วงผิดปกติ จะมัวกังวลเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าสหายลู่อ่านเนื้อหาด้านล่างจบขอให้เชื่อข้า จงเตรียมตัวเอาไว้ ส่วนหลักฐานยืนยัน ท่านพลิกไปด้านหลังจดหมายฉบับนี้ก็จะเห็นเอง’
พออ่านถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็เดาออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาพลิกไปด้านหลังจดหมาย เห็นลายแทงสมบัติอันคุ้นเคยที่ตนซ่อนไว้มาโดยตลอด ด้านบนระบุถึงยาล้ำค่าหลายชนิดไว้เต็มไปหมด
นี่ก็คือลายแทงสมบัติเกี่ยวกับยาล้ำค่าซึ่งเป็นของขวัญที่หลี่ซุ่นซีมอบให้เขาในตอนนั้น
ปัจจุบันพรรควาฬแดงได้หายาล้ำค่าส่วนใหญ่บนลายแทงเจอแล้ว มีแต่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่อาจหาเจออย่างราบรื่นเพราะสภาพภูมิประเทศ
ยาล้ำค่าเหล่านี้ไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับลู่เซิ่งในตอนนี้เท่าไหร่นัก ทว่ายังถือเป็นโอสถเทพยาวิเศษสำหรับยอดฝีมือธรรมดาอยู่
ถ้าไม่ใช่เพราะหลังจากกินเข้าไปมาก ร่างกายจะสั่งสมความเป็นพิษไว้จนส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพในอนาคต ลู่เซิ่งก็คิดใช้ยาเหล่านี้ปั้นยอดฝีมือที่ช่วยตนได้สักสองสามคน
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ เขาก็พลิกกลับไปอ่านเนื้อหาด้านล่างของจดหมายจากหลี่ซุ่นซีต่อ
หลังอ่านไปด้านล่างเรื่อยๆ สีหน้าของลู่เซิ่งก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากเยือกเย็นในตอนแรกเป็นเคร่งขรึม
พออ่านเนื้อหาจบ ลู่เซิ่งก็หลับตา
แกร่บ
จดหมายถูกเขาขยำเป็นก้อน อัคคีพิษลุกไหม้ เผามันกลายเป็นผงสีขาวโปรยปรายในพริบตา
‘มีเรื่อง…แบบนี้ด้วย…’ เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ‘ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงทั้งหมด งั้น…ก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว…’
แม้หลี่ซุ่นซีจะไม่มีเหตุผลให้ต้องหลอกลวงเขา ทว่าลู่เซิ่งก็ไม่ใช่คนที่เชื่อทุกอย่างที่คนอื่นพูด เขามีความเคลือบแคลงในระดับความน่าเชื่อถือของจดหมายฉบับนี้เหมือนกัน
ขอแค่มีคนซื้อตัวบริวารคนสนิทของเขาในแดนเหนือ ก็สามารถหาลายแทงสมบัติแบบนี้มาปลอมแปลงจดหมายได้เหมือนกัน
ดังนั้นเรื่องนี้จะจริงหรือปลอมยังต้องพิสูจน์
หลังเผาซองจดหมายและแผ่นหนังจดหมายทิ้งไป ลู่เซิ่งก็หยิบเทียบเชิญอีกใบขึ้นมา
คำสองคำติดอยู่บนบนเทียบเชิญทรงสี่เหลียมจัตุรัสสีเงินอย่างเด่นชัด: ซั่งหยาง
คำสองคำวิจิตรบรรจงและมีพลัง คล้ายกับต้องการขีดวาดจนเทียบเชิญแผ่นหนาทะลุก็ไม่ปาน
ลู่เซิ่งชะงักไปเล็กน้อย มองคำสองคำนี้อย่างละเอียด ด้านในแฝงจิตที่สอดส่ายทั่วทิศ ปกคลุมฟ้าดิน มีความทรงพลังถึงขีดสุด
เขาเปิดเทียบเชิญ ด้านในเขียนตัวหนังสือตัวเล็กๆ แถวหนึ่ง
‘ชุมนุมบุปผา ขอเชิญคุณชายลู่เซิ่งผู้นำแห่งสำนักมารกำเนิดไปยังสวนปัญญาในยามกลางเชินตอนกลางคืนของเดือนสิบเอ็ดวันที่เก้า’
กระดาษแผ่นหนึ่งเสียบอยู่ด้านล่างเทียบเชิญ ด้านบนเป็นลายมือของซั่งหยางจิ่วหลี่
หลังอ่านจดหมายจบ ลู่เซิ่งก็เข้าใจคร่าวๆ ว่าชุมนุมบุปผานี่คืออะไร
ในความเป็นจริง นี่ก็คืองานชุมนุมพิเศษที่ใช้ซื้อใจบุคคลสำคัญที่อยู่ในขุมกำลังใต้สังกัดตระกูลซั่งหยาง ซึ่งซั่งหยางเฟยเป็นผู้จัดขึ้น
ขุมกำลังใหญ่แต่ละกลุ่มใต้สังกัดซั่งหยางเฟยลี้ลับถึงขีดสุด ต่อให้นับซั่งหยางจิ่วหลี่ด้วย ก็รู้แค่ว่านางมีเครือข่ายข้อมูลที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
เบื้องหลังอัจฉริยะตระกูลขุนนางที่แลดูอ่อนแอผู้นี้ ยังมีแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่โตที่น่าเหลือเชื่อคอยรับใช้ สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ ซั่งหยางเฟยสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นด้วยตัวคนเดียว
นางค่อยๆ สร้างกองกำลังและเครือข่ายขุมกำลังที่มหึมาแบบนี้ทีละนิดๆ เริ่มจากศูนย์จนสำเร็จ
ตอนแรกมีคนคำนวณเบื้องหลังของนางออก กระนั้นตอนนี้ไม่มีใครรู้แล้วว่าซั่งหยางเฟยมีกองกำลังแบบไหนอยู่ในมือ
ซั่งหยางจิ่วหลี่บอกลู่เซิ่งผ่านจดหมายว่า วันนี้ซั่งหยางเฟยมีตำแหน่งสูงส่งในตระกูล ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือขุมกำลังก็ไม่มีใครสู้ได้ ตอนได้เทียบเชิญนางก็ประหลาดใจมากเช่นกัน แต่ในเมื่อเชิญลู่เซิ่งด้วย ก็จะพลาดไปไม่ได้เด็ดขาด
ส่วนสาเหตุ ซั่งหยางจิ่วหลี่พูดถึงเพียงเล็กน้อยว่า ซั่งหยางเฟยไม่เพียงมีอิทธิพลอย่างมหาศาลในตระกูลซั่งหยางเท่านั้น นางยังมีอิทธิพลไม่น้อยต่อตระกูขขุนนางตระกูลอื่นในโลกภายนอกด้วย บุรุษมีความสามารถที่ตามติดพันนางมีมากมาย แม้ไม่ถึงกับยืนอยู่ข้างนางทั้งหมด แต่ยามประสบปัญหา คนส่วนใหญ่ก็จะลงมือช่วยเหลือไม่มากก็น้อย ศักยภาพแบบนี้ยิ่งใหญ่ถึงขีดสุด
ซั่งหยางจิ่วหลี่หวังให้ลู่เซิ่งไปคบหากับคนรุ่นเดียวกันจากตระกูลขุนนางตระกูลอื่นเพื่อขยายอิทธิพลของตัวเอง ถ้าหากทำได้ ให้สร้างปัญหาเพื่อแสดงความสามารถของตัวเองและสร้างชื่อเสียง
ลู่เซิ่งเผาจดหมายของซั่งหยางจิ่วหลี่ทิ้ง พร้อมกับครุ่นคิดขณะถือเทียบเชิญ
‘ถ้าอันตรายที่หลี่ซุ่นซีพูดถึงเป็นความจริง อย่างนั้นตระกูลซั่งหยางซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ควบคุมตัวจริงของเมืองกระดิ่งขาว จะต้องมีการเตรียมตัวในส่วนที่เกี่ยวข้องแน่ ครั้งนี้คงมองเส้นสนกลในออก บางทีงานเลี้ยงนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการพิสูจน์ว่าข่าวนี้จริงหรือปลอม’
เขาพลันนึกถึงภัยแล้งที่แควันเมฆาเมื่อก่อนหน้านี้ คนจำนวนนับไม่ถ้วนบาดเจ็บล้มตาย ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ตระกูลขุนนาง แม้กระทั่งมารปีศาจล้วนอเนจอนาถ เวลานี้ถ้าอันตรายนี้เป็นความจริง เช่นนั้นจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายมากกว่าเดิม…
คาดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวันถึงจะฝึกฝนร่างมารอัคคีแค้นสำเร็จ ยิ่งถึงระดับหลังๆ ก็ยิ่งต้องใช้ปราณขวดสมบัติมาก เวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูปราณขวดสมบัติจะยาวนานขึ้น การพัฒนาย่อมค่อยๆ ช้าลง
แต่ว่านี่ก็เกินกว่าที่ลู่เซิ่งจินตนาการไว้แล้ว
เขาคำนวณเวลา ถ้าหากราบรื่น หลังฝึกฝนร่างมารอัคคีแค้นสำเร็จ เขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมได้พอดี
เก็บเทียบเชิญ จากนั้นลู่เซิ่งก็ไปฝึกฝนที่ถ้ำต่อ ขั้นละเลงลำดับเน้นฝึกฝนความสามารถในการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่อัคคีพิษและการปรับตัวเข้ากับอัคคีพิษ
พูดง่ายๆ ก็คือใช้เชื้อเพลิงภายนอกเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่อุณหภูมิและความเป็นพิษในตราประทับกางเขน พร้อมกับใช้วัสดุพิเศษเพิ่มความมั่นคงให้แก่ส่วนที่ใช้กักเก็บอัคคีพิษ เพื่อหลอมกายเนื้อรอบๆ ให้เป็นภาชนะอันแข็งแกร่งที่ไม่กลัวความร้อนและพิษร้าย
ลู่เซิ่งเตรียมสิ่งของมากมายเพื่อการนี้ โดยบรรทุกเต็มรถม้าคันหนึ่ง และเนื่องจากมีความเร็วในการรักษาฟื้นฟูอันน่ากลัวของปราณขวดสมบัติ บวกกับกายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเผาจนบาดเจ็บ
ตอนแรกเขาใช้เชื้อเพลิงเพิ่มระดับอัคคีพิษโดยตรงก็ยังรู้สึกสบายๆ
แต่เริ่มตั้งแต่ระดับที่สี่หรือช่วงละเลงลำดับ ลู่เซิ่งก็ทนไม่ไหวบ้างแล้ว ความร้อนและความเป็นพิษของอัคคีพิษเพิ่มระดับถึงขั้นที่น่ากลัว
ในที่สุดลู่เซิงก็ไม่สามารถพึ่งความแข็งแกร่งของตนเองมาต้านทานได้ จึงต้องใช้วัสดุมาทำให้เลือดเนื้อรอบๆ อัคคีกางเขนให้กลายเป็นเนื้อเยื่อพิเศษ
จากนั้นเขาก็เรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยน ใช้เวลาสองวัน ก็ยกระดับขั้นละเลงลำดับจนเต็ม
…
ห้าวันต่อมา
ลู่เซิ่งหลับตายืนเปลือยอกอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ เปลวเพลิงเหนียวหนืดที่ดำเหมือนของเหลวหลายกลุ่มวนเวียนอยู่รอบตัว
เปลวเพลิงเหล่านี้เคลื่อนไหวในอากาศรอบตัวเขา พลางปล่อยความร้อนอันน่ากลัวออกมา สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือตอนที่เปลวเพลิงสีดำเผาไหม้ จะส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดเหมือนมนุษย์ออกมาโดยอัตโนมัติด้วย
เสียงนี้ดังสะท้อนอยู่ในถ้ำเหมือนกับมีคนนับไม่ถ้วน ได้รับการทรมานจนเจ็บปวดสุดทานทนพร้อมกัน
ลู่เซิ่งลืมตาแล้วยื่นมือไปคว้าเปลวเพลิงเหนียวหนืดสีดำกลุ่มหนึ่ง
‘หากแบ่งตามร่างมารอัคคีแค้น พิษอัคคีจะมีทั้งหมดห้าช่วงได้แก่ธรรมดา เต็ม ผ่าน มอดดับ แค้น อานุภาพของอัคคีพิษจะเพิ่มขึ้นทีละระดับตามช่วงที่แตกต่างกัน ตอนนี้ละเลงลำดับของเราไปถึงจุดสูงสุดของระดับมอดดับแล้ว เปลวไฟที่สั่งสมได้เหมือนกันจะมีอานุภาพสูงกว่าอัคคีพิษทั่วไปไม่ต่ำกว่าสิบเท่า บวกกับมีปราณมารที่เกิดอย่างต่อเนื่องคอยประคับประคองไว้…’
พิษอัคคีที่ตอนแรกไร้ประโยชน์กลายเป็นความสามารถในศึกตะลุมบอนให้กับเขาได้แล้ว
‘ควรเริ่มฝึกร่างมารอัคคีแค้นได้แล้ว…’
ลู่เซิ่งยื่นมือออกมาอย่างแผ่วเบา เปลวเพลิงหลายสายเหมือนเส้นด้ายสีดำ เริ่มรวมตัวและวนเวียนอยู่ด้านหน้าเขา แล้วกลายเป็นวังวนสีดำที่สูงเท่าคนหนึ่งคนกลุ่มหนึ่ง
ฟู่ว…ฟู่ว…
เสียงกระแสอากาศที่เกิดขึ้นขณะเปลวเพลิงหมุนวนสะท้อนในถ้ำ
ลู่เซิ่งกำหมัดช้าๆ
หลังจากเขากำหมัดแน่น วังวนเพลิงตรงหน้าก็ค่อยๆ ปรากฏสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่ซับซ้อนหลายสาย ทุกสัญลักษณ์ซับซ้อนและคุ้นตามาก
ถ้าหากลิ่วซานจื่อเห็นเข้า จะต้องส่งเสียงร้องอย่างตกใจแน่ เพราะว่าสัญลักษณ์เหล่านี้เหมือนกับสัญลักษณ์สีเลือดบนเสาศิลาที่ตั้งอยู่บนลานกว้างในสำนักมารกำเนิด เพียงแต่สัญลักษณ์ตรงนี้ซับซ้อนกว่า
‘ความแค้นคือบ่อกำเนิดของการเผาไหม้ เผาไหม้ความแค้น เผาไหม้ตนเอง เผาไหม้…ทุกสิ่ง!’
ตูม!
พริบตานั้นมีเปลวเพลิงสีดำพ่นออกจากตา หู จมูก ปากของลู่เซิ่ง
เปลวเพลิงนับไม่ถ้วนทะลักออกจากร่างเขาอย่างบ้าคลั่งแล้วแผ่กระจายไปรอบๆ ถ้ำ
ร่างกายของเขาค่อยๆ ลอยขึ้น ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วสูง โดยพองขยายจากสภาพหยินโชติช่วงที่สูงหนึ่งหมี่เป็นร่างต้นที่สูงสามหมี่อย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ขยายจากร่างต้นเป็นสภาพหยางโชติช่วงที่สูงเกือบหกหมี่
ตูม!
ลู่เซิ่งก้าวเท้าขวาออกไปเหยียบบนกำแพงอย่างหนักหน่วง ขาขนาดยักษ์เหมือนกับเสาหินหยาบใหญ่ สั่นสะเทือนทั้งถ้ำจนสั่นไหวอย่างรุนแรง
เปลวเพลิงสีดำลุกโชนขึ้นทั่วร่างเขา เสียงร้องโอดครวญของมนุษย์จำนวนมาก ดังอย่างเลือนรางมาจากในเปลวเพลิง
เปลวเพลิงมากมายทะลักออกจากช่องว่างของเกราะบนตัว เหมือนกับเผาไหม้เขาจากด้านใน ทว่าเป็นเพราะการต้านทานไฟอันน่าสะพรึงกลัวและการควบคุมอย่างละเอียดอันแข็งแกร่ง จึงทำให้เขาไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิตในความเป็นจริง
ตรงกันข้ามสภาพลุกไหม้แบบนี้กลับยกระดับความสามารถต้านทานไฟของกายเนื้อขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
……………………………………….