บทที่ 261 งานเลี้ยง (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 261 งานเลี้ยง (3)

ภายนอกแลดูทรมานดั่งเผาตัวเอง แต่ลู่เซิ่งกลับจ้องมองเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูตรงหน้าด้วยสายตาที่ล้ำลึก

ความคิดของเขากดลงบนวิชาลับร่างมารอัคคีแค้นบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนในชั่วสั้นๆ เมื่อครู่ไปแล้วหลายรอบ

หลังจากร่างมารอัคคีแค้น ที่มีทั้งหมดสามระดับได้รับการปรับเปลี่ยน ก็บรรลุระดับที่สองในเวลาที่สั้นมาก และพร้อมจะเลื่อนสู่ระดับที่สามทุกเวลา

ทว่าเขาไม่ได้กดต่อไป ปราณมารที่ตุนไว้ก่อนหน้าถูกใช้ไปแล้ว และกำลังฟื้นฟูด้วยความเร็วสูง ทำให้เงื่อนไขการยกระดับขั้นสุดท้ายสำเร็จอย่างสมบูรณ์ แต่เขาไม่คิดจะทำในทันที

‘พอใช้วิธีการฝึกฝนแบบนี้…รู้สึกได้ว่าร่างกายของเรากำลังแข็งแกร่งขึ้น…’

ลู่เซิ่งรอคอยอย่างเงียบๆ รอให้พิษอัคคีระดับมอดดับ เผาไหม้ทั่วร่างของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง มารหยินเก้าตัวคอยส่งปราณมารกำเนิดให้อย่างคลุ้มคลั่งและต่อเนื่องอยู่รอบๆ ขณะเดียวกันพวกมันก็กลืนกินปราณมารจากธารหมอกพิษด้านนอกด้วยความเร็วสูงเพื่อนำมาเปลี่ยนแปลงและกักเก็บเช่นกัน

สภาพที่น่าอัศจรรย์แบบนี้เหมือนกับสิ่งเจือปนทั้งมวลในร่างกายถูกเผาทำลาย จากนั้นเพลิงมารก็ถมส่วนที่เตรียมไว้แล้วจนเต็มพร้อมผสมกับเลือดเนื้อที่เกิดขึ้นใหม่ กลายเป็นกายเนื้ออันใหม่

ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง

ขนาดร่างหกหมี่ในตอนแรกกำลังขยายใหญ่ขึ้น ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่เจ็ดหมี่ ความกว้างของร่างพองตัวขึ้น แขนสองข้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กล้ามเนื้อและเนื้องอกนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน มีแต่ใบหน้าที่ขนาดเปลี่ยนแปลงไม่มากนักฝังอยู่ตรงกลาง

โดยรวมแล้วพัฒนาไปทางสัตว์ประหลาดร่างประหลาดที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้

‘อัปลักษณ์ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…’ ลู่เซิ่งไม่แสดงสีหน้า เขาไม่ต้องใช้กระจกก็เดาออกว่าสารรูปของตนเองในตอนนี้อัปลักษณ์ขนาดไหน นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่อยากจะเปลี่ยนเป็นสภาพหยางโชติช่วงบ่อยนัก

เปลวไฟสีดำกำลังลุกไหม้และเผาส่วนที่ต้านทานไฟได้ไม่ดีนักในตัวเขา จากนั้นก็ให้กำเนิดอวัยวะที่ทนทานความร้อนกว่าเดิมชิ้นใหม่

ร่างกายของลู่เซิ่งใหญ่และหนักขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ อัคคีพิษระดับแค้นจำนวนมากแผ่จากร่างกายเขาไปรอบๆ จนทำให้โพรงถ้ำที่อยู่ใกล้เคียงดำเกรียมและแข็งขึ้น

สิ่งเจือปนกลายเป็นควันสีดำ สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือผงสีดำที่แข็งและแห้ง

‘ระดับที่สาม…เริ่มกันเลย’ หลังลู่เซิ่งปรับตัวสักพักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้แล้ว เขาก็ค่อยๆ ยื่นแขนซ้ายออกมาคว้าจับอากาศไปเบาๆ

เปลวไฟสีดำหย่อมหนึ่งพุ่งอย่างรวดเร็วจากมือของเขาไปยังด้านบน เปลวเพลิงเต้นระริกกลางอากาศเล็กน้อยก่อนจะระเบิดออกในพริบตา แล้วกลายเป็นเส้นสามเส้นหมุนวนอยู่รอบๆ ลู่เซิ่งอย่างเชื่องช้า

ชิ้ง!

ผลุ่บๆ!

เส้นทั้งสามเส้นแบ่งรยางค์ที่เหมือนกับเส้นลวดนับไม่ถ้วนออกมาปกคลุมส่วนศีรษะของลู่เซิ่งโดยสมบูรณ์ แทบจะคลุมส่วนใบหน้าทั้งหมดจนหายใจไม่ออก

เส้นลวดทั้งหมดกลายเป็นหน้ากากสีดำใบหนึ่งครอบบนหน้าของลู่เซิ่งโดยสิ้นเชิง

กึงๆ…

หน้ากากสั่นไหวน้อยๆ พลางเปล่งแสงอ่อนๆ สีม่วงอมดำ

เมืองกระดิ่งขาว สวนปัญญา

สวนปัญญาที่อยู่ทางตะวันออกใกล้เมือง อยู่ติดกับคูเมือง เป็นสวนผืนหนึ่งที่เอกชนล้อมเขตไว้ ใช้ชมดอกไม้และท่องเที่ยว

บริเวณทั้งสวนกินพื้นที่มุมตะวันออกของเมืองกระดิ่งขาวแทบทั้งหมด ทั้งยังรื้อกำแพงทิ้งเพื่อให้สวนปัญญาเชื่อมต่อกับชานเมืองโดยเฉพาะ

ตอนลู่เซิ่งมาถึงที่นี่ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ประตูสวนปัญญาเป็นประตูหินทรงโค้งสีขาว รูปแกะสลักเทพเจ้านกที่ไม่รู้จักชื่อลักษณะเหมือนหงส์ตั้งอยู่สองฟาก

มีองครักษ์ที่สวมเครื่องแบบกองทัพป้องกันเมืองเฝ้าอยู่ด้านนอก รถม้าและรถอาทิตย์แดงไม่น้อยจอดอยู่ด้านนอก

รถอาทิตย์แดงคือรถที่ใช้แพะภูเขาสีแดงลาก แพะภูเขาสีแดงที่ได้รับการขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดสามตัวแบ่งเป็นหนึ่งกลุ่ม แพะหลายกลุ่มลากรถหนึ่งคัน นี่เป็นพาหนะในการเดินทางของพวกผู้ดีที่เป็นที่นิยมที่สุดในเมืองกระดิ่งขาว

ลู่เซิ่งกับเฉินเฉวียนซงเดินลงมาจากรถ ขณะมองฝูงชนที่คึกครื้นแต่ไม่เบียดเสียดด้านนอกสวนปัญญา ทั้งสองมีสีหน้าแตกต่างกัน

แม้จะได้รับคำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงเหมือนกัน แต่เฉินเฉวียนซงเพียงแค่พอจะมีคุณสมบัติเท่านั้น ทว่าลู่เซิ่งได้เทียบเชิญที่คนในสังกัดของซั่งหยางเฟยส่งให้โดยใช้ชื่อของนางเอง นี่มีความแตกต่างมหาศาล

ทว่าเฉินเฉวียนซงก็ริษยาก็ริษยาไม่ลง พลังและศักยภาพของเขาสู้ลู่เซิ่งไม่ได้สักอย่าง

“ตอนนี้ข้าเพิ่งเข้าใจถึงความอุตสาหะของสหายลู่…” เฉินเฉวียนซงมองฝูงชนที่เดินเข้าสวนปัญญาเหล่านั้น ที่อ่อนแอที่สุดคือตรีและจตุลักษณ์ อย่างเขาเพียงแค่ผ่านเกณฑ์พื้นฐานเท่านั้น

มีแต่วีรบุรุษอย่างลู่เซิ่งจึงเป็นตัวละครเอกในงานชุมนุม ณ สวนปัญญาครั้งนี้

เขาช่วงชิงอำนาจแสวงหาผลประโยชน์ สิ่งที่อยากได้มาโดยตลอดอาจจะอยู่ที่นี่ ภายในคืนเดียว ก็อาจจะได้มาอย่างสบายๆ

ลู่เซิ่งยิ้มๆ ถ้าไม่ใช่ซั่งหยางจิ่วหลี่ต้องการให้เขามา เขาคงไม่สนใจงานชุมนุมน่าเบื่อประเภทนี้

ซั่งหยางเฟยเก่งจริงๆ แต่เกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ เวลาแบบนี้เอาไปฝึกฝนร่างมารร่างใหม่ให้สำเร็จเร็วๆ ดีกว่า

‘ถ้าหากสิ่งที่หลี่ซุ่นซีพูดเป็นจริง การชุมนุมแบบนี้จะมีความหมายอะไร’ ลู่เซิ่งกวาดมองฝูงชนตรงประตูสวนปัญญา

มีคนจากตระกูลขุนนางที่เยาว์วัยปล่อยตัวปล่อยใจ ตอนลงจากรถเยื้องกรายดั่งสาวงาม บุรุษองอาจ บ้างก็สนทนาถึงเรื่องในวันนี้อย่างผ่าเผย บ้างก็ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบเฉย

แต่ว่าคนจากตระกูลขุนนางที่มาที่นี่ต่างก็มีจุดร่วมเดียวกัน นั่นคืออายุน้อย มีวัยกลางคนเช่นกัน แต่ไม่มากนัก ส่วนคนแก่ยิ่งไม่เห็นสักคน

“สวนปัญญานี้โด่งดังในแวดวง หวังว่าครั้งนี้สหายลู่จะได้กอดโฉมสะคราญกลับไป” เฉินเฉวียนซงกล่าวอย่างฝืดเฝืออยู่บ้าง

“หมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งถามอย่างงุนงง

เฉินเฉวียนซงกำลังจะตอบ กลับถูกคนคนหนึ่งตัดบท

“สหายเฉิน ไม่เจอกันนาน ช่วงนี้สบายดีไหม” ชายร่างเตี้ยอ้วนเตี้ยมีเครายาวถึงอกเดินมาหาเฉินฉวนซ่งด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้เป็นสหายจ้าว” เฉินเฉวียนซงจนปัญญา ได้แต่ตอบรับการทักทายของคนอื่น

เฉินเฉวียนซงแนะนำลู่เซิ่งเข้าสู่เข้าสู่แวดวงอย่างรวดเร็ว แต่เพราะเขาทำตัวเย็นชา ไม่มีท่าทีกระตือรือร้น จึงทำให้ไม่มีใครพูดด้วยอีก

พอเข้าไปในสวนปัญญา ก็มีคนมาต้อนรับทันที วงสุราขนาดย่อมๆ กระจายกันอยู่ประปราย ดึงดูดแขกเหรื่อมากมายเข้าร่วม วงสุราเหล่านั้นตั้งอยู่ในส่วนต่างๆ ของสวนปัญญา

บางวงก็วางโต๊ะหินหลายตัวกลางสวน บางวงก็วางเนื้อย่างผักย่างบนตะแกรงในศาลาพลับพลา

ในมุมหนึ่งของสวนยังเชิญนักดนตรีมาดีดพิณบรรเลงเพลงให้ผู้คนได้รับชม

หญิงรับใช้พาลู่เซิ่งไปถึงหอสีขาวแห่งหนึ่ง คนส่วนหนึ่งยืนกระจัดกระจายกันอยู่ด้านใน

“ที่นี่เจ้าค่ะ” ซั่งหยางจิ่วหลี่อยู่ด้วยเหมือนกัน ชูจอกขึ้นให้เขาแต่ไกล

คนในตระกูลซั่งหยางสองสามคนกับคนจากตระกูลขุนนางเล็กๆ ส่วนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายนาง คนเหล่านี้คล้ายกับนางอยู่บ้างคือมีบุคลิกค่อนข้างเย็นชา สีหน้าหนักแน่น มองดูก็รู้ว่าจะต้องเป็นคนที่พลังไม่อ่อนด้อยแน่

ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเข้าไปทักทายซั่งหยางจิ่วหลี่

“เรื่องครั้งก่อน หนึ่งในของขวัญชดเชยได้ส่งมาแล้ว ข้ารับไว้แทนเจ้า ภายหลังจะส่งไปให้เจ้าที่สำนักมารกำเนิด ชุมนุมสวนปัญญาในครั้งนี้เจ้าผ่อนคลายจิตใจเถอะ ไม่ต้องคิดมาก มีโอกาสก็อย่าพลาด” ซั่งหยางจิ่วหลี่กล่าวคำพูดที่อธิบายไม่ถูก และไม่ได้แนะนำลู่เซิ่งกับคนที่อยู่รอบๆ

“เพ่ยเพ่ย” นางพยักเพยิดให้สตรีคนหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือเข้ามาหา

“คุณหนูจิ่วหลี่” สตรีนางนั้นใส่กระโปรงเนื้อบางสีขาว เค้าหน้างดงาม ทรวดทรงยั่วยวนหยาดเหยิ้ม ไว้ผมยาวสีเงินถึงกลางหลัง ค่อนข้างมีเอกลักษณ์

“คนผู้นี้คือลู่เซิ่ง เป็นขุนพลใต้สังกัดข้า วันนี้ขอมอบเขาให้เจ้า จะต้องทำให้เขาพอใจให้ได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้ามาไต่สวน!” ซั่งหยางจิ่วหลี่กำชับ

สตรีที่ชื่อเพ่ยเพ่ยยิ้มบาง พิจารณาลู่เซิ่งอย่างละเอียด

“ในเมื่อเป็นคำสั่งของคุณหนูจิ่วหลี่ เพ่ยเพ่ยย่อมปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

นางรู้จักลู่เซิ่ง ผู้ที่มีศักยภาพมากที่สุดในหมู่คนหนุ่มสาวของตระกูลซั่งหยางจากตระกูลฝ่ายมารดาที่ไม่ได้มาจากสายเลือดตระกูลหลักในวันนี้มีทั้งหมดสามคน ในนี้มีลู่เซิ่งอยู่ด้วย

คนผู้นี้มาจากแดนเหนือ สายเลือดลึกลับเป็นปริศนา ตระกูลเคยตรวจสอบเบื้องลึกของเขา แต่ตรวจสอบเจอว่าตระกูลขาดลงในรุ่นของมารดา มารดาของเขาไม่ใช่คนแดนเหนือ แต่ตระกูลมนุษย์รับเลี้ยงดูแลในภายหลัง

เดิมทีลู่เซิ่งผู้นี้มีแค่คุณสมบัติของมนุษย์ แต่นึกไม่ถึงว่าจะปลุกสายเลือดให้ตื่นได้อย่างกะทันหัน ก่อนจะผงาดขึ้นมา มีคนเฒ่าคนแก่ในตระกูลคาดเดาว่า เขาอาจจะมาจากสายเลือดตระกูลขุนนางที่ลี้ลับบนเกาะน้อยกลางธารน้ำแข็งในอดีตก็ได้

ดูจากความสามารถที่เขาแสดงออกมาโดยตลอด สมควรเป็นสายเลือดอาวุธเทพสายอาทิตย์ ในตระกูลมีผู้เก็บข้อมูลทำตารางข้อมูลเพื่อวิเคราะห์อย่างเจาะจง

ลู่เซิ่งผู้นี้ดูแลตระกูลลู่ที่ให้กำเนิดตนเองมาโดยตลอด ถือเป็นคนมีคุณธรรมน้ำใจ ไม่ใช่คนที่ได้ดีแล้วลืมตน

ดังนั้นคำตอบที่ตระกูลได้จากเขาก็คือพยายามดึงตัวมาเป็นพวก และให้สายเลือดของเขาหลอมรวมเข้ากับตระกูลซั่งหยาง ขอแค่มัดเขาไว้กับรถศึกของตระกูลซั่งหยาง ตระกูลก็จะสามารถใช้ประโยชน์คนผู้นี้ได้

นี่เป็นหนึ่งในบ่อกำเนิดที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงของเก้าตระกูลแห่งจงหยวน พวกเขาดูดซับสายเลือดอันโดดเด่นที่วิวัฒนาการแตกสาขาอยู่ในโลกภายนอก ซึ่งอาจทำให้ความสามารถทางสายเลือดของลูกหลานที่เหลืออยู่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และร่วมประสานเสียงกับอาวุธเทพของตระกูลได้ดีกว่าเดิม ต่อให้เป็นผู้ถืออาวุธไม่ได้ แต่ก็ควบคุมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ง่ายถึงขีดสุด ทั้งยังครอบครองพลังที่แข็งกล้าสุดขีด

เพ่ยเพ่ยตาเป็นประกาย ใช้มือข้างหนึ่งดึงมือลู่เซิ่งไว้

“คุณชายลู่เซิ่งตามข้าไปเอาของขวัญชดเชยของท่านก่อนเถอะ มีคุณชายและคุณหนูอีกหลายคนกำลังชุมนุมในป่าไผ่อยู่อีกด้าน ทุกคนต่างเป็นอัจฉริยะบุรุษของตระกูลซั่งหยาง การทำความรู้จักกันมีประโยชน์มิใช่หรอกหรือ”

ลู่เซิ่งสลัดแขนหลุดออกมา

“เจ้าเดินไป ข้าเดินตาม”

เขาแสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ชายตามองเครื่องแต่งตัวอันยั่วยวนของเพ่ยเพ่ยแม้แต่น้อย

เพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้ว่าอะไร พาลู่เซิ่งตัดทะลุฝูงชนสองสามรอบ แล้วเดินขึ้นไปบนถนนเส้นน้อยจากด้านข้าง

ทะลุถนนเส้นน้อย จากนั้นก็ข้ามสะพานขนาดเล็ก ด้านตรงข้ามเป็นป่าไผ่ที่เงียบสงบร่มรื่น มีเสียงพิณโบราณดังอยู่ด้านในป่าอย่างเลือนราง และมีคนรำกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ประกายสีเงินวูบวาบ ประกายสีขาวล่องลอย มองแต่ไกลยังรู้สึกได้ถึงความเย็นสายหนึ่งที่ลอยมาปะทะหน้า

สองฟากทางมีเนินเขาจำนวนไม่น้อย โต๊ะ เก้าอี้และม้านั่งยาวจำนวนมากตั้งอยู่ตรงกลาง

สิ่งที่น่าประหลาดที่สุดก็คือด้านข้างเนินเขาเหล่านี้ ถูกเจาะเป็นถ้ำขนาดต่างๆ ให้คนสามารถเข้าไปได้

ลู่เซิ่งมองเห็นบุรุษสตรีเปลือยกายกอดกระหวัดกันอยู่ข้างๆ ถ้ำที่ว่างเปล่าจำนวนไม่น้อย

บางคนก็เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทำท่าปฏิเสธแต่กลับตอบรับ บางคนก็พิงกับผนังหินเริ่มกระแทกกัน ยังมีบุรุษสตรีหลายคนอยู่ในถ้ำเดียวกันใต้เนินเขาโดยปลดปล่อยตัวเองอย่างเต็มที่

เพ่ยเพ่ยเดินอยู่ด้านข้าง คล้ายเห็นภาพเหล่านี้จนชินตา

“ที่เก้าตระกูลแห่งจงหยวนรักษาจำนวนคนในตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองได้ เพราะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมวาสนาต้องใจนี้”

ลู่เซิ่งที่มองเห็น เหลียวดูบุรุษสตรีกลุ่มหนึ่งที่ยืนกระจายกันอยู่ในป่าไผ่ด้านหน้าอีกรอบ ก็กระจ่างแจ้ง

ซั่งหยางจิ่วหลี่ยังไม่ยอมแพ้ ถ้าเรื่องซั่งหยางรั่วไม่สำเร็จ ครั้งนี้ก็เปลี่ยนวิธีมาดึงเขาเป็นพวก วาสนาต้องใจอะไรนี่ไม่ใช่งานดูตัวหรอกหรือ ทั้งเป็นการดูตัวแบบปลดปล่อยตัวเอง ซึ่งอยู่ในรูปแบบต้องตาก็จัดการทันที

“วาสนาต้องใจ ขอแค่ต้องใจ หากอยู่ที่นี่ ไม่ว่าท่านอยากแต่งงานหรือไม่ก็ไม่เป็นไร พวกเราแค่ต้องการความสุขสักคืนเท่านั้น” เพ่ยเพ่ยพลันหยุดร่าง “ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

ลู่เซิ่งหยุดเดินตาม เหลียวซ้ายแลขวา รอบๆ มืดครึ้มอยู่บ้าง อยู่ในส่วนลึกของป่าไผ่ซึ่งไม่มีโคมไฟส่องแสงพอดี

เสียงพิณเสียงเพลงดังรางเลือน ไม่ได้ชัดมาก

“ก่อนหน้านี้ใต้เท้าจิ่วหลี่ได้บอกข้าถึงเรื่องของท่านกับคุณหนูซั่งหยางรั่วแล้ว ตระกูลได้จัดสถานที่พิเศษในกิจกรรมวาสนาต้องใจเพื่อชดเชยการเสียมารยาทในครั้งก่อนแก่ท่าน ศาลาแดง” เพ่ยเพ่ยเอ่ยเสียงอ่อนโยน

……………………………………….